Skip to content

King of Gods 275

King Of Gods

บทที่ 275 :ความโกรธเกรี้ยวอันน่าพรั่นพรึง

ตัดสินแพ้ชนะในหนึ่งกระบวนท่า?

หลิวหยวนเค้นเสียงอยู่ในใจ ปราณครึ่งจิตวิญญาณพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา เตรียมพร้อมที่จะระบายความโกรธแค้นออกมา

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิง เขาก็ไม่กล้าที่จะทำตัวประมาทเลินเล่อ จะอย่างไรเขาก็ได้เห็นด้วยตาตนเองว่าจ้าวเฟิงได้ใช้กระบวนท่าที่แปลกประหลาดเอาชนะ “สี่เงาขนนกทมิฬ” เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็จัดการคนทั้งสามได้หมดสิ้น

หากพูดตรงๆ หลิวหยวนเองหากต้องรับมือกับหนึ่งในสี่เงาขนนกทมิฬก็ยังนับว่าทำได้ ทว่าหากเป็นหนึ่งต่อสามย่อมพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่า

จ้าวเฟิงที่เพิ่งจะผ่านพ้นการต่อสู้ไปย่อมเสียพลังไปไม่มากก็น้อย

หลิวหยวนจึงมั่นใจ ใช้โอกาสนี้ในการท้าประลอง

“… คิดว่าเพียงหนึ่งกระบวนท่าจะเอาชนะข้าได้หรือ?”

สายตาหลิวหยวนเย็นเยียบ ปราณครึ่งจิตวิญญาณพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง พร้อมจะปะทุออกมาตลอดมาเวลา ปรากฏแประกายแสงสีแดงสดราวอาทิตย์อัสดงที่พร้อมจะระเบิดออก

ทว่า

ภาพเบื้องหน้านั้นคือจ้าวเฟิงที่ยืนสองมือไพล่หลังอยู่บนหลังนางแอ่นมรกต ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว

“เขาไม่โจมตีหรือ?”

หลิวหยวนและผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสองที่ติดตามอย่างเร่งรีบกลับมีสีหน้าประหลาดใจระบายอยู่บนใบหน้า

จ้าวเฟิงสีหน้านิ่งเฉย ท่าทางราวเยาะเย้ย มือทั้งสองไขว้ไปข้างหลัง แสดงเจตนาว่าจะไม่โจมตีแต่อย่างใด

เขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?

“จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าประมาทนัก”

“ปราณจิตวิญญาณแท้ของหลิวหยวนนั้นมีความสามารถในการต่อสู้อย่างมาก มันใกล้เคียงกับปราณจิตวิญญาณแท้แล้ง กระทั่งสี่เงาขนนกทมิฬก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าตรงๆ”

ทุกคนต่างจ้องมองไปยังจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงไม่ลงมือ สิ่งที่เขาทำมีเพียงการใช้พลังดวงตาเทพเจ้าของเขากวาดมองไปยังหลิวหยวนเล็กน้อย

“อ่า”

เหล่าผู้ที่อยู่ด้านหลัง เมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาสีเขียวนั้นจิตใจราวกับถูกสะกด รู้สึกราวกับยืนอยู่บนผาสูงชัน แผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลย้อย

ทว่าเป้าหมายของดวงตานั้นคือหลิวหยวน มันยากที่จะคาดคิดถึงความกดดันที่เขาได้รับนัก

เฮือก

จิตใจของหลิวหยวนสั่นสะท้าน สติพุ่งวาบา ถูกกลืนกินไปด้วยเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเง

ร่างของหลิวหยวนแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ดิ้นรนอย่างหนักหน่วง

เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ

พรึ่บ!

