บทที่ 227 : เนตรลบสวรรค์
สวี๋จีเสวี๋ยนไม่ใช่คนเพียงผู้เดียวที่รับรู้ถึงเหตุผลของการเดินไปในทิศทางเดียว จ้าวเฟิงเองก็รู้เช่นกัน
นี่เป็นสาเหตุให้เด็กหนุ่มล้มเลิกในด้านของวิชาเสริมกายา แม้ว่าวิชาเสริมกายาจะแข็งแกร่ง การฝึกฝนก็ยากเย็นจนเกินไป และจะมีความพัฒนาจำกัด
การประลองในทั้งสี่พื้นที่ของงานพันธมิตรยังคงดำเนินต่อไป
ดวงตาของจ้าวเฟิงไม่ได้รั้งอยู่แค่เพียงในพื้นที่ที่สาม เขายังมองไปยังการประลองในพื้นที่อื่น
โดยเฉพาะเมื่อยามที่สี่ดาราขึ้นประลอง เขาไม่ต้องการที่จะพลาดการประลองใดๆ ของทั้งสี่ดารา
สี่ดารายามขึ้นประลอง ส่วนใหญ่แล้วสามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้ในไม่กี่วินาที ทำให้เกิดความระส่ำระสายไปทั่ว
แน่นอนว่าจ้าวเฟิงไม่ใช่ม้ามืดเพียงผู้เดียวในงานนี้
มันยังมีม้ามืดอีกสามสี่คนปรากฏขึ้นหลังจากเขา ม้ามืดเหล่านี้ไม่ได้มีชื่อเสียง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนโดดเด่น พิสูจน์ได้จากการเอาชนะเหล่ายอดฝีมือ
หนึ่งในคนเหล่านั้นที่จ้าวเฟิงรู้จักคือเป่ยม่อและจ้าวหยูเฟย
ทั้งเป่ยม่อและจ้าวหยูเฟยล้วนเป็นอัจฉริยะที่ได้รับมรดก และนอกจากสี่ดาราแล้ว ทั้งสองต่างก็เอาชนะการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
นอกจากเป่ยม่อและจ้าวหยูเฟยแล้ว มันยังมีม้ามืดอีกคนนาม หยานชวน ที่มีจุดเด่นในด้านของวิชาเสริมกายา
ร่างกายของหยานชวนได้เข้าสู่ระดับที่เหลือเชื่อ เขาสามารถที่จะป้องกันการโจมตีของเหล่าผู้ที่อยู่ในนภาที่หกได้ด้วยเพียงร่างกายเปล่าๆ
หัวหน้าศิษย์สำนักจันทร์สลายได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนด้วยความสามารถของเขา ทว่ากลับต้องพ่ายแพ้ให้กับหยานชวนเมื่อปะทะกันไปเกือบร้อยกระบวนท่า
หยานชวนอยู่ในนภาที่หก และเมื่อรวมกับร่างกายที่น่าพรั่นพรึงนั่นแล้ว ทั้งการโจมตีและการป้องกันของเขาล้วนน่าหวาดกลัว โดยเฉพาะการป้องกันที่เป็นสาเหตุหลักในการเอาชนะหยางก่านได้
“ดูเหมือนว่าหัวหน้าศิษย์สำนักจันทร์สลายจะไม่เท่าไหร่”
หยานชวนหัวเราะ
หลังจากร้อยกระบวนท่า หยางกานก็หอบหายใจขณะที่อัตราการหายใจของหยานชวนยังคงปกติ
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองถูกแสดงขึ้นในเสี้ยววินาที
หยานชวนคือม้ามืดที่ตัวใหญ่ที่สุดหลังจากจ้าวเฟิง ชื่อเสียงของเขา ด้อยกว่าเพียงสี่ดาราเท่านั้น
ดวงตาของจ้าวเฟิงเพียงกวาดมองไปยังร่างของหยานชวนแบบผ่านๆ ไม่มีความสนใจอื่นใดอีก
ในตอนนั้นเอง
พื้นที่ที่หนึ่ง ประกายแสงสว่างวาบที่ดูราวกับจะผัดผ่าเมฆาได้ปรากฏขึ้น
เด็กสาวในชุดธรรมดา ผิวขาวราวหิมะ มือถือดาบสีเขียวยาวสามหลายืนนิ่ง ราวกับว่าเป็นภาพวาดของเทพธิดารูปหนึ่ง
ชางหยูเยว่ได้เอาชนะคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียวอีกครั้ง
ทุกกระบวนท่าที่นางใช้นั้นรวดเร็วนัก และมักจะทำให้การต่อสู้ของพื้นที่อื่นหมองหม่นลงในทันที
ที่น่าเสียดายคือการเคลื่อนไหวของชางหยูเยว่นั้นรวดเร็วเกินไป ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของนางได้อย่างชัดเจน
ทว่ามีข้อยกเว้นอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือจ้าวเฟิง
