บทที่ 197 : ท้าประลองศิษย์หลัก (1)
นภาที่สี่นั้นแตกต่างจากนภาที่สามอย่างมาก จ้าวเฟิงรู้สึกว่าประสาทสัมผัสที่รับรู้ถึงพลังรอบกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดูดซึมพลังงานเหล่านี้ได้โดยตรง เขาก็ยังคงสามารถรับพวกมันเข้ามาได้โดยการฝึกตน
เมื่อคนผู้หนึ่งเข้าสู่ระดับนี้ พวกเขาก็เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘เจียนเทียน’
“เมื่อผู้ฝึกฝนได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ พวกเขาก็จะมองหาโอกาสและเส้นทางที่ใหญ่กว่า”
จ้าวเฟิงเริ่มที่จะเข้าใจ
ผู้ฝึกฝนนั้นเป็นเพียงหนึ่งในชื่อเรียกของผู้ฝึกตน มันมีเส้นทางอื่นเช่น ผู้คุ้มครองศพโลหิต ที่ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเองให้เป็นดั่งศพเดินได้ นั่นคือเส้นทางแห่งศพ
ร่างในชุดคลุมที่ป่าเมฆาคล้อยที่ได้ควบคุมกองทัพสัตว์อสูรไปโจมตีนครหลวงกว่านจวินเองก็ยังมีเชื้อสายลึกลับ ในโลกใบนี้ มันมีเคล็ดและวิชาทุกรูปแบบ
ผู้ฝึกฝนนั้นคือทางที่ธรรมดาและเรียบง่ายที่สุดในการที่จะเป็น ทว่าในเวลาเดียวกันพวกเขาก็คือคนส่วนมาก
หลังจากเข้าสู่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ จ้าวเฟิงก็ฝึกตนอีกสองวันเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระดับขั้นของเขาและจัดการวิชาในมิติในดวงตาซ้ายของเขา นั่นรวมถึงวิชาชั้นมนุษย์ระดับสุดยอด และกระทั่งวิชาชั้นจิตวิญญาณ!
จ้าวเฟิงอ่านพวกมันเพียงเพื่อเพิ่มความรู้ วิชาที่เข้าฝึกฝนเป็นหลักนั้นยังคงเป็นมรดกอัสนี มรดกนั้นมีทุกสิ่ง โจมตี ป้องกัน การเคลื่อนไหว และเคล็ดลับ ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนวิชาอื่นใด
สองวันต่อมา
ฟู่วววว
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกก่อนจะออกจากที่พัก ในวินาทีนั้นเอง เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงพลังงานที่แปรปรวนใกล้ๆ
“หลินฟ่านเองก็ทะลวงขั้นแล้วหรือ?”
จ้าวเฟิงเหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่ง หลังจากเข้าสู่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ประสาทสัมผัสของเขาก็แหลมคมขึ้นมากนัก
ทันทีที่หลินฝานทะลวงขั้น ศิษย์สายในจำนวนมากก็ได้มาหาและแสดงความยินดีต่อเขา นั่นร่วมทั้งองค์หญิงอวิ๋นเมิ่งเซียง ซู่เหริน เสี่ยวซุน และคนอื่นๆ ครั้นเมื่อศิษย์ผู้หนึ่งเข้าสู่นภาที่สี่ พวกเขาก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นศิษย์หลัก
หลินฝานได้มาอยู่ในสำนักเป็นเวลาพักหนึ่งแล้ว และเขามีสหายอยู่จำนวนหนึ่งที่ได้มาแสดงความยินดีด้วย จ้าวเฟิงหัวเราะและเดินไปยังที่พักของชายหนุ่ม
ภายในห้องรับรอง
“ยินดีด้วยศิษย์พี่หลิน ในการที่ท่านได้เข้าสู่นภาที่สี่ ดูเหมือนว่าการเป็นศิษย์หลักนั้นจะอยู่มิห่างไกลแล้ว”
“ศิษย์พี่หลินนั้นนับเป็นมังกรในบรรดาคนโดยแท้ ยามที่ท่านโผทะยาน อย่าได้ลืมพวกเราเสียเล่า”
ศิษย์สายในทั้งหมดสิบคนได้เอ่ยอย่างเคารพและเยินยอ
ในบรรดาคนเหล่านั้น อวิ๋นเมิ่งเซียง เสี่ยวซุน และซู่เหรินต่างมีสีหน้าซับซ้อน
อวิ๋นเมิ่งเซียงและเสี่ยวซุนมิเคยหลินฝานในสายตามาก่อน เพราะพรสวรรค์ของอีกฝ่ายนั้นเพียงธรรมดาเท่านั้น ทว่าการทดสอบนี้ ชายหนุ่มได้เปลี่ยนจากขยะเป็นมังกรและเหยียบย่างเข้าสู่ศิษย์ชั้นแนวหน้า