ร่างของหลิวหยวนตกลงมาจากกลางอากาศ ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ใบหน้าซีดขาว เหนื่อยล้าอย่างหนัก

“เจ้า… เจ้า…”

หลิวหยวนคุกเข่าอยู่ที่พื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตกใจ และอ่อนล้า ไม่อาจที่จะควบคุมร่างกายได้ ดูราวกับสามารถสิ้นสติไปได้ทุกขณะ

เหล่าทหารจำนวนมากที่อยู่ด้านหลังต่างตื่นตะลึง ใบหน้าซีดขาว

หัวหน้าทหารที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกสองคนสูดลมหายใจเย็นเยือก

สายเลือดดวงตาของเด็กหนุ่มนั้น เพียงกวาดมองก็สามารถจัดการหลิวหยวนได้ในพริบตา

ในคนทั้งหมด พลังของหลิวหยวนถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกสองคนนั้นมีพลังเทียบได้เพียงครึ่งหนึ่งของหลิวหยวน

เด็กหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่บนหลังนางแอ่นมรกต มือไขว้อยู่เบื้องหลัง เรือนผมสีเขียวเต้นรำไปตามสายลม ส่งกลิ่นอายลึกลับแปลกประหลาด

“มิคาดว่าพลังจิตของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของข้าจะพัฒนาขึ้นมากเพียงนี้”

ในใจจ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

มิติในดวงตาข้างซ้าย แสงสีเขียวลึกล้ำได้ขยายไปมากกว่าเจ็ดฟุต นับว่าถึงขีดจำกัดบางประการแล้ว

ใจกลางของความลึกล้ำนั้น บางคราจะปรากฏจุดแสงสีฟ้าอ่อน ส่งกลิ่นอายบางอย่างออกมา

ตั้งแต่ที่รับรู้ถึง “สำนึกรู้ซากแก่นก่อกำเนิด” และ “มรดกอัสนี” อย่างสมบูรณ์แล้ว ขอบเขตพลังจิตของจ้าวเฟิงก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในยามนี้ ขอบเขตพลังจิตของเด็กหนุ่มนั้นแทบจะไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปเลย

เมื่อครู่นี้เขาได้ใช้พลังดวงตาเทพเจ้าสร้าง “คุกลวงตา” ขึ้นมากักขังและทรมานหลิวหยวน ทว่าพลังจิตของจ้าวเฟิงไม่ได้ถูกใช้ไปมากมายเท่าใด

อีกทั้งในยามนี้ พลังจิตของเขายังฟื้นฟูได้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

จ้าวเฟิงยืนอยู่บนหลังนางแอ่นมรกตที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและทหารที่ตามมากว่าร้อยนายยังไม่เลิกล้มการไล่ล่า

ฟุ่บ

จ้าวเฟิงไร้ซึ่งความสงสารเห็นใจ ใช้พลังดวงตาเทพเจ้า “จ้องมอง” หัวหน้าทหารในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสองทีล่ะคน

พรึ่บ พรึ่บ

ผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสองร่วงหล่นจากอากาศ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและเจ็บปวด เหงื่อโชกไปทั้งร่างราวกับเพิ่งไปต่อสู้กับใครมา

เคล็ดวิชาพลังจิตของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นได้ดัดแปลงมาจาก “เนตรลบสวรรค์” ของหลินทง แล้วนำมาปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขา

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้านั้น เมื่อเทียบกับพลังสายเลือดของหลินทงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังจิตหรือพรสวรรค์ล้วนแข็งแกร่งกว่าอย่างมาก

จ้าวเฟิงเพียงกวาดมอง ก็สามารถสร้าง “คุกลวงตา” ขึ้นทรมานจิตใจของฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรง

ในโลกแห่งจิตนั้น การไหลของเวลาเมื่อเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน ในเสี้ยวพริบตาของโลกแห่งความเป็นจริงอาจเป็นเพียงเสี้ยวพริบตา แต่ในโลกแห่งจิตนั้นได้ผ่านพ้นไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว

จิตใจของคู่ต่อสู้เหนื่อยล้าจากความทุกข์ทรมาน ย่อมไม่อาจควบคุมร่างกายได้ดั่งใจ

สำนึกแห่งจิตนั้นนับเป็นแก่นแท้ของชีวิต

ต่อให้ร่างเนื้อและปราณแท้นั้นแข็งแกร่งจนสามารถท้าทายลิขิตสวรรค์ หากสำนึกแห่งจิตถูกสะกด ร่างนั้นก็เป็นเพียงก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง ‘จับจ้อง’ ไปทั้งหมดสามครั้งที่หลิวหยวนและผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสอง ทำให้พ่ายแพ้ไป

