Skip to content

King of Gods 218

King Of Gods

บทที่ 218 : พื้นที่ลึกลับ

คำตอบนั้นง่ายดาย… การต่อสู้

ในเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมา จ้าวเฟิงได้ปิดด่านฝึกตน และทุกๆ ด้านที่เขาได้ฝึกฝนล้วนเข้าสู่คอขวด

มีเพียงการต่อสู้จริงๆ เท่านั้นที่ความสามารถของเขาจะถูกรีดเค้นออกมาได้

นี่เองก็ยังเป็นสาเหตุให้ความแข็งแกร่งของทุกคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการทดสอบยอดนภา

แน่นอนว่า

มันเหลือเวลาเพียง 20 วัน และจ้าวเฟิงไม่อาจยืนยันได้ว่าการต่อสู้จะช่วยให้เขาทะลวงขั้นได้หรือไม่

แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน หากเขายังคงปิดด่านฝึกฝน โอกาสที่ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นแทบจะเป็นศูนย์

ดังนั้นแล้ว

เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจออกไปข้างนอกเพื่อฝึกการต่อสู้

มันไม่ใช่เพียงจ้าวเฟิงที่คิดเช่นนี้ เป่ยม่อและหลินฝานเองต่างก็ออกจากสำนักไปเพื่อต่อสู้แล้ว

ก่อนออกไป จ้าวเฟิงไปยังที่ห้องโถงกลางเพื่อรับภารกิจหนึ่งจากสำนัก

เป้าหมายคือการจัดการปักษามงกุฎเงินสองเศียรสี่ตัว

ความยากของภารกิจนี้อยู่ที่ระหว่างหกกับเจ็ดดาว

โดยปกติแล้ว ต้องใช้ผู้ฝึกตนในนภาที่หกสามคนจึงจะมีโอกาสสำเร็จ

ปักษามงกุฎเงินสองเศียรเป็นสิ่งมีชีวิตบินได้ที่มีหัวสองหัว ทั้งความสามารถยังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนในนภาที่หกทั่วไป

หากเป็นศิษย์คนอื่นในสำนัก ทางสำนักคงไม่อนุญาตให้รับภารกิจนี้

แต่เมื่อคิดว่ามันคือจ้าวเฟิง รองหัวหน้าตำหนักหลี่ก็ตกลง

จากมุมมองของเขา แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่สามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ เด็กหนุ่มก็ยังมีความสามารถที่จะถอยได้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังเป็นนักธนูระดับตำนานและเหมาะสมกับงานนี้

“โอ้ ใช่ ภารกิจที่เจ้าตั้งขึ้นก่อนหน้าสำเร็จเกือบหมดแล้ว ทั้งผลึกเริ่มต้นก็ถูกใช้ไปเกือบหมดแล้วเช่นกัน”

รองหัวหน้าตำหนักหลี่เอ่ยเตือน

ใกล้หมดแล้ว?

จ้าวเฟิงประหลาดใจเล็กๆ เพราะเขาได้มอบผลึกเริ่มต้นจำลองนับแสนผลึกไปสำหรับภารกิจนี้

หลังจากรับวัสดุมา ผลึกเริ่มต้นจำลองกว่าเก้าสิบส่วนจากร้อยส่วนในกำไลมิติของเด็กหนุ่มก็ได้หายไป

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวจ้อยกระโดดออกมา แสดงความไม่พอใจ

จ้าวเฟิงได้ตกลงกับแมวขโมยตัวน้อยไว้ว่าเขาจะมอบผลึกเริ่มต้นจำลอง 200 ผลึกให้เป็น ‘อาหารแมว’

และแมวขโมยตัวน้อยจะไม่แตะสิ่งของภายในกำไลมิติเป็นการตอบแทน

แต่การที่ผลึกเริ่มต้นจำลองกว่าเก้าสิบส่วนได้หายไปนั้น แมวตัวน้อยไม่อาจรับมันได้

หากพูดตามหลักการแล้ว จ้าวเฟิงที่ได้รับประโยชน์มากมายจากการทดสอบไม่ควรที่จะมีปัญหาเรื่องเงินทอง

แต่เขาได้ใช้พวกมันส่วนมากไปในการหาวัสดุสำหรับผ้าคลุมเงาหยิน

วัสดุจำนวนมากมีค่าเทียบเท่าเมืองๆ หนึ่ง และมีค่ามากกว่าอาวุธชั้นมนุษย์

อีกทั้งการรวบรวมวัสดุคือการมอบภารกิจโดยให้ผู้อื่นจัดการธุระแทน กระทั่งต้องรับผิดชอบความเสี่ยงของพวกเขา ดังนั้นรางวัลสำหรับภารกิจจึงมีค่าไม่น้อย

นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังมอบทรัพยากรจำนวนมากแก่สองพี่น้องหยางชิงชาน

บัดนี้

จ้าวเฟิงเหลือผลึกเริ่มต้นเพียงหนึ่งพันผลึก ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับผลึกเริ่มต้นจำลองหนึ่งแสนผลึกเท่านั้น

“ได้รับอย่างหนึ่ง ก็ต้องเสียอย่างหนึ่ง”

จ้าวเฟิงตรวจสอบวัสดุเหล่านั้นและเก็บไว้อย่างดี ไม่เสียใจในการตัดสินใจของตน

ผ้าคลุมเงาหยินคือสมบัติมรดกล้ำค่าที่สามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของได้ หากมันสามารถซ่อมได้ พลังของมันก็จะเพิ่มขึ้นอีกระดับ

ไปเถอะ!

หลังจากเด็กหนุ่มรับภารกิจ เขาก็ออกจากสำนักไปในทันทีและมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อย

เป้าหมายหลักของเขาคือการต่อสู้ ไม่ใช่ภารกิจ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ สิ่งที่จะต้องจ่ายเป็นการชดเชยก็เป็นเพียงแต้มสนับสนุนเล็กน้อย ซึ่งไม่อาจนับเป็นอันใดสำหรับเขาได้

“เราควรมุ่งหน้าไปทางใด?”

จ้าวเฟิงหรี่ตา

ป่าเมฆาคล้อยนั้นแผ่กว้างไปยังสิบสามแคว้น ทั้งมันยังมีพื้นที่ที่กระทั่งเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไม่กล้าที่จะเข้าไป

“เมี้ยว เมี้ยว!”

แมวขโมยตัวน้อยปรากฏขึ้นและคายเหรียญโบราณออกมา

เหรียญโบราณนั้นหมุนอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะร่วงลงบนอุ้งเท้าของแมวขโมยตัวจ้อย

แมวขโมยตัวน้อยสีหน้าผ่อนคลาย ชี้อุ้งเท้าของมันไปยังทิศทางหนึ่งเช่นไม้บอกทาง

“ได้”

จ้าวเฟิงมุ่งหน้าตรงไปยังทางที่แมวของเขาชี้บอกแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ระหว่างทาง เสียงร้องของนกอินทรีตัวหนึ่งได้ดังขึ้น ทำให้สัตว์ปีศาจใกล้ๆ ต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

หืมมม?

จ้าวเฟิงมองขึ้นไปและพบกับอินทรีสีทองตัวหนึ่งบินฝ่าอากาศ ส่งกลิ่นอายในนภาที่สี่ออกมา มันคือสัตว์อสูรที่บินได้ และเหมาะสมในการใช้เป็นพาหนะ

“ลงมา”

เสียงของจ้าวเฟิงปรากฏแววล่อลวง ส่งผ่านพลังจิต

อินทรีขนทองที่มีปีกยาวกว่าสี่ถึงห้าฟุตร่อนลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา แสดงท่าทีเชื่อฟังยิ่งนัก

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ นั่งบนหลังของอินทรี

บัดนี้ ความเข้าใจในเคล็ดควบคุมจิตใจของเด็กหนุ่มนั้นไม่อาจนับได้ว่าด้อยไปกว่าร่างในชุดคลุมแล้ว การควบคุมนกตัวหนึ่งนับว่าธรรมดายิ่ง

อินทรีขนทองแบกร่างของมนุษย์และแมวไปยังส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อย

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ธารน้ำเล็กๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ฝั่งตรงข้ามเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง

“หืมมม ที่นี่?”

จ้าวเฟิงมั่นใจว่ามันคือหุบเขางูหลามโลหิตที่เขาเคยมาก่อนหน้า

วันนั้น เขาอยู่ที่นี่ เกือบจะโดนบีบให้ตายตกเพราะสัตว์ปีศาจสองตัว กระทั่งตกเข้าไปในโพรงงูหลามโลหิต

มันเป็นที่แห่งนี้ที่หลันเสี่ยวหลานและศิษย์อีกจำนวนหนึ่งจัดการไฮยีน่าตาฟ้า ทำให้จ้าวเฟิงสามารถหลบหนีออกไปได้

