Skip to content

King of Gods 178

King Of Gods

บทที่ 178 : ร่วมมือ

ผนึกสายฟ้ายอดนภา!

จ้าวเฟิงยังคงชื่นชมเศษโลหะในมือหลังจากที่เขาออกจากหมู่บ้านแล้ว ในด้านของวัสดุนั้น โลหะนี้นับว่าธรรมดามาก ทว่ามันได้มีเจตจำนงอยู่ภายในด้วยปริมาณที่น่าเหลือเชื่อ เจตจำนงนั้นสั้นกุด ทว่าล้ำลึกเสียจนเกินกว่าระดับที่เด็กหนุ่มจะทำความเข้าใจได้

“ข้าสามารถทำความเข้าใจได้เพียงแค่ชายขอบของผนึกสายฟ้ายอดนภานี้เท่านั้น และมันเป็นเพราะว่าข้าได้ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี” ความคิดของเด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไป

หลังจากหลอมรวมเข้ากับดวงตาลึกลับ ความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาก็ได้เข้าขั้นน่าสะพรึง เหนือกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆ มากนัก ทว่าแม้จะมีฝ่ามือวายุอัสนีเป็นพื้นฐาน เขาก็ยังคงทำได้เพียงทำความเข้าใจมันได้เล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนั้นเด็กหนุ่มยังรู้สึกว่ากลิ่นอายของผนึกสายฟ้ายอดนภานั้นใกล้เคียงกับฝ่ามือวายุอัสนี แม้ว่ากลิ่นอายของผลึกนั้นจะแข็งแกร่งกว่านับร้อยเท่าก็ตาม

ฝ่ามือวายุอัสนีนั้นใช้เพียงลมในการรวบรวมสายฟ้า ในขณะที่ผนึกสายฟ้ายอดนภานั้นเป็นการควบคุมสายฟ้าโดยตรง

ความเกี่ยวข้องของทั้งสองคือสิ่งใดกัน?

จ้าวเฟิงจำได้ว่าฝ่ามือวายุอัสนีนั้นเป็นวิชาโบราณที่ไม่สมบูรณ์ ในเวลาเดียวกันมันก็ยังเป็นวิชาที่ทรงพลังของสำนักที่ทำให้ผู้ฝึกสามารถเหนือกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันได้ บางส่วนของวิชาเหล่านี้ก็ได้มาจากตำหนักยอดนภา

ตัวอย่างเช่น ธาราเหนือสวรรค์ทมิฬของเป่ยโม่ยก็ได้รับมาจากผู้อาวุโสไฮ่หยุนที่ได้มาจากตำหนักยอดนภา

“มันดูเหมือนว่าผนึกสายฟ้ายอดนภาจะไม่ได้ให้รางวัลเพียงเพราะการกระทำของข้าภายในหมู่บ้าน” จ้าวเฟิงถอดถอนใจในใจ

ผนึกสายฟ้ายอดนภาดูราวกับมีต้นกำเนิดเดียวกับฝ่ามือวายุอัสนี เด็กหนุ่มเปิดดวงตาซ้ายของเขาออกก่อนจะคัดลอกภาพภายในผนึกเข้าสู่สมอง ทว่าพลังของภาพนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป เด็กหนุ่มต้องใช้พลังจิตทั้งหมดของเขาจึงจะสามารถคัดลอกภาพนั้นได้อย่างเฉียดฉิว

จ้าวเฟิงทำเช่นนี้เพื่อที่ของชิ้นนี้จะได้เป็นของเขาอย่างแท้จริง เด็กหนุ่มรู้ว่าเขาไม่อาจทำความเข้าใจผลึกสายฟ้ายอดนภานี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ และผู้ใดจะล่วงรู้ได้เล่าว่าสำนักจะทำเช่นไรหลังจากการทดสอบ? พวกเขาอาจกระทั่งเอามันไปเพื่อตนเอง! ตามกฎนั้น สำนักจะนำสมบัติไปจำนวนหนึ่งโดยมีแต้มสนับสนุนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน

หลังจากที่เก็บผนึกสายฟ้ายอดนภาไปแล้ว จ้าวเฟิงจึงได้มุ่งหน้ารงไปยังอีกทิศหนึ่ง เด็กหนุ่มมีแผนที่ของทั้งเกาะพรมแดนนภาในสมอง และสถานที่ที่อาจมีสมบัติได้ถูกกาเอาไว้ จุดหมายปลายทางต่อไปของเขานั้นค่อนข้างห่างไกล ทว่าสถานที่แห่งนั้นได้ถูกวิเคราะห์โดยเด็กหนุ่มแล้ว หมายความว่ามันย่อมเป็นสถานที่ที่พิเศษหรือใหญ่โต

ผลลัพธ์

เป้าหมายแรกของเขา: มันเป็นสถานที่ต้องห้ามโดยแท้จริง มันได้ทำให้อุณหภูมิของทั้งเกาะพรมแดนนภาลดลง สมบัติภายในไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถครอบครองได้

เป้าหมายที่สอง: จ้าวเฟิงก็ยังคงไม่อาจทำความเข้าใจผนึกสายฟ้ายอดนภาได้

สำหรับเป้าหมายที่สามของเขา จ้าวเฟิงได้คาดไว้ว่ามันอาจคล้ายคลึงกับสวนโบราณที่ถูกลืมของเป่ยโม่ย

ระหว่างทางไปยังสถานที่ที่เงียบงันนั้น เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงปราณแท้ที่คุ้นเคยใกล้ๆ

“ศิษย์พี่หลิน!”

จ้าวเฟิงเห็นหลินฟ่านที่ห่างออกไปราวๆ สี่ถึงห้าลี้ด้วยดวงตาซ้ายของเขา ปราณแท้ที่พลุ่งพล่านออกจากร่างของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่ง ราวกับว่าชายหนุ่มเพิ่งจะได้ทะลวงเข้าสู่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณไม่นานนัก

จ้าวเฟิงตรวจสอบว่าเขาได้สวมใส่ที่ปิดตาและไปพบกับอีกฝ่าย

“ศิษย์น้องจ้าว ข้าไม่คิดว่าเราจะได้พบกัน” หลินฟ่านยินดีอย่างมาก

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวชี้ทางให้กับชายหนุ่ม

“มันมีหุบเขาที่ถูกครอบคลุมด้วยค่ายกลมายาห่างออกไปห้าสิบลี้ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ท่านสามารถทดสอบดวงของท่านได้ในที่นั้น…”

หุบเขาที่เด็กหนุ่มชี้คือสถานที่ที่เขาเพิ่งจากมา

จ้าวเฟิงอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะพบกับภาพมายาแบบเดียวกับเขาหรือไม่

“แน่นอนว่ามันไม่มีคำยืนยันว่าท่านจะสำเร็จ จากหุบเขามีศาลเจ้าลับห่างออกไปสิบลี้ในทิศใต้ ท่านเองก็สามารถไปที่นั่นได้เช่นกัน”

เด็กหนุ่มบอกอีกที่ที่มีสมบัติให้กับอีกฝ่าย

หลินฟ่านได้ทะลวงขั้นเมื่อไม่นานมานี้ และเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

“ศิษย์น้องจ้าว เหตุใดเจ้าจึงได้รู้จักสถานที่แห่งนี้ดีนัก?”

“แน่นอน! ข้าได้ใช้เวลาหลายวันในการสำรวจสถานการณ์ในเกาะพรมแดนนภา ข้าเห็นพื้นที่ในระยะเกือบหนึ่งร้อยถึงสองร้อยลี้ก่อนที่ข้าจะเริ่ม…”

จ้าวเฟิงเอ่ยกึ่งจริงกึ่งโกหก

หลินฟ่านรู้สึกชื่นชมเด็กหนุ่มมากขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่นนั้นย่อมไม่ปล่อยมือจากสมบัติเมื่อพวกเขาเห็นมัน ทว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นกระทั่งไม่ได้ไปหาสมบัติใดๆ ในเวลาห้าวันแรก เขากลับสำรวจพื้นที่เพื่อที่จะสำรวจสถานการณ์แทน