“จ้าวเฟิงผู้นี้…”

หลิวหยวนเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบ ความเจ็บปวดครอบคลุมไปทั่วทั้งร่าง

ทว่าร่างของจ้าวเฟิงที่อยู่ในระยะสายตานั้นได้ยืนอยู่บนหลังนางแอ่นมรกต สองมือไพล่หลัง ลอยห่างออกไปสู่ขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า เล็กลงเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นชายชุดดำทั้งสาม หลิวหยวน หรือคนอื่นๆ ต่างก็ได้แต่มองจ้าวเฟิงลอยห่างออกไปอย่างหมดสิ้นหนทาง

โดยเฉพาะหลิวหยวนที่มีความรู้สึกซับซ้อน มุมปากปรากฏรอยยิ้มขมขื่น

ก่อนหน้าเป็นเขาที่ได้รับเด็กหนุ่มผู้นี้เข้ามาในเมืองหงหู

มาวันนี้

เขาก็ได้เป็นฝ่าย ‘ส่ง’ จ้าวเฟิงออกไปด้วยตนเอง

เท่ากับว่า ได้เป็นพยานให้กับทุกการกระทำของเด็กหนุ่มผู้นี้ในเมืองหงหู ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด เฝ้ามองปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

“ไม่คิดว่า… เขาปิดบังพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้เอาไว้หรือ?”

“วิชาเนตรสะกดจิต? ตอนที่เราสู้กันก่อนหน้า เขาไม่ได้ใช้มัน”

ชายชุดดำทั้งสามที่นอนนิ่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นมีสีหน้าตื่นตกใจและขมขื่น

แน่นอนว่า

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาและจ้าวเฟิงนั้นไม่เหมาะสมในการใช้วิธีนี้

เพราะว่าสี่เงาขนนกทมิฬนั้นร่วมมือกันโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งช่องว่างใด

จ้าวเฟิงสร้าง ‘คุกลวงตา’ ขึ้นเพื่อรับมือกับผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งด้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโดยเฉพาะ การเพ่งจิตนั้นในระยะเวลาหนึ่งถึงสองลมหายใจไม่อาจเสียสมาธิได้

แม้ว่าการมองหนึ่งครั้งของเขาอาจจะสามารถฆ่าชายชุดดำคนหนึ่งได้ในหนึ่งวินาที ทว่าคนอื่นๆ ก็จะมีโอกาสมากพอในการฆ่าเขาหลายครั้ง

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เมื่อหลิวหยวนเสนอ “การสู้ตัวต่อตัว” และ “การสู้อย่างยุติธรรม” ขึ้น สีหน้าของจ้าวเฟิงจึงได้ปรากฏความเยาะหยัน

ณ ที่แห่งเดิม

ณ พื้นที่ที่ไหม้เกรียม ทหารนับร้อยนายยืนนิ่งอึ้งมองเรื่องราวเช่นคนดู หากมีพลังต่ำกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ล่าจ้าวเฟิงได้ทัน

แม้ว่าจะตามไปทันก็ไม่อาจช่วยอันใดได้ ผู้ใดกันที่สามารถต่อต้าน ‘หนึ่งการมอง’ ของเขาได้

“เราทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ยามนี้คงมีเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถรับมือเขาได้”

หลิวหยวนทรุดลงบนพื้นอย่างงหมดแรง

เวลาผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ

ฟุ่บ

ทางทิศทางของเมืองหงหูปรากฏเสียงบางอย่างที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนน่าตะลึงขึ้นจากความว่างเปล่า กลิ่นอายของจิตวิญญาณแท้แพร่กระจายมาจากที่ไกลๆ เคลื่อนไหวใกล้เข้ามา

“ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง”

สีหน้าของหลิวหยวนและคนอื่นๆ ปรากฏความยินดีขึ้น

หลังจากผ่านไปหลายลมหายใจ

ชายในชุดบัณฑิต มือถือพู่กันสีดำ พลิ้วกายลงมา

“เกิดอันใดขึ้น? จ้าวเฟิงไปที่ใดแล้ว?”

