Skip to content

King of Gods 276

King Of Gods

บทที่ 276 : การต่อสู้กับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงกลางอากาศ

ใจกลางนภา นางแอ่นมรกตได้ทะยานขึ้นสูง จ้าวเฟิงยืนมือไพล่หลัง เรือนผมพลิ้วไหว

ในยามนี้

เด็กหนุ่มหรี่ตาลงกับกระแสลมรุนแรงที่พัดเข้ามา ใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีค่า ฟื้นคืนพลังปราณแท้

ด้วยสายเลือดโบราณทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูของจ้าวเฟิงนั้นรวดเร็วกว่าคนทั่วไปมากนัก ในยามนี้ก็ฟื้นฟูได้เกือบสมบูรณ์แล้ว

ไม่นาน

จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้น ใจกลางนัยน์ตาปรากฏจุดแสงสีฟ้าวาบขึ้นในดวงตาสีเขียวครามล้ำลึก

“อย่าได้บอกข้าว่าดวงตาซ้ายเอง… ก็สามารถวิวัฒนาการได้…”

เด็กหนุ่มพึมพำอย่างแผ่วเบา

หลังจากการต่อสู้ จ้าวเฟิงได้ใช้ดวงตาเทพเจ้าอย่างต่อเนื่อง แสงสีฟ้าเย็นเยียบที่ส่งกลิ่นอายลึกลับออกมานั้นก็มักจะปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง

มือของเด็กหนุ่มสัมผัสไปยังเรือนผมสีฟ้าบริสุทธิ์บนศีรษะ

ในมือนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ปรากฏเส้นผมสีฟ้าขึ้นแทรกตามเส้นผมสีเขียวของเขา

สีหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไปเล็กๆ ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้น

ในเรือนผมสีเขียวของเขานั้น บัดนี้บางส่วนได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีฟ้าอย่างเห็นได้ชัด

เรือนผมราวเส้นไหมสีฟ้าอ่อนจางราวกับแสงสีฟ้าในดวงตาซ้าย… ปรากฏขึ้นแทรกตามเรือนผมสีเขียวของเขา…

ทั้งหมดนี่หมายความว่าอันใดกัน?

ประกายตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก ทั้งประหลาดใจและไม่สบายใจ ในขณะที่ส่วนหนึ่งปรากฏความคาดหวังขึ้น

ในยามนี้เอง

ในมวลหมู่เมฆกลับปรากฏเสียงเสียงหนึ่งขึ้นจากความว่างเปล่า

“กลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ไม่ดีแล้ว”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ

ดวงตาจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มกวาดมองห่างออกไปสิบยี่สิบสี้ ปรากฏประกายแสงหนึ่งไล่ล่าตามมา

หลิวเหยียน

เพียงกวาดมองจ้าวเฟิงก็จดจำถึงสถานะของผู้มาใหม่ได้ทันที

การหนีการแต่งงานก่อนหน้านั้น ตัวเขาก็ต้องวางแผนรับมือกับคนผู้นี้เป็นพิเศษ

“จ้าวเฟิง ยังไม่กลับเมืองไปขออภัยพร้อมข้าอีก”

น้ำเสียงของหลิวเหยียนปรากฏความเย่อหยิ่ง ในน้ำเสียงปะปนไปด้วยกลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง สั่นสะท้านมวลเมฆใกล้เคียง ทำให้เหล่าปักษากระวนกระวาย หนีแตกกระจายไปทั่วทุกทิศ

จ้าวเฟิงยืนมือไพล่หลังอยู่บนหลังของนางแอ่นมรกต มุมปากยกขึ้นคล้ายเยาะเย้ย ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด

ใบหน้าของหลิวเหยียนมืดทะมึน จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าโอหังเกินไปนัก กระทั่งการไล่ล่าจากขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังไม่นำมาใส่ใจ

“อย่าได้บอกข้าว่าเขาจะอวดตนว่าสามารถต่อกรกับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้?”

