บทที่ 276 : การต่อสู้กับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงกลางอากาศ
ใจกลางนภา นางแอ่นมรกตได้ทะยานขึ้นสูง จ้าวเฟิงยืนมือไพล่หลัง เรือนผมพลิ้วไหว
ในยามนี้
เด็กหนุ่มหรี่ตาลงกับกระแสลมรุนแรงที่พัดเข้ามา ใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีค่า ฟื้นคืนพลังปราณแท้
ด้วยสายเลือดโบราณทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูของจ้าวเฟิงนั้นรวดเร็วกว่าคนทั่วไปมากนัก ในยามนี้ก็ฟื้นฟูได้เกือบสมบูรณ์แล้ว
ไม่นาน
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้น ใจกลางนัยน์ตาปรากฏจุดแสงสีฟ้าวาบขึ้นในดวงตาสีเขียวครามล้ำลึก
“อย่าได้บอกข้าว่าดวงตาซ้ายเอง… ก็สามารถวิวัฒนาการได้…”
เด็กหนุ่มพึมพำอย่างแผ่วเบา
หลังจากการต่อสู้ จ้าวเฟิงได้ใช้ดวงตาเทพเจ้าอย่างต่อเนื่อง แสงสีฟ้าเย็นเยียบที่ส่งกลิ่นอายลึกลับออกมานั้นก็มักจะปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง
มือของเด็กหนุ่มสัมผัสไปยังเรือนผมสีฟ้าบริสุทธิ์บนศีรษะ
ในมือนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ปรากฏเส้นผมสีฟ้าขึ้นแทรกตามเส้นผมสีเขียวของเขา
สีหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไปเล็กๆ ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้น
ในเรือนผมสีเขียวของเขานั้น บัดนี้บางส่วนได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีฟ้าอย่างเห็นได้ชัด
เรือนผมราวเส้นไหมสีฟ้าอ่อนจางราวกับแสงสีฟ้าในดวงตาซ้าย… ปรากฏขึ้นแทรกตามเรือนผมสีเขียวของเขา…
ทั้งหมดนี่หมายความว่าอันใดกัน?
ประกายตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก ทั้งประหลาดใจและไม่สบายใจ ในขณะที่ส่วนหนึ่งปรากฏความคาดหวังขึ้น
ในยามนี้เอง
ในมวลหมู่เมฆกลับปรากฏเสียงเสียงหนึ่งขึ้นจากความว่างเปล่า
“กลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ไม่ดีแล้ว”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ
ดวงตาจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มกวาดมองห่างออกไปสิบยี่สิบสี้ ปรากฏประกายแสงหนึ่งไล่ล่าตามมา
หลิวเหยียน
เพียงกวาดมองจ้าวเฟิงก็จดจำถึงสถานะของผู้มาใหม่ได้ทันที
การหนีการแต่งงานก่อนหน้านั้น ตัวเขาก็ต้องวางแผนรับมือกับคนผู้นี้เป็นพิเศษ
“จ้าวเฟิง ยังไม่กลับเมืองไปขออภัยพร้อมข้าอีก”
น้ำเสียงของหลิวเหยียนปรากฏความเย่อหยิ่ง ในน้ำเสียงปะปนไปด้วยกลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง สั่นสะท้านมวลเมฆใกล้เคียง ทำให้เหล่าปักษากระวนกระวาย หนีแตกกระจายไปทั่วทุกทิศ
จ้าวเฟิงยืนมือไพล่หลังอยู่บนหลังของนางแอ่นมรกต มุมปากยกขึ้นคล้ายเยาะเย้ย ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด
ใบหน้าของหลิวเหยียนมืดทะมึน จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าโอหังเกินไปนัก กระทั่งการไล่ล่าจากขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังไม่นำมาใส่ใจ
“อย่าได้บอกข้าว่าเขาจะอวดตนว่าสามารถต่อกรกับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้?”