“ท่านลุงหลิวหยวน”

หลิวหยวนดวงตาแดงก่ำ แทบจะร่ำไห้ออกมา

บุรุษที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้นี้คือหลิวหยวน

ก่อนหน้านั้น เนื่องจากขี่วิเศษได้อาละวาดบ้าคลั่งขึ้น หลิวหยวนที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจึงได้ยื่นมือเข้าช่วยแก้ไขสถานการณ์

ทว่าหลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาก็สูญเสียร่องรอยของจ้าวเฟิงไป หลังจากที่ค้นหาอย่างเร่งรีบก็ไปพบเข้ากับ ‘สี่เงาขนนกทมิฬ’ ผู้นั้นในระหว่างทาง

“สี่เงาขนนกทมิฬ… ทั้งยังมีพวกทหารป้องกันเมืองอย่างพวกเจ้า และผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกหกคน แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับเขาทั้งหมด?”

สีหน้าของหลิวหยวนขาวซีด ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้

สายตาที่กวาดไปรอสายตาของเขากวาดมองไปรอบด้าน ในระยะสิบหลารอบกายนั้นกลับกลายเป็นหลุมสีดำไหม้เกรียมพร้อมควันที่ลอยฟุ้ง พลังทำลายนั้นอาจเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก

ในหลุมดำไหม้เกรียมปรากฏร่างของชายชุดดำทั้งสาม นอนนิ่งเป็นอัมพาต ยังไม่อาจฟื้นฟูปราณแท้ได้ในยามนี้

หลิวหยวนและคนอื่นๆ อีกสามคนร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บแต่กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า จิตใจเหนื่อยล้าอย่างมาก ไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้

“เขาเพียงคนเดียว เป็นไปได้อย่างไร…”

หลิวหยวนสมองโล่งว่างไปครู่หนึ่ง ยากที่จะทำใจให้เชื่อในสถานการณ์ปัจจุบันที่เด็กรุ่นหลังในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่งทิ้งเอาไว้ให้ได้

ในทางกลับกัน หากหลิวหยวนและคนอื่นๆ บอกว่าภาพนี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสร้างขึ้น เขาย่อมเชื่อถืออย่างไร้ข้อกังขา

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามสิบลมหายใจ กลับสามารถเอาชนะสี่เงาขนนกทมิฬ ทำให้พวกหลิวหยวนทั้งสามสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปก็อาจทำไม่ได้เช่นนี้

โดยเฉพาะสี่เงาขนนกทมิฬที่เชี่ยวชาญในการร่วมมือกันโจมตี ความสามารถในการต่อสู้น่าตื่นตะลึง กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ยังถูกล้อมได้ในพริบตา

การร่วมมือที่แข็งแกร่งเช่นนี้ กลับถูกทำลายลงภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยเด็กหนุ่มผู้หนึ่งอย่างคาดไม่ถึง

“เช่นนั้นจ้าวเฟิงหลบหนีไปทางทิศใด?”

หลิวหยวนเอ่ยสอบถามก่อนจะกลับกลายไปเป็นเส้นแสงสีฟ้าพุ่งออกไป ทะลวงผ่านเมฆาในระยะเวลาสั้นๆ เป็นความสามารถที่น่าตื่นตะลึง

ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นสามารถบินได้ในระยะเวลาสั้นๆ ความเร็วมากกว่าสัตว์ขี่วิเศษในนภาที่เจ็ด

“เรื่องราวต่อไปคงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว”

“แต่เราจำต้องขอโทษท่านเจ้าเมือง”

เหล่าคนชุดดำในปากปรากฏความขมปร่าประการหนึ่ง

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผู้คนก็ได้ติดตามมาทันมากขึ้น กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายคนยังปรากฏตัวขึ้น

เมื่อคนเหล่านั้นเห็นภาพสถานการณ์นี้ก็รู้สึกตื่นตะลึงขึ้นอย่างไร้ซึ่งข้อยกเว้น

“เด็กหนุ่มที่อยู่ในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่งมีพลังมากมายถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ?”