หลินฝานรู้สึกไร้หนทางขณะที่เขาทักทายเหล่าคนช่างประจบประแจง เขานั้นเพียงเข้าสู่นภาที่สี่และต้องการเวลาที่จะสร้างความมั่นคงให้กับระดับพลังของเขา ทว่าคนเหล่านี้ได้พลันเข้ามาหาในเสี้ยววินาทีและแสดงความยินดีกับเขา
“เมื่อยามศิษย์น้องจ้าวทะลวงขั้น เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ไปแสดงความยินดีกับเขาเสียเล่า?” หลินฟ่านหัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ
จ้าวเฟิงได้เข้าสู่นภาที่สี่สองวันก่อนหน้าเขา ทว่ามิมีผู้ใดกล้าที่จะไปรบกวนเด็กหนุ่ม กระทั่งหัวหน้าศิษย์หยางก่านยังเพียงมามองชั่วขณะก่อนจะจากไป
บัดนี้
จ้าวเฟิงได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะนำพาหายนะไปทุกที่ที่เขาย่างก้าว เด้กหนุ่มนั้นได้เสียสติไปกับการฝึกฝนวิชาฝ่ามือวายุอัสนีแล้ว และเขากระทั่งหลอกลวงศิษย์หลักหลายคน
เขาได้ฉีกหน้าศิษย์หลักเหล่านี้ในตำหนักกลาง เบื้องหน้าผู้อาวุโสคุมกฎ ทว่ามิมีผู้ใดสามารถทำอันใดเขาได้
ในบรรดาศิษย์หลัก จ้าวเฟิงมีหยางก่านคอยหนุนหลัง ในทั่วทั้งสำนัก ผู้อาวุโสหนึ่งก็คืออาจารย์ของเขา
เมื่อคิดเกี่ยวกับจ้าวเฟิง หลินฝานก็มีความรู้สึกซับซ้อนต่ออีกฝ่าย ทั้งชื่นชม เคารพ และเคลือบแคลง
“ศิษย์พี่หลิน” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากอีกฝั่งของห้องรับรอง
คนอีกผู้หนึ่งได้มาแสดงความยินดีต่อหลินฝาน คราแรกคนอื่นๆ มิได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด แต่เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าของเจ้าของเสียง หัวใจของพวกเขาก็บีบรัดแน่น
มันคือเด็กหนุ่มผมครามตาเดียวที่ได้นำพาคลื่นความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งห้องนั้น
สีหน้าของอวิ๋นเมิ่งเซียงและเสี่ยวซุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง
“ศิษย์น้องจ้าว!” หลินฝานพลันไปทักทายกับผู้มาใหม่ด้วยความยินดี
“จ้าวเฟิง!”
บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในเสี้ยววินาทีพร้อมกับที่สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไป ศิษย์สายในเหล่านี้ล้วนระมัดระวังตัวและทักทายจ้าวเฟิงด้วยรอยยิ้มในทันที
“อืม”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะและทักทายคนคุ้นเคยจำนวนหนึ่งอย่างเรียบง่าย
นี่ได้สร้างความอึ้งตะลึงให้กับศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่น
“ศิษย์น้องจ้าวอาจดูน่ากลัว ทว่าท่าทีของเขามิได้เลวร้ายเช่นข่าวลือ”
พวกเขารู้สึกได้ใจจากการที่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวผงกศีรษะให้พวกเขา ในข่าวลือนั้น อีกฝ่ายทั้งโหดเหี้ยมอำมหิตและได้เตะศิษย์หลักหลายคนออกไปเพียงเพราะต้องการ
“ศิษย์น้องจ้าวทำได้ดียิ่งในการทดสอบ มิว่าผู้ใดที่ขวางสายตาล้วนถูกกำจัด…”
“ไม่มีผู้ใดกระทั่งสามารถเทียบเคียงศิษย์น้องจ้าวได้ในการทดสอบยอดนภา”
ศิษย์สายในเหล่านี้เริ่มที่จะประจบประแจงเด็กหนุ่ม หลายคนกระทั่งส่งสัญญาณว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นลูกไล่ของอีกฝ่าย
หากคนผู้หนึ่งเอ่ยถามว่าผู้ใดที่ไม่ควรสร้างความขุ่นเคืองให้มากที่สุด มันย่อมเป็นจ้าวเฟิง หากคนผู้หนึ่งติดตามจ้าวเฟิง นั่นมิใช่หมายความว่าพวกเขาจะสามารถทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการหรือ?