หลิวเหยียนอ่านความนัยของท่าทีจ้าวเฟิงได้สำเร็จ
ทว่าหลิวเหยียนไม่เชื่อว่าเด็กรุ่นหลังในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่ง ที่กระทั่งยังไม่เข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะสามารถต่อต้านผู้ที่อยู่ใน ‘ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง’ ได้
“ผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปสามารถบินได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่องเป็นระยะทางสิบถึงยี่สิบลี้ หากมากเกินกว่านั้นเพียงหนึ่งถึงสองลี้ก็นับว่ายากลำบากแล้ว”
สีหน้าของจ้าวเฟิงนิ่งสงบ
ที่นี่คือกลางอากาศ มิใช่พื้นดิน
ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป ด้วยพลังของตนที่บรรลุถึงจุดหนึ่งจะสามารถโบยบินได้
ทว่า… จะอย่างไรมนุษย์ก็มิใช่ปักษาที่จะเหมาะสมในการบิน
ดังนั้นแล้ว ความสามารถในการบินของขั้นมนุษย์แท้ เมื่อเทียบกับเหล่าปักษาปีศาจแล้วก็ยังนับว่าด้อยกว่า
ทว่า
ความสามารถในการบินของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในระยะเวลาสั้นๆ นั้นก็มิใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้
“หลิวเหยียนผู้นี้อยู่ห่างจากข้าราวๆ สิบถึงยี่สิบลี้ เมื่อเขาตามข้ามาทันก็จะเป็นเวลาที่เขาเข้าถึงขีดจำกัดในการบินพอดี”
การคำนวณของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นแม่นยำยิ่งนัก
หากเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดปราณผู้อื่น เมื่อเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง บางทีบัดนี้อาจจะลนลานอย่างหนักและเต็มไปด้วยความสิ้นหวังแล้ว
ทว่าจิตใจของจ้าวเฟิงยังคงสงบเยือกเย็น ตัวของศัตรู ตัวของตนเอง ทั้งจุดอ่อนจุดแข็งล้วนอยู่ภายใต้การควบคุม
แม้ว่าจะเป็นพลังในยามนี้ของจ้าวเฟิง หากต้องเผชิญหน้ากับหลิวเหยียนที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงตรงๆ โอกาสสำเร็จก็ไม่มากไปกว่าสามสิบในร้อยส่วน
หลิวเหยียนมิใช่ตัวโง่งม เขาไม่ได้ใช้ปราณจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทว่าเรียกสัตว์ขี่ของตน ‘นางแอ่นสีแดง’ ออกมา
นางแอ่นสีแดงนี้มีขนาดเท่าๆ กับนางแอ่นมรกต รูปร่างกระชับคล่องแคล่ว ความเร็วไม่ธรรมดา นอกจากนั้นยังมีพลังถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ภายใต้การบินอย่างเต็มกำลังของนางแอ่นสีแดง ความเร็วนั้นกระทั่งเหนือกว่านางแอ่นมรกตเล็กน้อย
สามารถเห็นได้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นขยับเข้าใกล้กันเล็กน้อย
หลิวเหยียนแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ
“จ้าวเฟิง เจ้าหมดหวังแล้ว มาให้จับเสียแต่โดยดี”
จ้าวเฟิงรักษาสีหน้าเอาไว้ มองไปยังหลิวเหยียนที่เข้าใกล้ร่างของตนมาเรื่อยๆ อย่างจนใจ
แรงกดดันอันทรงพลังของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ทำให้นางแอ่นมรกตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด
ไม่นาน
หลิวเหยียนได้เข้าใกล้จ้าวเฟิงในระยะสิบลี้ รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏความเยือกเย็นขึ้นอีก
