บทที่ 226 : ม้ามืด
“หลานเยว่ ข้าจะล้างแค้นให้เจ้า”
ในฐานะของหนึ่งในสี่ดารา ทุกการกระทำของสวี๋จีเสวี๋ยนมักจะได้รับความสนใจเสมอ
เมื่อเขาเอ่ยคำนั้นออกไป เหล่าบรรดาศิษย์ที่อยู่เวทีที่สามก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่ได้ยิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า มันคือกรรมของเจ้าแท้ๆ”
“ตัวบัดซบนั่นนับว่าจองหองโดยแท้ กระทั่งผู้ที่เยือกเย็นเช่นสวี๋จีเสวี๋ยนยังหงุดหงิดจากการกระทำของเขาได้”
ทุกคนรู้สึกยินดี ราวกับว่าจ้าวเฟิงได้ถูกส่งไปลานประหารแล้ว
ชื่อเสียงของสี่ดาราได้อยู่ในจุดที่สูงจนไม่อาจเอื้อม
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะมีโอกาสใดๆ ต่อหน้าสวี๋จีเสวี๋ยน
“อืม ขอบคุณศิษย์พี่สวี๋”
กู่หลานเยว่ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของสวี๋จีเสวี๋ยน หญิงสาวเบนสายตาร้ายกาจไปยังจ้าวเฟิง
ไม่ว่านางจะดูสูงส่งเพียงใด หลังจากที่ราวกับถูกตบหน้าต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ ซ้ำยังเกือบเสียโฉม นางก็ไม่อาจวางความโกรธแค้นในใจลงได้
เมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนมองไปยังจ้าวเฟิงราวกับมองคนตาย หลินฝานที่ยืนอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มก็รู้สึกกระวนกระวาย
“ศิษย์น้องจ้าว สถานการณ์ดูไม่ดีนัก…”
หลินฝานเอ่ยอย่างขมขื่น
เพราะเขานั้นยืนอยู่ข้างจ้าวเฟิง คนอื่นๆ จึงพาลเกลียดเขาไปด้วย
และแน่นอนว่าหากถึงเวลาปะลองฝีมือ คนเหล่านั้นย่อมลงมืออย่างไม่ปราณีแน่
“มีคนเพียงหยิบมือที่สามารถเอาชนะท่านได้อย่างง่ายดาย หากท่านเอาชนะไม่ได้จริงๆ เพียงยอมแพ้เสีย และข้าเชื่อว่าไม่ช้าทุกคนจะไม่กล้าดูแคลนท่าน…”
จ้าวเฟิงรู้ว่าหลินฝานได้ถูกนำมาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้เพราะเขา
แต่เขาเองก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเมื่อพวกเขามักจะประลองกันอยู่บ่อยๆ
น่าขัน
ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ เค้นเสียงหัวเราะเย็นยามที่พวกเขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง
หลินฝานลดเสียงลง “เจ้ากระทำรุนแรงกับสาวงามเช่นนั้นลงได้อย่างไร?”
“มันเป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อย หากเป็นผู้อื่นผลลัพธ์ก็ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน ข้ากระทำต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ทั้งข้ายังไม่ได้ตั้งใจกระทำมัน…”
ท้ายประโยคของเด็กหนุ่มดูจะขาดความมั่นใจ
“กระทำต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน?”
หลินฝานสั่นศีรษะ แม้ว่ามันจะเอ่ยง่ายทว่ามีคนจำนวนไม่มากที่สามารถกระทำได้เช่นนั้น
ทว่าเขาไม่รู้ว่าเบื้องหน้าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ทุกคนล้วนกลายเป็นแท่งเนื้อและกระดูก ไม่ว่าพวกเขาจะงดงามหรือไม่
ดังนั้นแล้ว เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจึงไม่ได้รับผลกระทบจากรูปลักษณ์มากนัก
เวทีที่สาม
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
ไม่ช้าจึงเป็นตาของหลินฝาน และคู่ต่อสู้ของเขาคือเด็กหนุ่มชุดเหลืองที่อยู่ในนภาที่ห้าผู้หนึ่ง
“เจ้าอยู่ฝั่งเดียวกับตัวบัดซบตาเดียวนั่น ข้าจะทำให้การประลองนี้เลวร้ายที่สุดสำหรับเจ้า” เด็กหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม
หลินฟ่านไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ทำเพียงพุ่งออกไปพร้อมกับดาบของเขาที่ตัดผ่าปราณแท้ป้องกันของคู่ต่อสู้
ในด้านของพลังฝึกตน หลินฝานเพียงอยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สี่ ทว่าเขาติดหนึ่งในห้าศิษย์หลักของสำนักจันทร์สลาย
เด็กหนุ่มชุดเหลืองพ่ายแพ้ในสองสามกระบวนท่า
ความแข็งแกร่งที่หลินฝานและจ้าวเฟิงแสดงหลังจากรอบแรกได้สร้างความหวาดระแวงแก่ผู้อื่นเล็กๆ
จากนั้น
การประลองรอบที่สองยังคงดำเนินต่อไป
สวี๋จีเสวี๋ยนขึ้นไปอีกครั้ง
คู่ต่อสู้ของเขาในครานี้คือเด็กหนุ่มในนภาที่หกที่มาจากสำนักดาบเมฆา
เช้ง!
