บทที่ 177 : หมู่บ้านลึกลับ
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ เขามิคาดว่าคันศรโหลวฮัวจะแปรเปลี่ยนไปในทิศทางเช่นนี้
พลังของมันไม่ได้เพิ่มมากขึ้น ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นคือคุณสมบัติธาตุ
สัญลักษณ์บัวหิมะปรากฏขึ้นบนคันศรโหลวฮัว ในขณะที่ลูกธนูนั้นภายใต้ความหนาวเย็นก็ได้มีสีฟ้าจาง
พลังส่วนหนึ่งของผลึกได้เข้าสู่คันศรผ่านเส้นไหม และลูกศรที่อยู่ใกล้ระลอกคลื่นของผลึกได้ดูดกลืนพลังจากมัน
แต่จากลูกธนูก่อนหน้า สามารถเห็นได้ว่ามันใช้ได้เพียงครั้งเดียว
เด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างหนักเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่เขาจะหยิบกิ่งไม้ขึ้นจากพื้นและยิ่งมันไปด้วยคันศรโหลวฮัว
ฟุ่บ!
กิ่งไม้ทิ่มแทงลงไปในเป้าหมายอย่างสมบูรณ์ ทว่าค่อยๆ แตกสลายไปทีล่ะน้อย สร้างชั้นน้ำแข็งขึ้นบนเป้าหมายโดยไม่ได้ผนึกเป้าหมายไว้ในน้ำแข็งโดยสมบูรณ์
“มันดูเหมือนว่ามีเพียงแค่ลูกธนูที่ถูก ‘เปลี่ยน’ ที่สามารถใช้พลังของน้ำแข็งได้จนถึงขีดสุด
จ้าวเฟิงคิดในใจ
นั่นหมายความว่าลูกธนูอีกกว่าสิบดอกที่เหลือนั้นเป็นสิ่งล้ำค่า เมื่อมันสามารถผนึกเป้าหมายในน้ำแข็งได้ และจากพลังที่มันแสดงออกก่อนหน้า ไม่ว่าผู้ใดใต้นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็จะถูกแช่แข็งไปทั่งร่างหากต้องโดนมัน
เหล่าผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่และห้าไม่อาจหลบหนีออกมาได้ในระเวลาสั้นๆ ทว่าพวกเขายังคงมีโอกาสสูงที่จะมีชีวิตอยู่หากพวกเขาต้องการที่จะแลกกับมัน
แม้ว่าบางคนในนภาที่หกจะไม่ถูกผนึกในน้ำแข็ง การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ยังคงได้รับผลกระทบ
ผลของมันนั้นวิปลาสนัก สิ่งที่น่าเศร้ามีเพียงศรสีฟ้าเหล่านี้จะแตกสลายไปเพราะมันใช้ได้เพียงครั้งเดียว
เด็กหนุ่มสรุปว่าหากศรเหล่านี้ถูกนำกลับไปด้านนนอก มันจะแตกสลายเพราะอุณหภูมิที่แปรเปลี่ยนไป
ชี่ ชี่
ความเย็นที่แผ่ซ่านออกจากบ่อน้ำเยือกแข็งยังคงดำเนินต่อไป
จ้าวเฟิงยืนอยู่ใกล้ๆ และร่างกายของเขาสั่นสะท้านเพราะพลังสายเลือดของเขานั้นมีจำกัด และความทานทนจากผลโลหิตสีชาดเองก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้วเช่นกัน
ไป!