มีคำกล่าวไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

จากการกระทำแรกของอีกฝ่าย มันย่อมสามารถมองเห็นได้ว่าเป้าหมายของเขานั้นเหนือกว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบผู้อื่น

หลังจากบอกลาชายหนุ่ม จ้าวเฟิงก็มุ่งหน้าตรงไปยังจุดมุ่งหมายที่สามต่อ

“หกวันได้ผ่านพ้นไปแล้วในการทดสอบยอดนภา เหลือเพียงแค่สามหรือสี่วันเท่านั้น”

เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าของเขาขึ้น

จุดมุ่งหมายที่สามนั้นค่อนข้างห่างไกลออกไป ทว่าโชคดีที่สัตว์อสูรที่ควรจะอยู่โดยรอบได้หายไป ซึ่งทำให้เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้น

ครึ่งวันต่อมา

จ้าวเฟิงมาถึงยังสนามหญ้า

ก่อนหน้ามันได้มีฝูฃปักษาที่ทรงพลังบินอยู่บนท้องนภา แต่ล่ะฝูงนั้นน่าหวาดผวาเสียยิ่งกว่าค้างคาวนิลโลหิตในการทดสอบที่สอง ทว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันซึ่งได้แช่แข็งเกาะทั้งเกาะ จำนวนของปักษาเหล่านั้นจึงได้ลดลงอย่างมาก

จ้าวเฟิงเร่งความเร็วของเขาและผ่านสวนที่น่ารักไป

“แต่เดิมมันได้มีต่อพิษอยู่จำนวนมากที่นี่โดยที่ตัวที่อ่อนแอที่สุดได้อยู่ในระดับครึ่งขั้นแห่งขอบเขตก่อกำเนิดนภา และส่วนมากอยู่ที่นภาที่หนึ่งและสอง พวกมันมีนับหมื่นตัว และหากคนผู้หนึ่งโชคร้ายถูกล้อม…” เด็กหนุ่มถอนหายใจ

กองทัพต่อพิษนั้นบัดนี้ได้หลบซ่อนเนื่องจากความหนาวเย็น อุณหภูมิในบัดนี้ได้ส่งผลต่อผู้ที่อยู่ในนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณอย่างมาก และมีเพียงผู้ที่อยู่ในนภาที่สามหรือสูงกว่าที่จะสามารถลดผลกระทบลงได้

“ในที่สุดข้าก็มาถึง”

จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวขณะที่เขาจ้องมองไปยังปราสาทเบื้องหน้า ตัวปราสาทนั้นได้ให้กลิ่นอายเก่าแก่ออกมา อิฐทุกๆ ก้อนที่ได้ใช้สรรค์สร้างมันขึ้นก็ปรากฏร่องรอยของกาลเวลา

ในด้านของขนาดนั้น ปราสาทนี้นับว่าเท่าเทียมกับสวนโบราณที่ถูกลืมของเป่ยโม่ย ทว่าเป็นเพราะบัดนี้ทุกสิ่งได้ถูกครอบคลุมอยู่ภายใต้น้ำแข็ง อันตรายของมันจึงลดลง หลังจากที่เดินเข้าไปภายใน เด็กหนุ่มได้ระมัดระวังมากขึ้นเมื่อตัวปราสาทเองนั้นก็อันตราย

ตัวอย่างเช่น คูน้ำด้านนอกนั้นได้ส่งคลื่นรบกวนออกมา จ้าวเฟิงได้หยิบอาวุธชั้นมนุษย์ที่แตกหักออกมาก่อนจะโยนมันลงไปในของเหลวสีเทาดำ เสียงฉ่าดังขึ้นพร้อมกับที่อาวุธชิ้นนั้นละลายหายไปอย่างรวดเร็ว…

แม้ว่าอาวุธจะได้สูญเสียค่ายกลไปและอ่อนด้อย แต่ผู้ฝึกตนธรรมดาในขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นไม่อาจแม้กระทั่งทำลายมันได้

ทั้งปราสาทนั้นเงียบสนิท ให้ความรู้สึกหม่นมัว

จ้าวเฟิงสำรวจรอบนอก ก่อนที่สีหน้าของเขาจะแปรเปลี่ยนไป

“มีร่องรอยของคนบางคนที่นี่” หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุก

มันมีความเป็นไปได้สองอย่าง

  1. 1. มีสิ่งมีชีวิตลึกลับที่น่าสะพรึง
  2. 2. ศิษย์ผู้อื่น

จ้าวเฟิงคิดว่าความเป็นไปได้ที่สองนั้นสูงกว่า

เคร้ง! ตูม! เพี้ยะ!