เมื่อมาถึงที่นี่อีกครั้ง สัตว์ปีศาจอีกตัวก็ได้ครอบครองหุบเขางูหลามโลหิตไว้ก่อนแล้ว และมันกระทั่งแข็งแกร่งกว่าไฮยีน่าตาฟ้า

แต่อินทรีขนทองที่จ้าวเฟิงขี่อยู่นั้นคือสัตว์อสูร และ ‘จ้าวสัตว์ปีศาจ’ ในสายตาของมนุษย์ที่ทำให้สัตว์ปีศาจระดับสูงต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

จ้าวเฟิงถอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ หนึ่งปีก่อนนั้น เขาไม่อาจกระทั่งปกป้องชีวิตของตนเองได้

และบัดนี้ สัตว์ปีศาจระดับสูงกลับกลายเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของเขา

เด็กหนุ่มเมินสัตว์ปีศาจระดับสูงและให้อินทรีขนทองบินช้าลงเล็กน้อย จากทิศทางที่แมวขโมยตัวน้อยชี้ เป้าหมายนั้นเริ่มชัดเจน

พักหนึ่งต่อมา ป่าเบื้องหน้าพลันกลับกลายเป็นมืดทึบพร้อมกับกลิ่นอายแปลกประหลาดในอากาศ

ในป่าดำมืดนั้น บางครั้งก็ปรากฏสัตว์อสูรกระโดดออกมา

จ้าวเฟิงมองลงไปจากด้านบนและส่งพลังจิตเสียงโจมตเพื่อกำจัดสัตว์อสูรอ่อนแอเหล่านั้น แม้ว่าพวกมันจะมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อโดนพลังจิตโจมตีของจ้าวเฟิงก็เสียสติ หลบหนีด้วยความหวาดกลัว

ยิ่งจ้าวเฟิงเข้าไปในป่าลึกเท่าใด พลังต่อต้านก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

ทั้งเขายังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่สร้างความระวนกระวายให้จากที่ไกลๆ

มันแน่นอนว่าในส่วนลึกของป่าดำนั้นย่อมต้องมีสัตว์อสูรในนภาที่เจ็ดหรือสูงกว่า เพราะมีเพียงอยู่ในระดับนั้น พวกมันจึงจะสามารถคุกคามจ้าวเฟิงได้

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยนำเหรียญโบราณออกมาอีกครั้งเพื่อยืนยันทิศทาง

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ เด็กหนุ่มปล่อยอินทรีนั้นไป จากนั้นจึงใช้ผ้าคลุมเงาหยินปกปิดกลิ่นอายของเขา

ภายใต้ผ้าคลุมเงาหลิน สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าจะไม่สามารถรับรู้ถึงการคงอยู่ของเด็กหนุ่มได้

กลิ่นอายจากส่วนลึกของป่าได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และพวกมันส่วนมากล้วนอยู่ในนภาที่ห้าและสูงกว่า

จ้าวเฟิงสงสัยว่านี่คือฐานทัพของสัตว์อสูรหรือไม่

ระหว่างทาง เด็กหนุ่มได้เข้าไปในอาณาเขตของสัตว์อสูรในนภาที่เจ็ดจำนวนมาก แม้ว่าเขาจะมีผ้าคลุมเงาหยิน สัตว์อสูรเหล่านั้นก็ยังคงมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ราวกับว่าพวกมันรับรู้ได้ถึงบางอย่าง

จ้าวเฟิงมั่นใจว่าเขามีความสามารถเพียงพอที่จะต่อสู้กับสัตว์อสูรในนภาที่เจ็ด

ทว่ามันมีสัตว์อสูรที่ทรงพลังจำนวนมากที่นี่ และเมื่อถูกพวกมันล้อม เหล่าผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงย่อมต้องถูกฆ่า

จ้าวเฟิงผ่านพื้นที่อันตรายส่วนมากมาได้หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง

ระหว่างทาง เขาได้ผ่านสัตว์อสูรในนภาที่เจ็ดอย่างน้อยยี่สิบตัว และกระทั่งมีบางตัวที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง กลิ่นอายที่น่าพรั่นพรึงของพวกมันได้ทำให้เด็กหนุ่มต้องหายใจติดขัด

เหล่าสิ่งที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นล้วนเหนือกว่าสัตว์อสูรในนภาที่เจ็ดทั่วไป

ป่าดำมืดได้กลายเป็นเต็มไปด้วยหมอกในยามนี้ ราวกับว่ามันมีช่องว่างระหว่างสองพื้นที่

จ้าวเฟิงเข้าไปภายในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกของป่าดำ จากพลันสูญเสียทิศทางไป ประสาทสัมผัสกลับกลายเป็นยุ่งเหยิง

ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่นี่

พื้นเบื้องล่างเท้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยกระดูก บรรยากาศน่าขนลุกได้ทำให้หัวใจของเขาหนาวเยือก

“คนเข้ามาที่นี่ มีแต่ได้เข้า มิได้ออก แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ตาม”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก

โชคดีที่เขามีดวงตาซ้ายที่สามารถมองผ่านบรรยากาศหมอกมัวเช่นนี้ได้ นอกจากนั้น จุดแข็งของเขายังเป็นพลังจิตลวงตา และภาพลวงตาที่นี่จึงแทบไร้ซึ่งผลใดๆ ต่อเขา

แคร่ก… แคร่ก…

จ้าวเฟิงเดินผ่านกระดูกเหล่านั้น บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตายที่ล้อมรอบกายของเขาอาจทำให้ผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดไม่อาจหายใจได้

ความเย็นยะเยือกและอันตรายโอบล้อมร่างของเด็กหนุ่ม มันราวกับมีพลังงานลึกลับบางอย่างที่พยายามแทรกซึมเข้าสู่ร่างของเขา

แมวขโมยตัวน้อยบนไหล่ของจ้าวเฟิงมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

จ้าวเฟิงปลดที่ปิดตาของเขาออก ประกายสีครามส่องวาบในดวงตาซ้ายของเขา

ทำให้ความรู้สึกอันตรายจางหายไปกว่าครึ่งในเสี้ยววินาที

เด็กหนุ่มเพ่งดวงตาซ้ายจนถึงขีดสุด ในที่สุดเขาก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน

ในส่วนลึกของป่าหมอกดำนั้นได้ปรากฏหลุมศพนับร้อยขึ้น

และทุกๆ หลุมนั้นมีขนาดเทียบเท่ากับตำหนักเล็กๆ ตำหนักหนึ่ง สูงนับสิบเมตร

หลุมศพได้ถูกสร้างขึ้นเป็นวงกลม และพื้นที่ตรงกลาง

ได้ถูกสร้างขึ้นจากผลึกสีเงินพิเศษที่ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มไม่อาจมองทะลุได้

ใจกลางพื้นที่ผลึกสีเงินนั้นได้ปรากฏแท่นหินบูชาที่สร้างขึ้นจากศิลาที่ปรากฏเส้นค่ายกลแปลกประหลาดบนนั้น ข้างๆ แท่นบูชาคือห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง

ป่ามืดทะมึนที่เต็มไปด้วยหมอก พื้นเต็มไปด้วยกระดูกสีขาว หลุมศพจำนวนมาก พื้นผลึกสีเงิน แท่นบูชาลึกลับ…

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก ร่างกายสั่นสะท้านเล็กๆ ทว่าเขาไม่รู้ว่ามันมาจากความตื่นเต้นหรือหวาดกลัว

โดยปกติแล้ว ผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง หรือกระทั่งขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงย่อมไม่อาจเดินมาไกลได้เพียงนี้ เพราะพวกเขาจะสูญเสียประสาทสัมผัสไปในหมอกลึกลับนี้

ทว่าจ้าวเฟิงทำได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากดวงตาซ้ายของเขา

ในเวลานี้

มันเหลือระยะอีกราวๆ หนึ่งร้อยก้าวระหว่างตัวของเด็กหนุ่มกับหลุมศพ ทุกๆ ย่างก้าวของเขาจะสร้างความรู้สึกกระวนกระวายให้เขามากขึ้น

ทันใดนั้น กระดูกสีขาวเบื้องหน้าเขาพลันสั่นสะท้าน พื้นดินแยกออก

โครงกระดูกที่มีรูปลักษณ์เช่นมนุษย์สองสามตัวพร้อมด้วยดวงตาลุกโชนสีเขียวได้ลุกขึ้น ในมือถืออาวุธที่สร้างขึ้นจากกระดูก

โครงกระดูกที่มีรูปลักษณ์แบบมนุษย์ต่างสร้างแรงกดดันเบาบางต่อจ้าวเฟิง หมายความว่าพวกมันมีพลังเทียบเท่าได้กับนภาที่หกเป็นอย่างน้อย

นอกจากนั้น มันอาจมีตัวอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่อีก

จะไปต่อหรือว่าถอยดี?

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะสามารถตัดสินใจได้ โครงกระดูกมนุษย์ทั้งสามก็พุ่งตัวอย่างงุ่มง่าม ทว่ารวดเร็วไปยังร่างของจ้าวเฟิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version