หลิวเหยียนอ่านความนัยของท่าทีจ้าวเฟิงได้สำเร็จ

ทว่าหลิวเหยียนไม่เชื่อว่าเด็กรุ่นหลังในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่ง ที่กระทั่งยังไม่เข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะสามารถต่อต้านผู้ที่อยู่ใน ‘ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง’ ได้

“ผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปสามารถบินได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่องเป็นระยะทางสิบถึงยี่สิบลี้ หากมากเกินกว่านั้นเพียงหนึ่งถึงสองลี้ก็นับว่ายากลำบากแล้ว”

สีหน้าของจ้าวเฟิงนิ่งสงบ

ที่นี่คือกลางอากาศ มิใช่พื้นดิน

ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป ด้วยพลังของตนที่บรรลุถึงจุดหนึ่งจะสามารถโบยบินได้

ทว่า… จะอย่างไรมนุษย์ก็มิใช่ปักษาที่จะเหมาะสมในการบิน

ดังนั้นแล้ว ความสามารถในการบินของขั้นมนุษย์แท้ เมื่อเทียบกับเหล่าปักษาปีศาจแล้วก็ยังนับว่าด้อยกว่า

ทว่า

ความสามารถในการบินของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในระยะเวลาสั้นๆ นั้นก็มิใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้

“หลิวเหยียนผู้นี้อยู่ห่างจากข้าราวๆ สิบถึงยี่สิบลี้ เมื่อเขาตามข้ามาทันก็จะเป็นเวลาที่เขาเข้าถึงขีดจำกัดในการบินพอดี”

การคำนวณของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นแม่นยำยิ่งนัก

หากเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดปราณผู้อื่น เมื่อเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง บางทีบัดนี้อาจจะลนลานอย่างหนักและเต็มไปด้วยความสิ้นหวังแล้ว

ทว่าจิตใจของจ้าวเฟิงยังคงสงบเยือกเย็น ตัวของศัตรู ตัวของตนเอง ทั้งจุดอ่อนจุดแข็งล้วนอยู่ภายใต้การควบคุม

แม้ว่าจะเป็นพลังในยามนี้ของจ้าวเฟิง หากต้องเผชิญหน้ากับหลิวเหยียนที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงตรงๆ โอกาสสำเร็จก็ไม่มากไปกว่าสามสิบในร้อยส่วน

หลิวเหยียนมิใช่ตัวโง่งม เขาไม่ได้ใช้ปราณจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทว่าเรียกสัตว์ขี่ของตน ‘นางแอ่นสีแดง’ ออกมา

นางแอ่นสีแดงนี้มีขนาดเท่าๆ กับนางแอ่นมรกต รูปร่างกระชับคล่องแคล่ว ความเร็วไม่ธรรมดา นอกจากนั้นยังมีพลังถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ภายใต้การบินอย่างเต็มกำลังของนางแอ่นสีแดง ความเร็วนั้นกระทั่งเหนือกว่านางแอ่นมรกตเล็กน้อย

สามารถเห็นได้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นขยับเข้าใกล้กันเล็กน้อย

หลิวเหยียนแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ

“จ้าวเฟิง เจ้าหมดหวังแล้ว มาให้จับเสียแต่โดยดี”

จ้าวเฟิงรักษาสีหน้าเอาไว้ มองไปยังหลิวเหยียนที่เข้าใกล้ร่างของตนมาเรื่อยๆ อย่างจนใจ

แรงกดดันอันทรงพลังของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ทำให้นางแอ่นมรกตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด

ไม่นาน

หลิวเหยียนได้เข้าใกล้จ้าวเฟิงในระยะสิบลี้ รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏความเยือกเย็นขึ้นอีก

ในยามนี้เอง

จ้าวเฟิงพลันผิวปาก ดวงตาเทพเจ้าส่งคลื่นแปลกประหลาดออกมา

จากนั้น

นางแอ่นสีแดงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลิวเหยียนพลันกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ปีกทั้งสองขยับวุ่นวาย ประกายแสงรอบกายสั่นกระเพื่อม กระแสลมพัดกระโชกออกไปทั่วทุกทิศ

“ไช่เยี่ยน ไช่เยี่ยน เจ้าเป็นอันใดไป…”

หลิวเหยียนตกใจจนสติหลุด

นางแอ่นสีแดงที่ทำสัญญากับเขาได้โจมตีออกมาอย่างบ้าคลั่ง คราแรกนั้นกระทั่งโจมตีโดนเขาในสถานการณ์วุ่นวายนั้น สร้างบาดแผลเล็กๆ ขึ้น