ด้วยเนตรจิตวิญญาณเทพจ้าวของเด็กหนุ่ม เขาสามารถที่จะทำให้ภาพของดาบเดียวนั้นให้เชื่องช้าลงเกือบจะร้อยเท่าได้
และท้ายสุด เขาก็ตะลึงไปกับพลังของดาบเดียวนั้น
มันอาจจะใกล้เคียงกับพลังของขั้นสุดยอดของนภาที่เจ็ด
และผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่เจ็ดอาจจะถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีด้วยดาบเดียวนั้น
จ้าวเฟิงนั้นกระทั่งมีความรู้สึกว่าหากเขาต้องเผชิญหน้ากับดาบนั้นโดยตรง เขาก็คงจะถูกจัดการได้ในกระบวนท่าเดียว
พลังโจมตีของชางหยูเยว่นั้นเหนือกว่าอัจฉริยะทุกคนในที่นี้ นางยืนอยู่บนจุดสูงสุดไร้ซึ่งผู้ใดที่จะเทียบเคียงได้
แม้ว่าพลังป้องกันของนางอาจจะไม่ดีเทียบเท่ากับหยานชวนหรือเป่ยม่อ การเคลื่อนไหวของนางอาจไม่ลึกลับเช่นหลินทงและสวี๋จีเสวี๋ยน
ตราบเท่าที่นางมีหนึ่งดาบของนาง ทุกการโจมตีที่เผชิญย่อมถูกทำลาย
หนึ่งดาบทำลายวิชานับหมื่น
“นั่นคือเส้นทางแห่งดาบ…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้ ชางหยูเยว่ได้ทำให้เขานึกถึงซินอู๋เหินที่จากไปอย่างลึกลับในวันนั้น
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับชางหยูเยว่ไม่ใช่เพียงแต่จ้าวเฟิงที่จะถูกจัดการ ยังมีหลินทง อ้าวเยว่เทียน สวี๋จีเสวี๋ยนที่อาจจะถูกจัดการในเสี้ยววินาทีเช่นเดียวกัน
หากคนในงานพันธมิตรผู้ที่นับว่าสามารถต่อกรกับชางหยูเยว่ได้ คนผู้นั้นก็คงเป็นหลินทง
ชายหนุ่มเองก็ได้เอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาในหนึ่งกระบวนท่า
ทั้งพลังจิตของเขายังลึกลับยิ่งนัก พวกมันกระทั่งเหนือกว่าร่างในชุดคลุมที่จ้าวเฟิงเจอในวันนั้น
“หยางกาน vs หลินทง”
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
จ้าวเฟิงมองไปอย่างช่วยไม่ได้
เผชิญหน้ากับอันดับสองในสี่ดารา ริมฝีปากของหยางกานก็บิดเป็นรอยยิ้มขมขื่น
แน่นอนว่าชายหนุ่มที่มีหัวใจยังแกร่งกล้าราวหินผาแต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้แต่อย่างใด
ยามที่อยู่ในสำนักจันทร์สลาย หยางกานได้ผ่านการ ‘ฝึกฝน’ ของจ้าวเฟิงแล้ว และเขาได้มีความสามารถในการต่อต้านมันอยู่บ้าง
หลินทงยืนนิ่งขณะที่กลิ่นอายเย็นยะเยือกแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ ราวกับจะแช่แข็งอากาศ
หัวใจของหยางกานสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับร่วงหล่นสู่นรก
กลิ่นอายเย็นเยียบได้แพร่กระจายเข้าไปในความนึกคิดของเขา ทำให้เขาค่อยๆ จมลึกลงไปในความคิดเรื่อยๆ
ในยามนี้ ใบหน้าของหยางกานได้กลายเป็นขาวซีดไป
จะอย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มได้ผ่านการฝึกฝนของจ้าวเฟิงมา และมีความสามารถการต่อต้านเคล็ดพลังจิตที่แข็งแกร่ง
“หืมมม?”
หลินทงประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในเสี้ยววินาที
เพียงแค่จุดนี้ หยางกานก็มีสิทธิที่จะภูมิใจแล้ว
หยางกานดิ้นรนอย่างหนักหน่วง ดวงตาพลันส่องประกายวาบ ชายหนุ่มชักดาบออกจากฟัก วาดมันไปยังร่างของคู่ต่อสู้
อีกฝ่ายสีหน้าไร้อารมณ์ แสงสีแดงได้ปรากฏขึ้นในดวงตา
“เนตรลบสวรรค์!”