เด็กหนุ่มเหลือบตาไปมองบ่อน้ำเยือกแข็งอย่างไม่เต็มใจ แต่ความมีเหตุผลได้บอกเขาว่ามันไม่ใช่สมบัติที่เขาจะครอบครองได้
มันคล้ายคลึงกับ ‘ดาบจันทร์โลหิตกลืนวิญญาณ’ เขาไม่อาจควบคุมมันได้
เขาต้องเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจึงจะสามารถครอบครองผลึกน้ำตาลึกลับนั้นได้ และนี่เป็นเขาพร้อมด้วยพลังแห่งสายเลือดของเขา ผู้อื่นในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอาจไม่อาจทำสำเร็จได้
เมื่อคิดเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็คิดว่ารางวัลของเขาก็ไม่นับว่าย่ำแย่
คันศรโหลวฮัวได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยผลึกนั้น และพลังของมันเพิ่มขึ้นราวๆ ครึ่งระดับ
ศรใช้ได้ครั้งเดียวได้เพิ่มไพ่ลับให้กับเด็กหนุ่ม และเขาเองก็ยังรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นมีความทนทานต่อความหนาวเย็นที่แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากออกจากบ่อน้ำเยือกแข็ง จ้าวเฟิงจึงมุ่งตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในระหว่างทาง อุณภูมิก็ยังคงลดต่ำลงเรื่อยๆ
มันชัดเจนว่าผลึกน้ำตาลึกลับนั้นเป็นสิ่ง ‘ต้องห้าม’ ในเกาะพรมแดนนภา และเด็กหนุ่มได้แตะมันโดยบังเอิญ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงอุณภูมิของทั้งเกาะไป
ภายใต้อุณหภูมิที่ลดลงอย่างกะทันหันนั้น สัตว์อสูรเหยาก็ได้กลับไปยังที่อยู่ของพวกมัน ขณะที่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าได้ตายลงในทันที
มีเพียงสัตว์อสูรเหยาที่แข็งแกร่งที่ไม่ได้รับผลกระทบ
นี่ได้ลดความยากของการทดสอบที่สามลง เมื่อโอกาสในการถูกโจมตีโดยสัตว์อสูรได้ลดลงอย่างมาก
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าการกระทำนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งการทดสอบยอดนภาอีกครั้ง
สามชั่วโมงต่อมา หุบเขาก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตา
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้ามันอาจจะยังดูเหมือนหุบเขา ทว่าบัดนี้มันคือหุบเขาน้ำแข็ง
ในแผนที่ในสมองของจ้าวเฟิง มันมีฝูงสัตว์อสูรจำนวหนึ่งรอบๆ นี้ ทว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ หลายๆ ตัวจึงได้ล่าถอยหลับไปยังที่อยู่ ซึ่งทำให้การเดินทางของเด็กหนุ่มง่ายดายขึ้น
หุบเขานี้ได้ถูกครอบคลุมด้วยค่ายกลมายาอันใหญ่โดตและทรงพลัง หมายความว่ามันย่อมมีบางอย่างผิกปกติด้านใน
ในด้านของขนาดนั้น สถานที่แห่งนี้ใหญ่โตเทียบเท่าได้กับสวนโบราณที่ถูกลืมเลือน ทว่ามันถูกปกปิดไว้อยู่
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าสิ่งใดที่อยู่ภายในหุบเขา มันอาจเป็นโชคหรือหายนะ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
“มันควรจะมีความลับบางอย่างที่นี่ เมื่อมันได้ถูกปกปิดด้วยค่ายกลมายา”
เด็กหนุ่มพลิ้วร่างลงจากเบื้องบนและมองลงไป
จากมุมของเขา หุบเขานั้นราวกับนรกสีทมิฬที่เต็มไปด้วยเมฆ
จากเสียงและกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกจากเมฆหมอกเหล่านั้น พร้อมด้วยกลิ่นอายเด็ดขาดที่กระทั่งแข็งแกร่งกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ปรากฏออกมา ทว่าในฐานะของผู้เชี่ยวชาญค่ายกลแล้ว จ้าวเฟิงนั้นแทบจะมีความสามารถในการต่อต้านพลังจิตมายาอย่างสิ้นเชิง และด้วยดวงตาซ้ายของเขา เขาจึงสามารถเห้นการผันแปรของพลังค่ายกลได้
หืมมม?
เด็กหนุ่มนั้นไม่อาจมองผ่านค่ายกลทั้งหมดได้อย่างทะลุปรุโปร่งแม้ว่าจะใช้พลังอย่างเต็มที่ สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงภูมิประเทศของหุบเขาลึกนั้น
มันไม่มีนรกสีดำหรือราชาอสูรเหยาที่น่าพรั่นพรึงใดๆ
เช้ง!