ในยามนี้เอง
จ้าวเฟิงพลันผิวปาก ดวงตาเทพเจ้าส่งคลื่นแปลกประหลาดออกมา
จากนั้น
นางแอ่นสีแดงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลิวเหยียนพลันกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ปีกทั้งสองขยับวุ่นวาย ประกายแสงรอบกายสั่นกระเพื่อม กระแสลมพัดกระโชกออกไปทั่วทุกทิศ
“ไช่เยี่ยน ไช่เยี่ยน เจ้าเป็นอันใดไป…”
หลิวเหยียนตกใจจนสติหลุด
นางแอ่นสีแดงที่ทำสัญญากับเขาได้โจมตีออกมาอย่างบ้าคลั่ง คราแรกนั้นกระทั่งโจมตีโดนเขาในสถานการณ์วุ่นวายนั้น สร้างบาดแผลเล็กๆ ขึ้น
นางแอ่นสีแดงกรีดร้องออกมา สูญเสียสติปัญญา ร่วงหล่นลงจากกลางท้องนภา กระแทกพื้นหินจนแตกสลาย สร้างม่านฝุ่นฟุ้งกระจายออกทุกทิศทาง ตายตกลงอย่างโหดร้าย
“ไช่เยี่ยน”
ใบหน้าของหลิวเหยียนปรากฏความเศร้าหมองและเดือดดาล สายตาเย็นเยียบเต็มไปด้วยความเกลียดชังจับจ้องไปยังจ้าวเฟิง
“ไอ้เด็กไร้ยางอาย กล้าวางแผนฆ่าสัตว์ขี่ของข้า…”
เขาพลันจดจำได้ขึ้นมาว่ายามที่จ้าวเฟิงประลองชี้แนะกับตน อีกฝ่ายได้เสนอตัวช่วยฝึกสัตว์เลี้ยงของเขาให้
ในยามนั้นหลิวเหยียนไม่ได้สงสัยอีกฝ่าย จะอย่างไรหลังการฝึกนั้น สัตว์เลี้ยงของเขาก็ฉลาดขึ้นและเชื่อฟังเขาอย่างมาก
นอกจากนั้น ยังไม่มีผู้ใดคิดว่าจ้าวเฟิงจะหลบหนีการแต่งงาน ทรยศเจ้าเมืองหงหู
“เสียสัตว์ขี่ไปแล้ว เจ้าจะไล่ล่าข้าอย่างไร”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
การหลบหนีการแต่งงานในครานี้ เขาได้วางแผนขึ้นอย่างระมัดระวัง คำนึงถึงความเป็นไปได้ทุกอย่าง
โดยเฉพาะหลิวเหยียน จ้าวเฟิงมีโอกาสที่จะต้องปะทะกับยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้นี้มาก หากไม่วางกับดักอีกฝ่ายเอาไว้ ครั้นเมื่อปะทะกัน แผนการหลบหนีการแต่งงานของเด็กหนุ่มย่อมล้มเหลว
“สิบลี้ในการไล่ล่าเจ้า… มากกว่าพอเสียอีก”
หลิวเหยียนตวาดลั่น ปราณในร่างระเบิดออก กลายเป็นเส้นแสงสีขาวรุ้ง พุ่งไล่ล่าจ้าวเฟิง
ผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ทั่วไป หากบินอย่างรวดเร็วติดต่อกันจะได้เป็นระยะทางราวๆ สิบถึงยี่สิบลี้
ระหว่างนี้ ความของหลิวเหยียนจะเหนือกว่าความเร็วของนางแอ่นมรกตโดยสิ้นเชิง เมื่อเกินกว่ายี่สิบลี้เขาจึงจะเชื่องช้าลงจนเทียบเท่าได้กับนางแอ่นมรกต และจะช้าลงเรื่อยๆ
เมื่อเห็นหลิวเหยียนใกล้เข้ามา ไล่ล่ามาหลายลี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“ฮี่ฮี่ ขอลองต่อสู้กลางอากาศเสียหน่อยเถอะ”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม ในมือปรากฏคันศรหลัวซุยขึ้น
การโจมตีระยะไกลนั้น กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ไม่อาจเทียบเคียงกับอาวุธรูปแบบธนูและหน้าไม้ได้
จ้าวเฟิงโคจรปราณแท้และพลังสายเลือด บนคันศรหลัวซุยปรากฏแสงสีเขียวเข้มสว่างขึ้น ร่องรอยสีฟ้าใสเย็นเยียบปรากฏขึ้นทั่วร่างของเด็กหนุ่ม
บนคันศรหลัวซุยปรากฏประกายสายฟ้าขึ้น ควบรวมสายลมรอบข้างเข้ามา
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ศรสามดอกส่องประกายเย็นเยียบใจกลางอากาศ ปรากฏประกายสายฟ้าล้อมรอบ พุ่งตรงฝ่าอากาศ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วไม่อาจคาดเดาราวสายฟ้า พาดผ่านระยะหลายลี้