ผู้ชมอุทานออกมา
เหล่าผู้อาวุโสในงานต่างก็อุทานออกมาเช่นกัน
เนตรลบสวรรค์
เคล็ดวิชาที่ล้ำค่าที่สุดในวิหารโบราณ ทั้งยังต้องการพลังแห่งสายเลือดในการฝึกฝน
วินาทีที่หลินทงใช้เนตรลบสวรรค์ เขาก็ดูราวกับกลายเป็นจักรพรรดิ พลังลึกลับที่มองไม่เห็นได้ทำให้ร่างของผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต้องสั่นสะท้าน
ในยามนี้ หลินทงดูราวกับมีความสามารถที่จะต่อต้านชางหยูเยว่ได้
“ไม่ดีแล้ว”
หยางกานกลั้นหายใจ รู้สึกราวกับว่าทั้งร่างถูกแช่แข็ง
หลินทงกวาดตามองเขาอย่างเย็นชา
ตุบ
หยางกานทรุดลงกับพื้น ร่างเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบ เหนื่อยล้าอย่างหนัก
หลินทงไม่ได้ทำอะไร นอกจากการกวาดตามองหยางกาน เพียงเท่านั้นก็ได้บดขยี้คู่ต่อสู้ลง
เสียงสูดลมหายใจเย็นเยียบจากผู้ชมดังขึ้น
ทั้งอ้าวเยว่เทียนและสวี๋จีเสวี๋ยนแห่งสี่ดาราต่างก็มีสีหน้ากังวลและเคร่งเครียด
“ข่าวลือนับว่าไม่เกินเลยจริงๆ สิ่งที่หลินทงทำมีเพียงการกวาดตามองคู่ต่อสู้ครั้งหนึ่งด้วยเนตรลบสวรรค์ของเขา เพียงเท่านั้นเขาก็ชนะ”
“น่ากลัวมากจริงๆ ในสี่ดารา หลินทงคือคนที่ลึกลับน่ากลัวที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย”
เหล่าผู้เข้าร่วมล้วนนิ่งอึ้ง
หลังจากหยางกานพ่ายแพ้ ทั้งจ้าวเฟิงและหลินฝานต่างก็รีบเข้าไปดูเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อจ้าวเฟิงเองก็ได้ฝึกฝนในเส้นทางของพลังจิต เขาจึงมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น
ในยามนี้ หยางกานยังคงสติล่องลอย อยู่ในภาวะอ่อนแออย่างมาก
“ศิษย์พี่หยาง ความอ่อนเพลียและง่วงของท่านนั้นมาจากพลังจิต ‘ยาจิตวิญญาณเทพหวน’ ที่ข้าบอกให้ท่านเตรียมมาไปไหนเสียเล่า?”
จ้าวเฟิงเอ่ยเตือน
หยางกานพลันกินยาจิตวิญญาณเทพหวนเขาไป ใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มปรากฏสีสันขึ้นอีกครั้ง
โชคดีที่หลินหลงไม่ได้กระทำรุนแรงเกินไปนักและไม่ได้ทำร้ายพลังจิตของหยางกาน
“ศิษย์น้องจ้าว ยามที่ข้าถูกโจมตีด้วยเคล็ดวิชาพลังจิตนั่น ข้ารู้สึกราวกับถูกขังไว้ในคุกนรก และไม่ว่าข้าจะดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจหลบหนีได้…”
หยางก่านพูดพร้อมสีหน้าหวาดกลัว
“โอ้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาพลังจิตมายา”
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิดไปชั่วครู่
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปนานนัก?”
หยางกานเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ความเร็วของพลังจิตนั้นต่างออกไปจากความจริง มันเป็นเช่นการที่ท่านนึกถึงความทรงจำของท่านในความคิดหนึ่ง ทว่าในความจริง เวลาเพียงเสี้ยววินาทีได้ผ่านพ้นไป”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
เคล็ดวิชาพลังจิตลวงตาก็เป็นจุดเด่นของจ้าวเฟิงเช่นกัน
ทว่าเนตรลบสวรรค์ของหลินทงนั้นลึกล้ำและซับซ้อนกว่าของเขานัก
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังพูดคุยกับหยางกาน หลินทงที่อยู่ไม่ไกลนักก็มองมาเช่นกัน
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวรับรู้ได้ถึงบางอย่างและมองตรงไปในดวงตาของหลินทงอย่างไม่ยอมเช่นกัน
เสี้ยววินาทีนั้น คลื่นพลังจิตที่มองไม่เห็นก็ราวกับปะทะกัน แช่แข็งอากาศรอบด้าน
ดวงตาของหลินทงดำมืดและลึกลับ
ในขณะที่ดวงตาข้างเดียวของจ้าวเฟิงแม้จะลุ่มลึก ทว่าดูราวกับมีความแหลมคมอยู่
ในยามนี้
ทุกสิ่งได้เงียบงันลง
นอกจากจ้างเฟิงและหลินทงแล้ว คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่อาจหายใจ