“บุตรเขยที่ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้เลือกเองผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าได้หลบหนีการแต่งงานไปแล้ว นับว่าเป็นเรื่องน่าตลกยิ่งนัก”

ในเมืองหงหู หลังจากที่การอาละวาดของสัตว์ขี่วิเศษผ่านพ้นไปก็ได้วุ่นวายขึ้นอีกครั้ง

ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหงหูอย่างรวดเร็ว กระทั่งไปถึงยังตำหนักเจ้าเมืองตำหนักเจ้าเมือง

เจ้าเมืองหงหูยืนสองมือไพล่หลัง เบื้องหน้าปรากฏร่างของคนในชุดดำผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน

“เขาบังอาจหนีการแต่งงานหรือ?”

“เป็นเพียงแค่เด็กรุ่นหลังในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่ง กลับสามารถหลบหนีออกไปจากสายตาของพวกเจ้าได้อย่างคาดไม่ถึง?”

ใบหน้าราวบัณฑิตของเจ้าเมืองหงหูปรากฏความเย็นเยียบขึ้นหลายเท่าตัว

ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ทรวงอกขยับขึ้นลงด้วยความโกรธเกรี้ยว รินน้ำชาลงที่แก้ว

เหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์ทั้งหลายไม่กล้าที่จะออกจากสถานการณ์ยามนี้

เจ้าเมืองหงหูนั้น ในอดีตคืออัจฉริยะไร้คู่ต่อสู้ของตระกูลหลิวแห่งหงหู เชี่ยวชาญในการวางแผน

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นเจ้าเมืองหงหูโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ กระทั่งหลุดการควบคุมไป

“รายงานท่านเจ้าเมือง จ้าวเฟิงตัดการสามขนนกทมิฬไปแล้ว”

“รายงานท่านเจ้าเมือง จ้าวเฟิงเอาชนะพวกหลิวหยวนที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้และนั่งนางแอ่นมรกตหนีออกไป ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้”

“รายงานท่านเจ้าเมือง ท่านหลิวหยวนออกไปไล่ล่าจ้าวเฟิงด้วยตนเองแล้ว”

ข่าวครามทุกอย่างมาถึงตำหนักเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว

ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวใหม่ ความโกรธเกรี้ยวและรอยยับย่นบนศีรษะของเจ้าเมืองหงหูก็จะเพิ่มขึ้นทีล่ะระดับ

“สี่เงาขนนกทมิฬแข็งแกร่งในการร่วมมือกันต่อสู้ยิ่งนัก กลับยังพ่ายแพ้ให้เขาตรงๆ อีกหรือ?”

“พวกหลิวหยวนทั้งสามไม่อาจต่อต้าน ‘หนึ่งการมอง’ ของเขาได้”

เจ้าเมืองหงหูชะงักและกราดเกรี้ยว เสียงคำรามดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักเจ้าเมือง

ในยามนี้ ก้อนเมฆบนท้องฟ้าเหนือตำหนักเจ้าเมืองสั่นสะท้านเล็กๆ สื่อถึงความกราดเกรี้ยวอันไร้ที่สิ้นสุดของเจ้าเมืองหงหู

“ถ่ายทอดคำสั่ง ในพื้นที่เมืองหงหูให้ออกประกาศจับจ้าวเฟิง”

น้ำเสียงกราดเกรี้ยวและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีดังก้องผ่านชั้นเมฆา

ชายชราในขั้นผู้วิเศษแท้เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “ผู้ที่จะสามารถจับจ้าวเฟิงมาได้นั้นมีเพียงหลิวหยวน”

“ถูกต้องแล้ว หากเป็นหลิวหยวนย่อมสามารถตามได้ทัน จ้าวเฟิงย่อมยากที่จะหลบหนีความทรมานไปได้”

ทุกคนต่างฝากความหวังไว้ที่หลิวหยวนผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน มีเพียงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถรับมือจ้าวเฟิงได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version