บทที่ 179 : แผนมากเล่ห์
จ้าวเฟิงสังเกตห้องสมบัติ
ตั้งแต่วินาทีที่เขาเข้าไป ดวงตาซ้ายของเขาก็ได้กวาดสำรวจพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งสถานที่ที่มีผู้พิทักษ์อยู่
มันมีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ สถานที่แห่งนี้เป็นส่วนที่เป็นใจกลางและได้รับการปกป้องมากที่สุดจริงๆ
กวานเฉินได้ใช้เวลากว่าสองถึงสามวันในการเข้ามาถึงที่นี่ และผู้พิทักษ์อย่างน้อยสี่สิบตนได้ถูกจัดการไปแล้วเพื่อที่จะมาที่นี่ได้
จ้าวเฟิงรู้ว่ามันมีผู้พิทักษ์นับร้อยภายในปราสาทนี้ และมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับกวานเฉินที่จะเข้ามาถึงที่นี่ได้ อีกย่อมย่อมต้องสูญเสียบางอย่างไปเป็นราคา แม้ว่าพลังเขาจะอยู่ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ตาม
ด้วยนิสัยของชายหนุ่ม มีหรือเขาจะให้ผู้อื่นนำรางวัลไป?
ดังนั้นแล้ว ความตั้งใจของอีกฝ่ายในการแบ่งสมบัติ ‘คนล่ะครึ่ง’ นั่นย่อมไม่เป็นความจริง
จ้าวเฟิงรู้ว่าด้วยการใช้กวานฉิน เขาจะสามารถเข้าสู่ใจกลางด้วยความยากที่ลดน้อยลงได้
ห้องสมบัติเบื้องหน้าเข้านั้นมีความกว้างเท่าเทียมกับห้องรับรอง หากไม่ก็คงใหญ่กว่าเล็กน้อย กลิ่นอายของสมบัติภายในได้ทำให้หัวใจของผู้ฝึกตนทุกคนเต้นแรง
“และกลิ่นอายของพวกมันนั้นกระทั่งทรงพลังกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณทั่วไป”
ประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นกระทั่งเหนือกว่ากวานเฉิน อย่างไรก็ตามเขาก็เคยได้ครอบครองอาวุธชั้นจิตวิญญาณมาก่อน
อาวุธชั้นจิตวิญญาณนั้นล้ำค่าอย่างมาก และสำนักส่วนมากครอบครองไว้เพียงหนึ่งหรือสองชิ้น และพวกมันถูกกระทำราวกับเป็นมรดกล้ำค่า
นอกจากนั้น มันเป็นเพียงแค่กลิ่นอายจากห้องสมบัติ มันอาจไม่นับเป็นถึงหนึ่งในร้อยส่วนของกลิ่นอายที่แท้จริงของพวกมัน
“ศิษย์น้องจ้าว เหตุใดเราจึงไม่แยกกันเล่า? หนึ่งในพวกเราล่อผู้พิทักษ์ส่วนมากออกไป ในขณะที่อีกคนเข้าไปภายในห้องสมบัติและขโมยพวกมันทั้งหมดออกมา?”
กวานเฉินฝืนยิ้มขึ้น
“ขโมย? ศิษย์พี่กวาน อย่าได้เอ่ยให้มันดูย่ำแย่นักเลย ผู้เป็นเจ้าของพวกมันไม่ได้อยู่ที่นี่ ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเขาได้ตายตกไปแล้วกี่ปี? เราได้นำมันมาอย่างขาวสะอาดโดยสิ้นเชิง”
จ้าวเฟิงหัวเราะ
“ใช่ ใช่ พวกเรานำมันมา”
กวานเฉินหัวเราะอย่างแข็งๆ พร้อมกับพยายามกดความโกรธไว้ในใจ เมื่อใดกันที่ไอ้มดปลวกนี้กล้าพูดกับเขาเช่นนี้กัน?
ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องว่าผู้ใดจะเป็นคนล่อผิพิทักษ์ และผู้ใดจะนำสมบัติออกมา
จ้าวเฟิงนั้นได้กวาดตามองรอบห้องสมบัติก่อนเป็นอย่างแรก และค้นพบร่องรอยของค่ายกลภายใน ดวงตาซ้ายของเขาสามารถมองทะลุผ่านกำแพงได้อย่างกล้ำกลืนและพบกับเส้นที่อยู่ภายใน
“ศิษย์น้องจ้าว วิชาเคลื่อนไหวของเจ้านับว่าไม่เลว ดังนั้นแล้วมันย่อมไม่เป็นปัญหามากสำหรับเจ้าในการล่อผู้พิทักษ์ออกไป แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ต้องการ ข้าสามารถทำได้เช่นกัน”
กวานเฉินเอ่ยอย่างใจกว้าง ราวกับว่าเขาไม่ใส่ใจไม่ว่าเด็กหนุ่มจะเลือกสิ่งใด
คนส่วนมากย่อมเลือกอีกตัวเลือกหนึ่งเมื่อพวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยกว่าหากพวกเขาเป็นผู้ที่ไปนำสมบัติมา
“ได้ ข้าจะไปล่อผู้พิทักษ์เอง”
จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ
“แน่นอน”
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ทว่ายังคงหัวเราะเสียงเย็นในใจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกสิ่งใด มันก็จะยังคงเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่ถูกส่งไปตายอยู่ดี!
อย่างแรก จ้าวเฟิงนั้นเพิ่งมาถึงปราสาทและไม่รู้ถึงอันตรายบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ หากอีกเขาเลือกที่จะล่อผู้พิทักษ์ เขาย่อมดึงดูดอันตรายมากกว่าเดิม
อย่างที่สอง หากจ้าวเฟิงเลือกที่จะเข้าไปในห้องสมบัติ สิ่งที่กวานเฉินจำเป็นต้องทำก็มีเพียงล่อผู้พิทักษ์ไปและหายไปโดยไร้ร่องรอย ซึ่งหมายความว่าผู้พิทักษ์ที่ถูกล่อออกไปจะกลับไปยังห้องสมบัติ
ดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจไม่ว่าจ้าวเฟิงจะเลือกตัวเลือกใด เมื่อทั้งสองตัวเลือกได้ส่งเด็กหนุ่มไปสู่ความตายอย่างแน่นอน
มีผู้พิทักษ์ราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบตนอยู่ใกล้ๆ ห้องสมบัติมีพลังอยู่ในระหว่างนภาที่สี่ถึงนภาที่หก ดังนั้นแล้วการล่อผู้พิทักษ์เหล่านี้ออกไปจึงเป็นงานที่อันตราย
ปึง!
จ้าวเฟิงชกหมัดออกไป สร้างคลื่นอากาศกระแทกไปยังกำแพงของห้องสมบัติ สั่นสะท้านทั้งห้อง
ห้องสมบัตินั้นมีค่ายกลปกป้องอยู่ ในเสี้ยววินาทีที่การโจมตีนั้นไปถึง แสงสีแดงก่ำก็ได้ปรากฏขึ้น ดึงดูดความสนใจของผู้พิทักษ์ใกล้ๆ จำนวนหนึ่ง
เช้ง! ฟุ่บ!
ร่างของเด็กหนุ่มพลันกลายเป็นเงาพร่าเลือนขณะที่เขาดึงดูดความสนใจของผู้พิทักษ์กว่าสิบถึงยี่สิบตนออกไปยังส่วนนอก
ในบรรดาผู้พิทักษ์ไหล่านี้ ราวๆ สิบตนอยู่ในนภาที่สี่ สี่ตนในนภาที่ห้า และผู้พิทักษ์เกราะเงินในนภาที่หกหนึ่งตัว
“เยี่ยมมากศิษย์น้องจ้าว!”