ในตอนนี้ เสียงต่อสู้ก็ได้ดังขึ้นจากส่วนลึกภายในปราสาท ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้เพ่งความสนใจไปยังสิ่งก่อสร้างที่ดูหรูหราและได้นิ่งอึ้งไปเล็กๆ จากสิ่งที่เห็น

“โชคร้ายยิ่ง! ข้าบังเอิญปล่อยเจ้าพวกนี้ออกมายามที่ข้าเข้าไปยังกลางปราสาท”

ร่างโทรมๆ ของกวานเฉินพุ่งออกมาจากสิ่งก่อสร้างนั้น เบื้องหลังของเขาคือชุดเกราะดำสองตัวที่ไม่มีวี่แววของชีวิต ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสามารถมองทะลุผ่านวัสดุของเกราะได้ และเขาพบว่าชุดเกราะดำทั้งสองนั้นเป็นเพียงเครื่องกลที่มีพลังงานกักเก็บอยู่ที่ใจกลาง

จากสถานการณ์ปัจจุบัน ชุดเกราะดำทั้งสองนั้นดูเหมือนจะมีพลังใกล้เคียงกับนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ หรือมิเช่นนั้นพวกมันย่อมไม่อาจไล่ล่ากวานเฉินได้เช่นนั้น

“ศิษย์น้องจ้าว รีบๆ มาช่วยข้าเร็ว”

ดวงตาของกวานเฉินเปล่งประกายเมื่อเขาสังเกตเห็นจ้าวเฟิงที่อยู่ใกล้ๆ

คิ้วของเด็กหนุ่มเลิกสูงขึ้นและพลันดึงคันศรออกมาโดยสัญชาตญาณพร้อมหยิบศรจากแล่ง ทว่าเขาพลันหยุดชะงักลงกลางครัน

“ศรสีฟ้าเหล่านี้มีผลเป็นผนึกน้ำแข็ง ทว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว”

มันไม่คุ้มค่าที่จะเสียศรเหล่านี้ไปเพราะอีกฝ่าย

“ศิษย์พี่กวาน ศรของข้าอาจไม่สามารถแทงทะลุเกราะของพวกมันได้”

ร่างของจ้าวเฟิงขยับวูบพร้อมกับทะยานร่างขึ้นไปเหนือบานประตูปราสาท

กวานเฉินสบถในใจ จ้าวเฟิงไม่ช่วยเหลือเขา ทว่ามันเป็นสิ่งที่คาดเดาได้

โชคดีที่ชุดเกราะดำทั้งสองเพียงแค่ไล่ล่าเขา 100 หลาก่อนจะกลับไปยังภายในสิ่งก่อสร้างนั้น ราวกับว่ามันปกป้องรักษาตึกนั้นเป็นหน้าที่ และพวกมันจะไม่สนใจแม้ทั้งปราสาทจะถูกทำลายลง

“ศิษย์น้องจ้าว เจ้ามาได้เวลาพอดี! ปราสาทนี้เลวร้ายนัก ข้าได้พบใจกลางของมันในที่สุด ทว่ามันย่ำแย่ยิ่ง เหตุใดเจ้าจึงไม่ร่วมมือกับข้า แล้วเราค่อยแบ่งสมบัติกันคนล่ะครึ่งเล่า?”