ร่างของเด็กหนุ่มทะยานสู่อากาศและลอยไปยังหุบเขาโดยเมินเฉยต่อพลังของค่ายกลมายา
เมื่อเขาลงสู่พื้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้ร่วงหล่นลงไปสู่ขุมนรก ราวกับว่าสัตว์ประหลาดได้อ้าปากและกลืนกินเขาเข้าไป ทว่าเขารู้ว่ามันเป็นการทำงานของค่ายกล
อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้คือสถานที่โบราณ แม้ว่าเขาจะมีดวงตาซ้ายลึกลับ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขานั้นไร้เทียมทาน
หลังจากทะยานขึ้นสู่อากาศสองสามครั้ง เขาก็ได้ร่อนลงยังหมู่บ้านใกล้ๆ อย่างงดงาม
มีผู้คนหนุ่มแก่ ทั้งสตรีและบุรุษ สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา รวมทั้งสิ่งก่อสร้างรอบข้างก็ดูเก่าแก่
“เต้าหู้เหม็นเผ็ด สองชิ้นต่อหนึ่งเหรียญ”
“พุ่มไม้หิมะหวาน หนึ่งชิ้นต่อหนึ่งเหรียญ”
ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวาย
จ้าวเฟิงมีความรู้สึกแปลกประหลาดขณะที่เขายืนอยู่ใจกลางตลาด มันราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กับการทดสอบยอดนภา ทว่าเขาไม่คิดว่าสถานที่แห่งนี้จะไร้พิษสงเช่นนั้น
“มันดูเหมือนจริงนัก ทว่าทุกสิ่งที่นี่ยังคงเป็นพลังของค่ายกล”
เด็กหนุ่มถอนหายใจในใจ
พลังของค่ายกลมายานั้นรุนแรงและเสมือนจริงยิ่งนัก กระทั่งดวงตาซ้ายของเขายังไม่อาจมองผ่านมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าค่ายกลนั้นจะสร้างสถานที่ใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นเป็นพิเศษได้อย่างไร
มันมีผู้คนที่ขายผักผลไม้ หลอกล่อ และกระทั่งคนพาล…
ทุกสิ่งล้วนดูสมจริงนัก และหากไม่เป็นเพราะดวงตาซ้ายของเด็กหนุม เขาย่อมไม่อาจตระหนักได้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม
ในเวลาเดียวกัน ความคิดหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง
จุดมุ่งหมายของตลาดนี้คืออันใด? มันมีขึ้นเพื่อสิ่งใด?
ผู้อาวุโสหนึ่งได้บอกเกี่ยวกับการทดสอบก่อนหน้า และบอกเขาว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะมีรางวัลจากการฆ่า
บอกตามตรง มรดกฝ่ายธรรมนั้นมักจะทดสอบหัวใจและความตั้งใจของคนผู้หนึ่ง
คนผู้หนึ่งจำต้องมีคุณสมบัติในการได้รับสมบัติ
“ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั่วไปย่อมไม่อาจตระหนักได้ว่านี่คือสิ่งปลอมแปลง ดังนั้นแล้ว ข้าควรจะทำราวกับว่าที่แห่งนี้เป็นของจริง…”
ความคิดหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง
เขาพยายามที่จะรวบรวมข้อมูลจากตลาด ทว่าตระหนักได้ว่ามันมากเกินไป
ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะเดินไปรอบๆ หมู่บ้านอย่างสบายๆ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงโกรธแค้นของเด็กชายผู้หนึ่งจากจุดหนึ่ง
“ไอ้สารเลว ปล่อยมารดาข้า…”
เสียงนั้นชัดเจนในสมองของจ้าวเฟิงยิ่งนัก แตกต่างจากเสียงวุ่นวายอื่นๆ แม้ว่าเด็กหนุ่มผมครามจะไม่มีดวงตาซ้าย เขาก็อาจรับรู้ถึงความแตกต่างของมันได้
“หรือมายาได้จงใจให้ผู้เข้าร่วมได้ยินเสียงนี้?”
รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มหันไปด้านข้าง เห็นร้านค้าเก่าๆ ที่ขายถั่วพร้อมกับสตรีงดงามที่กำลังถูกฉุดกระชากไปโดยคนพาลสามคน
“ปล่อยมารดาข้า!”
เด็กชายที่สวมเสื้อผ้าเก่าขาดต่อสู้กับหนึ่งในนั้น
เพี้ยะ!