กวานเฉินหัวเราะลำพองอย่างยินดีพร้อมกับประกายเย็นเยียบที่แล่นวาบในแววตา
หลังจากถูกไล่ล่าโดยผู้พิทักษ์จำนวนมาก บางทีคงมีเพียงหยางก่านที่สามารถล่าถอยได้โดยไม่ได้รับอันตราย กระทั่งเป่ยโม่ยและตัวเขาเองยังเรียกได้ว่าอันตรายยิ่งนัก
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังเพิ่งจะเข้ามาภายในปราสาท และไม่รู้ถึงอันตรายอื่นๆ
ร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกลายเป็นภาพติดตาขณะที่เขาโคจรปราณแท้วายุสวรรค์จนถึงขีดสุด เพิ่มความเร็วของเขาให้เหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณส่วนมาก
นั่นเป็นเพราะเขาได้เข้าสู่ขั้นสูงในวิชาเซียนวายุสวรรค์ และความบริสุทธิ์ของปราณแท้ของเขานั้นกระทั่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาในนภาที่สี่
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังได้หลอมรวมภาพมัจฉามายาเข้าสู่วิชานี้ ซึ่งทำให้ความเร็วของเขากระทั่งเหนือกว่าของกวานเฉิน
นอกเหนือไปจากนั้น ผู้พิทักษ์เหล่านี้ยังได้สวมใส่เกราะหนักที่ได้เพิ่มพลังป้องกันของพวกมัน แต่ได้ถ่วงความคล่องแคล่ว และระยะการเคลื่อนไหวของมันนับได้ว่าเป็นข้อบกพร่อง
เด็กหนุ่มใช้ความคล่องแคล่วของเขา กระทั่งผู้พิทักษ์ในนภาที่ห้าและหกก็ไม่อาจไล่ตามเขาได้ทันในระยะเวลาสั้นๆ
ดวงตาซ้ายของเขาสามารถมองผ่านกำแพงและคาดเดาอันตรายที่ซ่อนอยู่บางอย่างได้
สำหรับพื้นที่นั้น เขากระทั่งคุ้นเคยกว่ามันมากกว่ากวานเฉินเสียอีก
ไม่ช้า
จ้าวเฟิงได้ล่อผู้พิทักษ์เหล่านี้ไปยังทางเข้าของสิ่งก่อสร้าง
ในยามนี้ เหล่าผู้พิทักษ์ที่ยังคงไล่ตามเขาได้ทันมีเพียงผู้พิทักษ์ที่อยู่ในนภาที่ห้าและผู้พิทักษ์เกราะเงิน
มีเพียงความเร็วของผู้พิทักษ์เกราะเงินที่สามารถเทียบเท่าได้กับเด็กหนุ่ม ทว่าความคล่องแคล่วของมันนั้นห่างไกลนัก
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสามารถมองเห็นร่างกายของผู้พิทักษ์และค้นหาช่องว่างของพลังงานภายในได้ ซึ่งทำให้เขาสามารถคาดเดาการโจมตีของพวกมันได้ก่อน
เด็กหนุ่มสามารถหลบหลีกการโจมตีของผู้พิทักษ์เกราะเงินได้หลายครั้ง หากเขาโดนการโจมตีเหล่านั้น เขาย่อมบาดเจ็บสาหัส หากมิเช่นนั้นก็คงตาย แม้ว่าวิชากำแพงเงินของเขาจะถูกฝึกจนเข้าสู่ระดับสูงสุดแล้วก็ตาม
ทว่าจ้าวเฟิงที่มีดวงตาซ้ายลึกลับนั้นได้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้
หลังจากวิ่งออกจากสิ่งก่อสร้างนั้น พื้นที่ก็กลายเป็นแบนราบซึ่งทำให้มันยากสำหรับเขาในการใช้ข้อได้เปรียบของเขา
ระยะห่างระหว่างเด็กหนุ่มกับผู้พิทักษ์เกราะงั้นค่อยๆ หดสั้นลง
เมื่อผู้พิทักษ์สามารถตามทันและสามารถขัดขวางเขาได้ ผู้พิทักษ์เกราะดำอีกสี่ตนในนภาที่ห้าก็จะมาถึง ซึ่งแทบจะยืนยันความตายของเขาได้
พรึ่บ!