หลิวเหยียนที่บินตรงไปยังเด็กหนุ่มได้ยินเสียงคำรามของอัสนีก้องขึ้นในใบหู ประกายเย็นเยียบหลงเหลือในอากาศพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่ส่งผ่านมา
แม้ว่าเขาจะบินอยู่ การเคลื่อนไหวสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างยืดหยุ่น ทว่ากลับไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงศรหลัวซุยที่มีความเร็วเหนือเสียงทั้งสามได้
หลังจากที่ผ่านการหลอมใหม่ ระดับของคันศรหลัวซุยก็ได้เข้าสู่ชั้นมนุษย์ขั้นสุดยอด เมื่อรวมเข้ากับศรหลัวซุยขั้นสูง ความสามารถของมันก็เข้าสู่ขีดจำกัดของอาวุธชั้นมนุษย์
จ้าวเฟิงโคจรพลังสายเลือด หลอมรวมเข้ากับ ‘มรดกอัสนี’ ที่ได้รับสำนึกรู้มาอย่างสมบูรณ์ ศรหลัวซุยแต่ล่ะดอกนั้นสามารถคร่าชีวิตผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดได้ในเสี้ยววินาที แม้ผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปก็ไม่อาจรอดพ้น
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหลิวเหยียนยังรับรู้ได้ถึงแรงคุกคามจากศรหลัวซุย
เขาสูดลมหายใจเล็กๆ ในมือปรากฏพู่กันสีดำสร้างม่านปราณสีแดงขึ้น ปะทะเข้ากับศรทั้งสามห่างออกไปสิบถึงยี่สิบหลา
หลิวเหยียนเร่งรีบวาดพู่กันระเบิดพลังออก เมื่อเทียบมันกับ ‘วงแหวนอัสนี’ ของจ้าวเฟิงก่อนหน้านี้นับว่าแข็งแกร่งกว่ามากนัก
ไม่นาน
ศรหลัวซุยและการโจมตีของหลิวเหยียนก็ปะทะกัน ระเบิดไอความเย็นน่าพรั่นพรึงที่มาพร้อมกับกระแสไฟฟ้าออก
เมื่อต้องรับมือกับการโจมตี ความเร็วของเขาจึงลดลง
ทว่าศรหลัวซุยของจ้าวเฟิงนั้นกลับไปยังมือของผู้เป็นเจ้าของในทันทีก่อนพุ่งออกสู่อากาศอีกครั้ง สร้างกระแสไฟฟ้าเย็นยะเยือกพุ่งตรงไปยังร่างของหลิวเหยียนอย่างต่อเนื่อง
ใจกลางอากาศนั้น หลิวเหยียนไม่เพียงต้องบิน ทว่าต้องป้องกันการโจมตีที่ยากจะรับมือของนักธนูอีก ทำให้ความเร็วลดลงอย่างมาก
ในเวลาเพียงสิบลมหายใจ หลิวเหยียนก็ตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก ในใจพลุ่งพล่านไปด้วยความกราดเกรี้ยว
หากเป็นบนพื้นดินก่อนหน้า แม้ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสี่ห้าคนมาพร้อมกัน เขาก็สามารถแก้ไขได้ในหนึ่งนาที
ทว่า
ที่นี่คือบนนภา การต่อสู้ใจกลางอากาศ
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนหลังนางแอ่นมรกต ไม่ต้องใช้ปราณแท้ในการบิน ตั้งแต่เริ่มต้นได้วางกับดักไว้ที่สัตว์ขี่ของศัตรู ครอบครองตำแหน่งและช่วงเวลาที่ถูกต้อง
“ไอ้เด็กเหลือขอ มาให้ข้าจับเสียดีๆ…”
หลิวเหยียนโคจรปราณจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างราวกับถูกเผาไหม้
ในอดีต ผู้อาวุโสหนึ่งแห่งสำนักจันทร์สลายได้เผาผลาญปราณจิตวิญญาณของตน ปลิดชีวิตของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแห่งแคว้นมังกรโลหะลง ทำให้สำนักจันทร์สลายสามารถหลบหนีไปได้
แม้ว่าหลิวเหยียนจะเสียสติไปแล้ว ทว่าเขายังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ย่อมไม่กล้าที่จะเผาผลาญปราณจิตวิญญาณลงจริงๆ ทว่าได้เข้าใกล้สถานะนั้นแล้ว