“ห้ามประลองกันนอกเวที”
กลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงถาโถมลงไป
จ้าวเฟิงหันหลังและกลับไปยังพื้นที่สามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“หมอนั่นค่อนข้างน่าสนใจ เหตุใดเนตรลบสวรรค์ของข้าจึงสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นกัน? และที่ปิดตานั่น…”
หลินทงพึมพำกับตนเอง
เหล่าศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนพ่นลมหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก
ยามที่จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับหลินทง พวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวมุ่งตรงไปยังจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างรุนแรง
หลังจากการปะทะครั้งนี้ หลายคนได้กังวลเกี่ยวกับจ้าวเฟิงมากขึ้น
ตำแหน่งม้ามืดอันดับหนึ่งไม่อาจสั่นคลอน
ในทั่วทั้งงานพันธมิตร มีผู้ใดเล่าที่กล้าเผชิญหน้ากับหลินทง
และเมื่อดูจากสถานการณ์ การปะทะของทั้งสองนั้นเสมอกัน
พื้นที่สาม
ดวงตาข้างเดียวของจ้าวเฟิงและเรือนผมสีเขียวครามของเขาโดดเด่นอย่างมาก
นอกจากสวี๋จีเสวี๋ยนแล้ว ทุกคนล้วนระแวดระวัง และบางคนกระทั่งหวาดกลัวเด็กหนุ่ม
แม้แต่กู่หลานเยว่ยังรู้สึกไม่สบายใจ สัญชาตญาณของนางได้บอกนางว่าจ้าวเฟิงเป็นคนที่อันตรายอย่างมาก
ดวงตาของนางส่องประกายวาบและรู้สึกกังวลอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนึกถึงการกระทำที่แสดงตนเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย นับว่าใจร้อนเกินไปแล้ว
และเมื่อมองไปยังงานพันธมิตรนี้ ความสามารถของศิษย์สำนักจันทร์สลายนับว่าไม่เลว
จ้าวเฟิงและเป่ยม่อเป็นม้ามืดตัวใหญ่เลย หยางกานก็ไม่ได้ทำให้ตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ต้องมัวหมอง ศิษย์หลักคนอื่นๆ เช่นหลินฝานและหลานเสี่ยวย่วนล้วนมีความสามารถยอดเยี่ยมเช่นกัน
ณ ศาลาผู้ชม
สำนักวิญญาณจันทร์ สำนักจันทร์เงิน และตำหนักหยกเดี่ยวที่ใกล้ชิดกับสำนักจันทร์สลายล้วนตื่นตะลึงไปกับความแข็งแกร่งของเหล่าคนรุ่นใหม่ของสำนักจันทร์สลาย
โดยเฉพาะสำนักจันทร์เงินและตำหนักหยกเดี่ยวที่มีความแข็งแกร่งกว่าสำนักจันทร์สลายในงานพันธมิตรคราที่แล้วมากนัก
ทว่าครานี้ อีกฝ่ายกลับเหนือกว่าทั้งสองสำนักได้อย่างง่ายดาย
เหล่าระดับสูงจากสำนักวิญญาณจันทร์ดีกว่าเล็กน้อย
“แม้ว่าศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักจันทร์สลายจะยอดเยี่ยมในครานี้ มันก็ไม่มีผู้ใดที่เป็นผู้นำที่แท้จริง และไม่มีผู้ใดที่สามารถกลายเป็นหนึ่งในดาราได้”
ผู้อาวุโสหนึ่งแห่งสำนักวิญญาณจันทร์แย้มยิ้ม
ทว่าในด้านของสำนักวิญญาณจันทร์ พวกเขายังคงมีหนึ่งในสี่ดารา อ้าวเยว่เทียน และจ้าวหยูเฟย หนึ่งในม้ามืด
ในเวลาเดียวกัน
มุมหนึ่งในศาลาผู้ชม
คนจากแคว้นมังกรโลหะล้วนเงียบงันขณะที่มองงานพันธมิตรด้วยความเย็นชา เยาะเย้ย และเหยียดหยาม
“ดูเหมือนสิบสามแคว้นจะไม่มีอัจฉริยะมากนัก มีเพียงสี่ดาราที่นับว่าผ่าน”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นจากร่างลึกลับสวมใส่ชุดสีดำ ปกปิดใบหน้าจนไม่อาจมองเห็นได้ถนัด
ในด้านของสำนักจันทร์สลาย
“แคว้นมังกรโลหะกำลังมีสงครามกับแคว้นสมบัตินภามิใช่หรือ? เหตุใดพวกเขาจึงยังมีเวลามาดูงานพันธมิตรกัน?”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยพูดด้วยสีหน้าฉงน
ในยามนั้นเอง
เสียงเสียงหนึ่งได้ดังก้องขึ้นในพื้นที่ที่สาม “จ้าวเฟิง ปะทะ สวี๋จีเสวี๋ยน”