ดาบสีทองส่องประกายบินออกจากแผ่นหลังของสวี๋จีเสวี๋ยน มันพุ่งออกไปด้วยความเร็วและพลังมากมาย
ศิษย์ของสำนักดาบเมฆาฝีมือไม่ได้เลวร้ายและมีจุดแข็งอยู่ที่ดาบที่พลันทิ้งเส้นแสงสีเขียวไว้บนอากาศ
ฟุ่บ!
แสงสีทองส่องประกายได้ฟาดฟันคู่ต่อสู้ด้วยความแหลมคมอันไม่น่าเชื่อ
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
ศิษย์จากสำนักดาบเมฆาพลันยอมแพ้ และในครานี้ มันได้ปรากฏรอยเลือดบนแก้มของเขาแล้ว
ในด้านของพลังนั้น
เด็กหนุ่มจากสำนักดาบเมฆาผู้นี้ ความสามารถเทียบเท่าได้กับหยางกาน ทว่าเขาได้พ่ายแพ้ในเสี้ยววินาที
ไม่ช้า
มันจึงเป็นตาของจ้าวเฟิงอีกครั้ง
ร่างของเด็กหนุ่มผมครามตาเดียวได้ดึงดูดความสนใจจากหลายๆ คน
ในครานี้
คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก มันเป็นเด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยม สวมใส่ชุดสีดำสนิท
เด็กหนุ่มชุดดำมีดวงตาสีดำสนิทและสีหน้าไร้อารมณ์
เขายืนสองมือไพล่หลัง กลิ่นอายแปลกประหลาดแพร่กระจายออกจากร่าง
“ศิษย์หลักจากวิหารโบราณ”
“ถานหลินที่ครองอันดับสามในศิษย์หลักของวิหารโบราณ”
คนหลายคนสูดลมหายใจเย็นเยียบ
เวทีที่สามนับว่าเต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่งโดยแท้ นอกจากสวี๋จีเสวี๋ยนยังมีถานหลินและกู่หลานเยว่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ
ที่ผ่านมาศิษย์ที่เข้าร่วมจากสำนักวิหารโบราณมักจะมีจำนวนน้อย
และครานี้มีเพียงห้าคน อาจเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งหมดของในวิหารโบราณก็ว่าได้
ตามคำกล่าวขาน วิหารโบราณได้เดินไปในเส้นทางของยอดฝีมือ
จากประสบการณ์ก่อนหน้า ศิษย์ทุกคนจากสำนักวิหารโบราณมักจะสามารถติดหนึ่งในยี่สิบ และมักจะมีหนึ่งคนในสามอันดับแรก
“ชี่ชี่ชี่ โชคของจ้าวเฟิงนับว่าไม่ดียิ่ง”
น้ำเสียงย่ามใจดังขึ้นจากเบื้องล่าง
กระทั่งหลินฝานยังต้องยอมรับในจุดนี้
ครั้งแรกเป็นกู่หลานเยว่ และบัดนี้คือถานหลิน
ควรรู้ว่าหากดวงของผู้ใดไม่ดีและพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งทุกครั้ง ความสามารถของพวกเขาจะลดลงตามเวลา
สวี๋จีเสวี๋ยนและกู่โยวเยว่ล้วนให้ความสนใจกับการต่อสู้ครั้งนี้
กระทั่งบางคนจากเวทีอื่นยังมองมา
เหตุผลที่พวกเขาให้ความสนใจนั้นเป็นเพราะสองสิ่ง
หนึ่ง: จ้าวเฟิงได้ฉีกหน้าสาวงามผู้หนึ่งในการประลองรอบก่อน และสร้างภาพความโหดเหี้ยมทิ้งไว้ในหัวใจของพวกเขา
สอง: ศิษย์จากสำนักวิหารโบราณแข็งแกร่ง ทั้งการโจมตีของพวกเขายังลึกลับอย่างมาก
ดังนั้นแล้ว
การประลองของจ้าวเฟิงและถานหลินจึงกลายเป็นจุดสนใจไป
“หึหึ… ไอ้หนู เจ้าจะไม่ยอมแพ้หลังจากที่เห็นว่าคู่ต่อสู้คือข้าหรือ?”