เด็กชายถูกตบโดยหนึ่งในคนพาลพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกจากริมฝีปาก
“ฮึ่ม! ไอ้แก่ของเจ้าแพ้พนัน ติดหนี้ไว้สามพันเงิน ร้านนี่นับได้ว่าเป็นหนึ่งพันเงิน และมารดาที่งดงามของเจ้าสามารถไปยังซ่องอี้ฮองเพื่อทำงานใช้หนี้ ที่นั่นหาเงินได้เร็วกว่า…”
หนึ่งในคนพาลหัวเราะขึ้น
เมื่อดูถึงยามนั้น จ้าวเฟิงจึงรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
กระทั่งในความเป็นจริง เขาย่อมเข้าไปแทรกแซงโดยไร้ซึ่งความลังเล นอกจากนั้น มันมีโอกาสอย่างสูงที่มันจะเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ
สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือนี่เป็นมรดกฝ่ายธรรม และการช่วยเหลือผู้อ่อนแอรวมทั้งการกำจัดคนพาลนั้นนับเป็นเรื่องจำเป็น
“พวกเจ้าสามคนไสหัวไป!”
จ้าวเฟิงพุ่งเข้าไปก่อนจะส่งหนึ่งในคนพาลให้กระเด็นลอยออกไป
อีกสองคนตวาดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวและพุ่งเข้ามาจากด้านซ้ายและขวาของเขา
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้เพิ่มขึ้นทีล่ะน้อย และแม้เขาจะไม่ได้ใช้ปราณแท้ของเขา เขาก็สามารถจัดการคนพาลทั้งสองได้อย่างง่ายดาย
คนพาลทั้งสามต่างถูกส่งลอยออกไปจากฝ่าเท้าของเขาทีล่ะคน และไม่อาจลุกขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“ขอบคุณท่านมาก”
สตรีงดงามและเด็กชายเต็มไปด้วยความซาบซึ้งอย่างมาก ทว่าจ้าวเฟิงยังคงเห็นความกังวลของสตรีผู้นั้น
“น้องชายตัวน้อย เจ้านามอันใด?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“ข้านามลีหลวน พี่ชาย เมื่อครู่ท่านยอดเยี่ยมนัก”
เด็กชายเอ่ยอย่างชื่นชม
“ลีหลวน… การทดสอบยอดนภา…”
จ้าวเฟิงพึมพำก่อนจะจมลงในห้วงความคิดขณะที่เขาจ้องมองไปยังเด็กชาย
เพื่อยืนยันการคาดเดาของเขา เด็กหนุ่มผมครามจึงตัดสินใจเป็นคนดีจนถึงยามสุดท้าย จัดการปัญหาทั้งหมดให้กับครอบครัวของลีหลวน
คนพาลในหมู่บ้านนั้นได้ถูกจัดการจนหมดสิ้นโดยจ้าวเฟิง และเด็กหนุ่มนั้นได้เขียนวิชาระดับพื้นฐานจนกระทั่งระดับสูงจำนวนหนึ่งให้แก่ลีหลวน
ทว่า
หลังจากทำทั้งหมดนั้น เด็กหนุ่มกลับยังคงไม่ได้สิ่งใด
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวถอนหายใจในใจ หรือว่ารางวัลนั้นจะไม่ได้ถูกลิขิตมาให้เขาครอบครอง?
จ้าวเฟิงมักจะรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้ไม่ธรรมดาเช่นี่มันดูเหมือน ทว่าเวลาของเขามีจำกัด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะจากไปหลังจากนั้นหนึ่งวัน
เขารู้ว่าสถานที่ใดที่มีสมบัติ เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อย่างดึงดัน
ในวันที่สอง จ้าวเฟิงได้เอ่ยลาแก่ลีหลวนและครอบครัว
“พี่จ้าว ขอบพระคุณท่านสำหรับการช่วยเหลือทั้งหมด นี่คือ ‘มีดเล็ก’ ที่ข้าหวงแหน และบัดนี้ข้าขอมอบมันให้ท่าน”
ลีหลวนส่งของสิ่งหนึ่งให้แก่อีกฝ่าย
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวูบ ทว่า ‘มีดเล็ก’ ที่ว่านั่นกลับเป็นเพียงเศษโลหะเก่าแก่พร้อมด้วยสัญลักษณ์สีเขียวส่องประกายที่ถูกสลักลงไปบนนั้น
เด็กหนุ่มรับเศษโลหะนั้นมาและพลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสงบนิ่งที่ครอบคลุมร่างของเขาไว้ หลังจากที่เขาหลอมรวมจิตสำนึกเข้าไป เด็กหนุ่มจึงจับได้ถึงภาพของสายฟ้าสีเขียวที่แล่นวูบในอากาศ ลบภูเขาทั้งลูกออกไปในเสี้ยวพริบตา
ในเวลาเดียวกัน ข้อมูลส่วนหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในสมองของเขา
“ผนึกสายฟ้ายอดนภา”