ชั้นโลหิตสีครามปรากฏขึ้นภายในร่างของจ้าวเฟิงซึ่งได้ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งวิญญาณที่ทรงพลังออกมา
เสี้ยววินาทีนั้น พลังจิต สมาธิ และประสาทสัมผัสของเขาก็ได้เพิ่มสูงขึ้น
พลังแห่งสายเลือดนั้นเป็นสิ่งที่ตัวจ้าวเฟิงเองก็ไม่เข้าใจ ทว่าความแตกต่างนั้นชัดเจน เช่นเดียวกับการที่หมัดที่มีพลังของสายเลือดนั้นหนักราวๆ 3,000-3,500 กิโลกรัม ในขณะที่ยามที่ไม่มีพลังของมันนั้นหนักเพียงแค่ 1,500-2,000 กิโลกรัม
ในตอนนี้ ความเร็วของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้เพิ่มขึ้นในเสี้ยววินาที
ฟุ่บ
ความเร็วของจ้าวเฟิงนั้นเพิ่มขึ้นเกือบจะถึงสองเท่า และกระทั่งเหนือกว่าผู้พิทักษ์เกราะเงินที่อยู่ในนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ อีกฝ่ายนั้นอาจมีพลังฝึกตนสูง ทว่าความเร็วของมันนั้นเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในนภาที่ห้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในเวลาเสี้ยวพริบตา เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวก็ได้วิ่งห่างออกไปนับสิบหลา จากนั้นเขาจึงหมุนตัวและนำคันศรโหลวฮัวออกมาก่อนที่จะทาบศรสีฟ้าลงไป
ในฐานะที่อยู่กลางอากาศ เด็กหนุ่มสามารถมองเห็นสถานการณ์ของกวานเฉินได้ด้วยดวงตาซ้ายของเขา หลังจากที่อีกฝ่ายได้เข้าไปยังห้องสมบัติและแตะต้องค่ายกล ผู้พิทักษ์ใกล้ๆ นับสิบก็ได้ไล่ล่าชายหนุ่มไป แต่เพราะทางไปยังห้องสมบัตินับเล็ก ผู้พิทักษ์จึงสามารถผ่านไปได้เพียงทีล่ะตัวเท่านั้น
กวานเฉินนั้นเจ้าเล่ห์อย่างมาก ชายหนุ่มได้ปิดกั้นทางเข้าออกฝั่งหนึ่งของห้องสมบัติและพยายามนำสิ่งของในห้องนั้นไปพร้อมกับสู้กับเหล่าผู้พิทักษ์ไปด้วย
สมบัติที่แตกต่างกันได้ส่งลิ่นอายบริสุทธิ์และดึงดูดออกมา ทำให้หัวใจของคนผู้หนึ่งเต้นแรง
เปรี้ยง!
กวานเฉินพยายามที่จะนำสิ่งของไป ทว่าถูกขัดขวางโดยชั้นแสงสีขาว และกระทั่งเกือบได้รับบาดเจ็บ
“บัดซบ! สมบัติทั้งหมดมีค่ายกลปกป้องอยู่!”
สีหน้าของชายหนุ่มถมึงทึง เขาพยายามหลายครั้งและรู้ว่าค่ายกลเหล่านี้ไม่อาจทำลายได้ในระยะเวลาสั้นๆ
มันเป็นโชคดีที่พลังฝึกตนของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในการทดสอบ ทั้งเขายังมีอาวุธมนุษย์ระดับกลางซึ่งหมายความว่าเขาย่อมสามารถจัดการผู้พิทักษ์เกราะดำในนภาที่สี่ได้อย่างง่ายดาย
“ไอ้ตัวบัดซบจ้าวเฟิงนั่นอาจตายหลังจากที่ล่อผู้พิทักษ์ไปจำนวนมาก”
กวานเฉินรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงจ้าวเฟิง
ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านนอกสิ่งก่อสร้าง
ผึง! ฟุ่บ
ของสีฟ้าได้พุ่งผ่านอากาศ ทำให้อุณหภูมิของบริเวณที่มันผ่านลดต่ำลง
สัญลักษณ์บัวหิมะบนคันศรโหลวฮัวพลันส่องประกายขึ้นเมื่อสายของมันถูกรั้ง และภายใต้อุณหภูมิที่แช่แข็งทุกสิ่ง มันก็ได้กลายเป็นศรโปร่งใสแห่งน้ำแข็ง
เพล้ง!