จ้าวเฟิงมีสีหน้าแปลกประหลาดขณะที่เขาส่ายศีรษะ เขาไม่มีความคิดที่จะรับลูกน้องแม้แต่น้อย
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าได้เข้าสู่นภาที่สี่แล้ว ทั้งยังได้สร้างความมั่นคงให้แก่มัน เจ้าจะท้าประลองศิษย์หลักหรือไม่?” หลินฝานพลันเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
ท้าประลองศิษย์หลัก!?
สีหน้าของศิษย์สายในบางคนที่อยู่ที่นั่นตึงเครียดขึ้น
ศิษย์หลักนั้นเป็นชนชั้นที่เหนือขึ้นไปกว่าศิษย์สายในโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับที่ศิษย์สายในนั้นสูงส่งกว่าศิษย์สายนอก
“หากมิได้ท่านถาม ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้ว”
จ้าวเฟิงลูบศีรษะ เขาพลันจดจำขึ้นได้ว่าเขาได้สัญญาไว้กับผู้อาวุโสหนึ่งว่าจะครองหนึ่งในห้าอันดับแรกของศิษย์สายในและเข้าร่วมงานสามสำนัก
มีเพียงติดหนึ่งในห้าเท่านั้นที่ผู้อาวุโสหนึ่งจะสามารถเสนอชื่อจ้าวเฟิงให้เข้าร่วมงานสามสำนักได้ นี่คือข้อกำหนดต่ำสุด! พวกเขาจะเป็นตัวแทนของทั้งสำนักจันทร์สลายในงานสามสำนัก
เมื่อได้ยินว่าจ้าวเฟิงจะท้าประลองศิษย์หลักจริงๆ เหล่าศิษย์สายในที่อยู่ที่นั่นก็ล้วนตื่นเต้น
ลำดับของศิษย์หลักได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในเวลาที่ผ่านมา
สรุปแล้ว นี่เป็นเพราะการทดสอบยอดนภา เหล่าผู้ที่ได้เข้าร่วมล้วนมีพลังฝึกตนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
หยางก่าน เป่ยม่อฉวนเฉินและหลันเสี่ยวหยวนได้พลิกลำดับศิษย์หลักทั้งหมดไป
หยางก่านคืออันดับหนึ่ง หัวหน้าศิษย์ เป่ยม่อได้เข้าสู่ลำดับสองของศิษย์หลัก ฉวนเฉินและหลันเสี่ยวหยวนครองอันดับห้าและหกตามลำดับ
ศิษย์สายในทุกคนล้วนตื่นตะลึงไปมัน
เมื่อได้ยินข่าวนี้ จ้าวเฟิงก็เดาะลิ้นของเขาอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้ตระหนักว่าเขานั้นคือผีเสื้อที่ได้ขยับปีกตัวนั้น
หากมิเป็นเพราะเขา คงมิใช่ทุกคนที่จะสามารถผ่านการทดสอบที่สองได้ หากมิเป็นเพราะเขา เกาะพรมแดนนภาย่อมไม่กลายเป็นดินแดนน้ำแข็ง…
“ถูกแล้ว การแข่งขันในระหว่างศิษย์สายในนั้นมิเคยรุนแรงเช่นนี้มาก่อน” หลินฝานถอดถอนใจ
จนกระทั่งบัดนี้ เหล่าศิษย์ที่ได้เข้าร่วมการทดสอบควรได้รับอันดับและศิษย์หลักควรได้ถูกตัดสินแล้ว ทว่าหลายคนตระหนักได้ว่าการจัดลำดับของศิษย์หลักนั้นห่างไกลจากคำว่าจบสิ้นนัก
นั่นเป็นเพราะ ‘สิ่งมีชีวิตเสียสติ’ ผู้หนึ่งที่ยังคงมิได้เคลื่อนไหว คนผู้นั้นคือจ้าวเฟิง!
อันดับหนึ่งในการทดสอบ คนผู้ที่ได้ทำลายสถิติหมื่นปี เขายังคงไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ทว่าบัดนี้ อีกฝ่ายได้ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาและกำลังจะท้าประลองศิษย์หลัก
พวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร? ลำดับจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหรือไม่?