ประกายแสงสีน้ำเงินปรากฏขึ้นในลูกนัยน์ตาสีดำสนิทของถานหลิน
ชั้นพลังจิตที่มองไม่เห็นได้ครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่
จ้าวเฟิงและถานหลินต่างยืนมองหน้ากันโดยที่ไม่มีผู้ใดขยับตัว
ภายใต้สถานการณ์ธรรมดา คู่ต่อสู่ของถานหลินจะยืนอยู่เพียงหนึ่งหรือสองวินาทีก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป
จ้าวเฟิงเพียงรู้สึกว่ามือที่มองไม่เห็นได้บีบรัดร่างกายของเขา
ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงเสียงแปลกประหลาดได้ดังขึ้นในสมองของเขา
มายาสะกดจิต
จ้าวเฟิงรู้ถึงรูปแบบการโจมตีของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
ทว่าพลังจิตของอีกฝ่ายไม่อาจเทียบเท่ากับร่างในชุดคลุมในวันนั้นได้แม้แต่น้อย ดังนั้นแล้วมันจะทำอันตรายเด็กหนุ่มได้อย่างไร?
หนึ่งลมหายใจ… สองลมหายใจ… เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
สามลมหายใจต่อมา
จ้าวเฟิงยังคงมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เป็นไปได้อย่างไร
เหงื่อเย็นเยียบเริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าผากของถานหลินสีหน้ากลับกลายเป็นเคร่งเครียด ดวงตาส่องประกายเย็นเยียบก่อนที่ชั้นเปลวเพลิงสีเทาจะปรากฏขึ้นรอบกายของเขา ประกายแสงสีน้ำเงินในดวงตาของเขาขยายใหญ่ขึ้น
พลังจิตในอากาศได้ทำให้พลังปราณสั่นไหวเล็กน้อย
ชัดเจนว่า
ถานหลินได้ใช้พลังทั้งหมดของเขา ผู้ชมเพียงรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านเล็กๆ และอึดอัด
“เป็นพลังจิตโจมตีที่รุนแรงอันใดเช่นนี้”
ศิษย์ส่วนหนึ่งด้านล่างรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขากระตุก รับรู้ได้ถึงส่วนหนึ่งของการโจมตีที่หลงเหลือ
คนจำนวนน้อยนิดมีสีหน้าหวาดกลัวและหวาดระแวง
ทั้งสวี๋จีเสวี๋ยนและกู่หลานเยว่รู้สึกสะเทือนไปกับการแสดงพลังจิตครั้งนี้
การโจมตีพลังจิตจากวิหารโบราณนับว่ายากที่จะป้องกันโดยแท้ ทั้งศิษย์หลายคนยังไม่มีความสามารถในการต่อต้านมัน
ทว่า
วินาทีแล้ววินาทีเล่าได้ผ่านพ้นไป
หลังจากผ่านไปสิบลมหายใจ แผ่นหลังของถานหลินเปียกโชกได้ด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ทว่าจ้าวเฟิงกลับไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บใดๆ
เหล่าผู้ชมล้วนนิ่งอึ้ง
กระทั่งเหล่าระดับสูงของวิหารโบราณยังมีสีหน้าเคร่งเครียด
ประกายแสงแล่นวาบในแววตาแห่งฝันร้ายของหลินทง หนึ่งในสี่ดารา “หรือคนผู้นี้มีสมบัติสิ่งล้ำค่าบางอย่างที่สามารถต่อต้านการโจมตีพลังจิตได้?”
“ดูเหมือนว่านี่จะสุดขีดความสามารถของเจ้าแล้ว”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม
มีเพียงเขาที่จะสามารถแสดงท่าทางสะดวกสบายมากมายเช่นนี้ได้ต่อหน้าการโจมตีพลังจิต
“เด็กเหลือขอ อย่าได้คิดว่าเจ้ามีของล้ำค่าที่ป้องกันการโจมตีจากพลังจิตได้แล้วจะจองหองได้ มันจะยอดเยี่ยมสักเพียงใดกัน”
ถานหลินเลิกใช้การโจมตีพลังจิตและไขว้มือ ควบรวมชั้นเปลวเพลิงสีเทาเข้าด้วยกัน ทำให้กลิ่นอายเย็นยะเยือกของเขาเพิ่มมากขึ้น
ในฐานะที่วิหารโบราณครองอันดับสองในสิบสามสำนัก พวกเขาย่อมไม่พึ่งพาเพียงเคล็ดพลังจิต หรือมิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่อาจครองลำดับสองมาได้ยาวนานเช่นนี้
“คุกเข่า!”