ลูกศรได้โจมตีไปยังผู้พิทักษ์เกราะเงินตรงๆ และแตกกระจายออก
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเด็กหนุ่ม เขาย่อมไม่อาจทำลายการป้องกันของผู้พิทักษ์เกราะเงินได้ โดยเฉพาะเมื่อจุดแข็งของผู้พิทักษ์เหล่านี้อยู่ที่การป้องกัน
ผู้พิทักษ์เกราะเงินทะยานร่างเข้าหาจ้าวเฟิงโดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บใดๆ
ทว่าเพียงแค่มันขยับ การเคลื่อนไหวของมันก็เชื่องช้าลงเล็กๆ พร้อมกับที่ชั้นน้ำแข็งได้ปรากฏขึ้นทั่วร่างของมัน
ความเย็นที่น่าพรั่นพรึงได้แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่รอบกายของมันในระยะสี่ถึงห้าหลา
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ฝีเท้าผู้พิทักษ์เกราะดำแข็งค้างเมื่อพวกมันเข้าไปในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากศรน้ำแข็ง
ในเวลาเพียงแค่หนึ่งลมหายใจ ผู้พิทักษ์เกราะดำในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไป
มีเพียงแค่ผู้พิทักษ์เกราะเงินที่สามารถต่อต้านความหนาวเย็นนั้นได้อย่างกล้ำกลืน
ในตอนนี้ ผู้พิทักษ์เกราะเงินรวมทั้งผู้พิทักษ์เกราะดำต่างถูกควบคุมโดยศรเพียงหนึ่งดอกของจ้าวเฟิง
ผลลัพธ์ของมันนั้นเหนือกว่าที่เด็กหนุ่มคาดไว้มากนัก
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาซ้ายของเขาออกและรับรู้ได้ว่าชั้นของน้ำแข็งนั้นได้แพร่กระจายออกไปยังส่วนต่างๆ ของเหล่าผู้พิทักษ์ ไม่ช้าก็เข้าไปถึงใจกลางที่เป็นที่กักเก็บพลังงาน
ผู้พิทักษ์เหล่านี้ไม่มีชีวิต ทว่ามันมีร่างกายหลายส่วน เมื่อพวกมันถูกแช่แข็ง มันย่อมส่งผลต่อจำนวนของพลังงานที่สามารถถ่ายเทได้
จากที่มองนั้น ผู้พิทัก์เกราะดำทั้งสี่ได้ถูกผนึกในน้ำแข็งและไม่อาจหลบหนีออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ
เป็นผู้พิทักษ์เกราะเงินที่ยังคงต่อต้าน ทว่าแม้มันจะสามารถพังผนึกน้ำแข็งออกมาได้ ความเร็วของมันก็จะถูกจำกัด
ไป!
จ้าวเฟิวไม่สนใจผู้พิทักษ์เหล่านี้และมุ่งกลับไปยังภายในสิ่งก่อสร้าง
ในพื้นที่ใจกลาง กวานเฉินยังคงเผชิญหน้าอยู่กับเหล่าผู้พิทักษ์ ทว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้ไม่ได้เหมือนจะฉลาด หรือมิเช่นนั้นพวกมันคงเรียกผู้พิทักษ์นับร้อยที่เหลือมาแล้ว เว้นเสียแต่คนผู้นั้นอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ย่อมไม่มีผู้ใดที่สามารถหลบหนีไปจากผู้พิทักษ์จำนวนมากมายเช่นนั้นได้
จ้าวเฟิงพลิ้วกายลงบนหลังคาใกล้กับห้องสมบัติและมองดูละครเบื้องล่าง
ขณะที่เด็กหนุ่มผมครามกลับมา ผู้พิทักษ์เกราะดำที่ไม่อาจไล่ตามเขาได้ทันก่อนหน้าก็ได้กลับมายังห้องสมบัติอีกครั้ง
ผู้พิทักษ์ชุดเกราะจำนวนราวๆ 20-30 ตัวได้ล้อมรอบห้องสมบัติเอาไว้
“ไอ้เด็กเหลือขอจ้าวเฟิงนั่นเสร็จไปแล้วหรือ?”
สีหน้าของกวานเฉินแปรเปลี่ยนไปขณะที่เขาฟาดฟันไปเบื้องหน้าอย่างหนักหน่วง ฉีกกระชากร่างของผู้พิทักษ์เกราะดำสองตัวเป็นชิ้น
หนี!
ชายหนุ่มเร่งความเร็วตรงไปยังทางออกของสิ่งก่อสร้าง ทว่าก่อนที่เขาจะไปถึงมัน ประกายสีเงินเย็นเยียบก็ได้มาจากทิศทางตรงข้าม
“เฮือก!”
กวานเฉินสะอึกขณะที่เขามองไปยังผู้พิทักษ์เกราะเงินที่ถูกครอบคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง
“ฮี่ฮี่”
ร่างร่างหนึ่งหัวเราะเสียงแผ่วและมุ่งตรงเข้าไปยังห้องสมบัติขณะที่กวานเฉินได้ถูกไล่ล่าโดยเหล่าผู้พิทักษ์
ในยามนี้ ไม่มีผู้พิทักษ์ตัวใดหลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้น