เมื่อได้เผาผลาญปราณจิตวิญญาณแล้ว พลังฝึกตนและแหล่งกำเนิดพลังอาจมีระดับลดลง หรืออาจจะทำให้ไร้ซึ่งโอกาสในการทะลวงขั้นในอนาคต
ความเร็วของการโคจรปราณจิตวิญญาณนั้นใกล้เคียงกับการเผาผลาญ พลังที่เริ่มหดหายของหลิวเหยียนพลันเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง
จ้าวเฟิงส่งศรสามดอกออกไปราวกับสายฟ้า ทว่ามันกลับถูกป้องกันโดยหลิวเหยียนที่ยอมได้รับบาดแผลเล็กน้อยเพี่อเข้าใกล้เป้าหมายไปอีก
“ยังเหลืออีกสองลี้”
สีหน้าของจ้าวเฟิงมืดทะมึน สูดลมหายใจลึกก่อนจะตวาดเสียงลั่นหนึ่งครั้ง คลื่นเสียงพลังจิตพุ่งออกไปราวกับเสียงคำรามของสายฟ้า
เขาไม่คิดว่าสิ่งนี้จะสามารถขัดขวางหลิวเหยียนได้
ทันใดนั้น พลังของดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มก็ได้ถูกใช้ออกจนถึงขีดสุด
นัยน์ตาซ้ายสีเขียวนั้นราวกับนรกที่ขยายออกอย่างไร้จุดสิ้นสุด
จิตใจของหลิวเหยียนสั่นสะท้าน สติหายวูบ ดิ้นรนอย่างหนัก
จ้าวเฟิงรู้สึกเคร่งเครียดอยู่ลึกๆ เคล็ดพลังจิตมายาที่เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าสร้างขึ้นนั้น หากต้องการดึงรั้งสติของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงให้หลับใหล เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแล้วนับว่ายากเย็นกว่าหลายเท่านัก
ในยามนี้
ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มได้เข้าถึงขีดจำกัดสูงสุด
ในพื้นที่สีเขียวลึกล้ำ จุดแสงสีฟ้าใสได้สว่างไสวขึ้น พลังเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้พัฒนาขึ้นครึ่งขั้นในระยะเวลาสั้นๆ นั้น
หลิวเหยียนพลาดพลั้ง ร่วงหล่นลงสู่ประกายแสงสีเขียวสว่าง ใต้เท้าปรากฏเป็นนรกอันไร้ก้นบึ้ง เหนือศีรษะปรากฏเมฆสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน
“ที่นี่…”
หัวใจของหลิวเหยียนชะงักงัน ตัวเขาได้ตกลงสู่พลังจิตมายาของอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง
ในคุกลวงตาที่เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้สร้างขึ้นนั้น จิตใจของหลิวเหยียนจะต้องทุกข์ทรมานอย่างไร้จุดสิ้นสุด
ทว่า
การที่เด็กหนุ่มสามารถใช้คุกลวงตากับอีกฝ่ายได้อย่างเฉียดฉิวนั้นนับว่าเป็นเพราะดวง ในยามนี้ต้องสร้างความมั่นคงให้กับคุกลวงตารอบกายของอีกฝ่าย พลังจิตที่ต้องใช้นั้นเหนือกว่ายามที่ปกตินับสิบเท่าตัว
เมื่อตกลงสู่พลังจิตมายา พลังในการต่อต้านของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นนับว่าเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง
หลังจากหนึ่งลมหายใจ
บนหน้าผากของจ้าวเฟิงปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ จิตใจอ่อนล้า
ในเวลาเดียวกัน หลิวเหยียนได้ดิ้นรนทำลายคุกลวงตาลง ทั่วทั้งใบหน้าปรากฏความอับอายและฉุนเฉียว ทว่าจิตใจค่อนข้างอ่อนล้า ท่าทีราวกำลังท้อแท้
เมื่อคิดว่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างตน เมื่อครู่ได้ถูกพลังจิตของจ้าวเฟิงสะกดไว้กว่าหนึ่งชั่วยามก็รู้สึกละอายจนไม่อาจอธิบายได้