จ้าวเฟิงตวาด อากาศราวกับจะระเบิดออกด้วยสายฟ้าพร้อมกับที่ชั้นพลังจิตได้ครอบคลุมร่างของถานหลิน
พรวด!
โลหิตไหลออกจากปากถานหลินพร้อมกับที่ร่างของเขาคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมด้วยเสียง ‘ตุบ’
ฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่เบื้องล่างรู้สึกราวกับโลหิตเดือดพล่านยามที่ได้ยินเสียงตวาดของจ้าวเฟิง
ไม่ช้า ผู้ชมต่างก็เกิดความโกลาหลขึ้น
“มันคือการโจมตีอันใดกัน?”
“มันยังดูเหมือนการโจมตีพลังจิต”
ฝูงชนได้บังเกิดเสียงโต้เถียงขึ้นขณะที่พวกเขามองไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวด้วยความไม่อยากเชื่อ
การตวาดเพียงครั้งของจ้าวเฟิงได้ทำให้ถานหลินบาดเจ็บและคุกเข่าลงได้
วินาทีที่ถานหลินคุกเข่าลงบนพื้น ประกายแสงเย็นเยียบแล่นวาบผ่านแววตาของหลินทง ส่งกลิ่นอายเย็นเยียบออกไป ทำให้พื้นที่ทั้งเวทีราวกลับเป็นนรก ทุกคนล้วนสั่นไหว
“เป็นพลังจิตที่แข็งแกร่งอันใดเช่นนี้… เจ้าเองก็…”
ถานหลินเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง
“จ้าวเฟิงชนะ!”
ผู้ตัดสินรีบเข้ามาประกาศชัยชนะของจ้าวเฟิง
“พลังจิตของเด็กเวรนั่นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าศิษย์จากสำนักวิหารโบราณ”
“ดูสิ ขนาดหลินทงยังเกิดจิตสังหารและจิตต่อสู้กับจ้าวเฟิงบ้างแล้ว”
การประลองนี้ได้สั่นสะท้านทั้งสี่เวที
จ้าวเฟิงเดินออกจากเวที ยังคงเย็นชาและไร้อารมณ์ เรือนผมสีเขียวครามพลิ้วไหวตามสายลม พร้อมกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจคาดเดาได้ได้ฝังลึกลงไปในจิตใจ
เวทีที่สาม
เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงกำลังเข้าใกล้ เหล่าศิษย์ก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและหวาดกลัว
กู่หลานเยว่สูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้ นางไม่เคยคิดเลยว่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งและลึกลับเช่นนี้
นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ชื่อของจ้าวเฟิงได้แพร่กระจายไปทั่งงานพันธมิตร
ม้ามืดตัวแรกได้ปรากฏขึ้นในงานพันธมิตรแล้ว และพลังของเขาเทียบเท่าได้กับยอดฝีมืออันดับต้น
“ระดับพลังจิตนี้ไม่ใกล้เคียงคำว่าพอสำหรับดารา มันด้อยกว่าเนตรลบสวรรค์ของหลินทงหลายเท่านัก มันยากที่จะเชี่ยวชาญด้วยการฝึกฝนพลังจิตและสายฟ้าไปพร้อมกัน”
สวี๋จีเสวี๋ยนเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย
ในฐานะของหนึ่งในสี่ดารา ความรู้และความคิดของเขานั้นอยู่ในอีกระดับหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขามองจ้าวเฟิงไม่ออก และอาจคิดว่ามันน่าประหลาดใจ ทว่าหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายยังมุ่งเน้นไปในด้านพลังจิตด้วย เขาก็หมดความสนใจในอีกฝ่ายลง
สวี๋จีเสวี๋ยนจดจำในสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์บอกเขาได้: มุ่งเน้นไปในหนทางเดียวเป็นทางลัดที่จะประสบความสำเร็จสูงสุด
ชางหยูเยว่เป็นคนเช่นนั้น ดาบเดียวของนางได้เข้าสู่จุดสูงสุด ไม่ว่าเจ้าจะมีสิ่งใด พลังจิตหรือวิชาเสริมกายา มันก็จะถูกทำลายด้วยหนึ่งดาบนี้
แน่นอนว่าหากจะพูดไปแล้ว เหตุผลนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นกฎเหล็กของโลกใบนี้