กวานเฉินแย้มรอยยิ้ม ทว่าปรากฏประกายแสงเย็นเยียบในแววตา

“ได้”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ

เขานั้นเป็นศัตรูกับชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่ยามที่เข้าร่วมสำนัก และก่อนหน้าเขาเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของอีกฝ่าย ทว่าบัดนี้เขาได้เข้าสู่จุดที่เขาไม่แม้แต่จะหวาดกลัวอีกฝ่ายอีกต่อไป

กวานเฉินต้องการที่จะใช้จ้าวเฟิง และหากมีโอกาสก็จะฆ่าอีกฝ่ายเสีย

นี่เองก็เป็นแผนเดียวกับจ้าวเฟิง เขาได้เข้ามาภายในปราสาทหลังกวานเฉิน และด้วยความช่วยเหลือของอีกฝ่าย เขาจะสามารถเข้าไปยังใจกลางได้ หากเขามีโอกาส เขาจะส่งกวานเฉินไปตามทางของเขาเช่นกัน… ทั้งสองต่างวางแผนขณะที่เดินตรงไปยังสิ่งก่อสร้างที่ใจกลาง

“ศิษย์พี่กวาน ท่านได้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองวันใช่หรือไม่? ท่านย่อมได้รับสิ่งของมากมายแล้ว!” จ้าวเฟิงหัวเราะขณะที่เขาเหลือบมองไปยังกระเป๋าที่เต็มเปี่ยมของอีกฝ่าย

เขาสามารถมองเห็นของเหล่านั้นได้ด้วยดวงตาซ้ายของเขา และเขารู้มูลค่าของของเหล่านี้ แม้ว่าพวกมันจะดี แต่มันก็ไม่อาจนับเป็นอันใดได้เมื่อเทียบกับกำไลมิติและผนึกสายฟ้ายอดนภาที่เขาได้รับ

“ไม่ ไม่ ไม่! ข้าเพิ่งเพียงแค่ได้เข้าไปที่ใจกลาง ในอีกสามวัน ทุกคนจะถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูร และเราย่อมไม่มีโอกาสใดอีกต่อไป”

กวานเฉินนำทางไป ไม่ช้าทั้งสองก็ได้เข้าไปภายในสิ่งก่อสร้าง กวานเฉินได้อยู่ที่นี่มากว่าสองถึงสามวัน และเขาได้จัดการบริเวณรอบนอกไปหมดแล้ว

สถานที่ที่มีมูลค่ามากที่สุดนี้คือห้องสมบัติที่มีสิ่งของมากมาย ทว่ามันมีผู้พิทักษ์จำนวนมากที่มีพลังอยู่ในระหว่างนภาที่สี่ถึงหก…” ชายหนุ่มเอ่ยอธิบาย

ร่างของจ้าวเฟิงลอยสูงขึ้นไปยังสิ่งก่อสร้างสูงและกวาดตาสำรวจพื้นที่โดยรอบ ทันใดนั้น โครงสร้างรวมทั้งสถานที่อยู่ของผู้พิทักษ์ก็ได้ถูกเห็นโดยเด็กหนุ่ม

กวานเฉินบอกเขาเพียงแค่ส่วนของอันตราย ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้บอกเกี่ยวกับอันตรายที่หลบซ่อนอยู่ส่วนหนึ่ง จ้าวเฟิงหัวเราะเย็นเยียบในใจขณะที่เขาติดตามอีกฝ่ายไปและเข้าไปยังโถงกว้าง

ภายในโถงนั้นได้ปรากฏผู้พิทักษ์ในชุดเกราะสีดำและเงินจำนวนหนึ่ง ผู้พิทักษ์เกราะดำนั้นมักจะมีพลังอยู่ในนภาที่สี่ถึงห้า ในขณะที่ผู้พิทักษ์เกราะเงินนั้นได้เข้าสู่นภาที่หกหรือสูงกว่า

กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหยางก่านยังมีความยากลำบากในการทะลวงที่แห่งนี้ไป

ไม่แปลกใจเลยที่กวานเฉินจะต้องการร่วมมือกับเขา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกัน

“ศิษย์น้องจ้าว นั่นคือห้องสมบัติ”

ชายหนุ่มชี้ไปยังห้องเก่าแก่ที่ได้ส่งกลิ่นอายของสิ่งของชั้นจิตวิญญาณออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version