ทว่ามันยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เชื่อเช่นนั้น พวกเขาเชื่อว่าจ้าวเฟิงได้ครองอันดับหนึ่งในการทดสอบจากโชค นอกจากนั้น เด็กหนุ่มยังไม่ได้รับมรดกใดๆ ดังนั้นแล้วเขาย่อมไม่มีพลังหรือประสบการณ์ที่เทียบเท่าได้กับศิษย์หลักคนเก่า
“ศิษย์น้องจ้าว!”
จากด้านนอกปรากฏน้ำเสียงทรงพลังเสียงหนึ่งขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายทรงพลังที่มาพร้อมกัน
ศิษย์สายในด้านในล้วนมีความรู้สึกราวกับไม่อาจหายใจ
หลังจากเห็นว่าผู้ใดมา พวกเขาก็ล้วนนิ่งอึ้ง
“หยางก่าน!”
ในฐานะของหัวหน้าศิษย์ หยางก่านคือผู้นำของคนรุ่นใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนรู้สึกได้ใจจากการปรากฏตัวขึ้นของหยางก่าน หัวหน้าศิษย์และศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่ง
ทว่ามิมีผู้ใดคิดว่าหยางก่านจะมาเพื่อพบพวกเขาหรือแสดงความยินดีต่อหลินฝาน นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีความเหมาะสมใดๆ ให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้น
“ศิษย์พี่หยาง” จ้าวเฟิงเดินออกจากห้องรับรอง
“ศิษย์น้องจ้าว ท่านอาจารย์บอกให้ข้ามาบอกเจ้าว่าให้เข้าสู่ห้าอันดับแรกของศิษย์หลักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” หยางก่านพลันเอ่ยบอกจ้าวเฟิงถึงสาเหตุที่เขามา
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หยางก่านนั้นแทบจะไม่มาหาจ้าวเฟิงเลย แม้ว่าทั้งสองจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่ง ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ดีหรือแย่อันใด
หยางก่านนั้นมุ่งเป้าไปที่ความสมบูรณ์แบบ และแม้ว่าเขาจะไม่ชอบจ้าวเฟิง เขาก็จะยังคงปกป้องเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเพราะทั้งสองมีอาจารย์คนเดียวกับ ทว่าศิษย์น้องของเขานั้นได้กระทำการเกินความคาดหมายของเขาอีกครั้ง
นี่โดยเฉพาะในการทดสอบยอดนภา จ้าวเฟิงได้ครองอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ และกระทั่งรู้สึกอิจฉาเล็กๆ
“ข้าหวังว่าศิษย์พี่หยางจะบอกท่านอาจารย์ว่าข้าได้ติดหนึ่งในห้าอันดับแรกแล้ว และเขามิจำเป็นต้องเป็นกังวลใดๆ” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มและเอ่ย
เขาเข้าใจว่าท่านอาจารย์เตรียมที่จะเสนอชื่อเขาสำหรับงานสามสำนัก ทว่าเขาได้ลืมเลือนมันไปจนหมดสิ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วของหยางก่านก็ขมวดเข้าหากัน ความมั่นใจของจ้าวเฟิงมาจากที่ใดกัน? เขาไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว แต่กลับต้องการให้เขาบอกท่านอาจารย์ว่าอีกฝ่ายทำสำเร็จแล้วหรือ
นี่มิใช่ว่าเขากำลังโกหกต่อท่านอาจารย์อยู่หรืออย่างไร?
ไม่มีทาง! ข้าจะบอกท่านอาจารย์ว่าความจองหองของศิษย์น้องจ้าวจำต้องได้รับการแก้ไข
“ผ่อนคลายเถอะ ข้าจะบอกท่านอาจารย์ ‘เช่นเดียว’ กับที่เจ้าเอ่ย” หยางก่านหัวเราะ จากนั้นจึงหมุนตัวจากไป
นี่คือสิ่งที่เขาต้องการทำ และทำมันจริงๆ
“บัดซบ หยางก่านผู้นี้มิกระทั่งไว้หน้าแก่ข้า ไม่สิ ข้าต้องเข้าสู่ห้าอันดับแรกก่อนที่เขาจะไปพบท่านอาจารย์”
ฟุ่บ!
เสียงไฟฟ้าดังหึ่งขึ้นพร้อมกับภาพติดตาของจ้าวเฟิงที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง
วิชาเคลื่อนไหวนั่นคืออันใดกัน?
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นสูดลมหายใจหนาวเยือก