นางแอ่นสีแดงกรีดร้องออกมา สูญเสียสติปัญญา ร่วงหล่นลงจากกลางท้องนภา กระแทกพื้นหินจนแตกสลาย สร้างม่านฝุ่นฟุ้งกระจายออกทุกทิศทาง ตายตกลงอย่างโหดร้าย

“ไช่เยี่ยน”

ใบหน้าของหลิวเหยียนปรากฏความเศร้าหมองและเดือดดาล สายตาเย็นเยียบเต็มไปด้วยความเกลียดชังจับจ้องไปยังจ้าวเฟิง

“ไอ้เด็กไร้ยางอาย กล้าวางแผนฆ่าสัตว์ขี่ของข้า…”

เขาพลันจดจำได้ขึ้นมาว่ายามที่จ้าวเฟิงประลองชี้แนะกับตน อีกฝ่ายได้เสนอตัวช่วยฝึกสัตว์เลี้ยงของเขาให้

ในยามนั้นหลิวเหยียนไม่ได้สงสัยอีกฝ่าย จะอย่างไรหลังการฝึกนั้น สัตว์เลี้ยงของเขาก็ฉลาดขึ้นและเชื่อฟังเขาอย่างมาก

นอกจากนั้น ยังไม่มีผู้ใดคิดว่าจ้าวเฟิงจะหลบหนีการแต่งงาน ทรยศเจ้าเมืองหงหู

“เสียสัตว์ขี่ไปแล้ว เจ้าจะไล่ล่าข้าอย่างไร”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง

การหลบหนีการแต่งงานในครานี้ เขาได้วางแผนขึ้นอย่างระมัดระวัง คำนึงถึงความเป็นไปได้ทุกอย่าง

โดยเฉพาะหลิวเหยียน จ้าวเฟิงมีโอกาสที่จะต้องปะทะกับยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้นี้มาก หากไม่วางกับดักอีกฝ่ายเอาไว้ ครั้นเมื่อปะทะกัน แผนการหลบหนีการแต่งงานของเด็กหนุ่มย่อมล้มเหลว

“สิบลี้ในการไล่ล่าเจ้า… มากกว่าพอเสียอีก”

หลิวเหยียนตวาดลั่น ปราณในร่างระเบิดออก กลายเป็นเส้นแสงสีขาวรุ้ง พุ่งไล่ล่าจ้าวเฟิง

ผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ทั่วไป หากบินอย่างรวดเร็วติดต่อกันจะได้เป็นระยะทางราวๆ สิบถึงยี่สิบลี้

ระหว่างนี้ ความของหลิวเหยียนจะเหนือกว่าความเร็วของนางแอ่นมรกตโดยสิ้นเชิง เมื่อเกินกว่ายี่สิบลี้เขาจึงจะเชื่องช้าลงจนเทียบเท่าได้กับนางแอ่นมรกต และจะช้าลงเรื่อยๆ

เมื่อเห็นหลิวเหยียนใกล้เข้ามา ไล่ล่ามาหลายลี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

“ฮี่ฮี่ ขอลองต่อสู้กลางอากาศเสียหน่อยเถอะ”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม ในมือปรากฏคันศรหลัวซุยขึ้น

การโจมตีระยะไกลนั้น กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ไม่อาจเทียบเคียงกับอาวุธรูปแบบธนูและหน้าไม้ได้

จ้าวเฟิงโคจรปราณแท้และพลังสายเลือด บนคันศรหลัวซุยปรากฏแสงสีเขียวเข้มสว่างขึ้น ร่องรอยสีฟ้าใสเย็นเยียบปรากฏขึ้นทั่วร่างของเด็กหนุ่ม

บนคันศรหลัวซุยปรากฏประกายสายฟ้าขึ้น ควบรวมสายลมรอบข้างเข้ามา

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

ศรสามดอกส่องประกายเย็นเยียบใจกลางอากาศ ปรากฏประกายสายฟ้าล้อมรอบ พุ่งตรงฝ่าอากาศ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วไม่อาจคาดเดาราวสายฟ้า พาดผ่านระยะหลายลี้

หลิวเหยียนที่บินตรงไปยังเด็กหนุ่มได้ยินเสียงคำรามของอัสนีก้องขึ้นในใบหู ประกายเย็นเยียบหลงเหลือในอากาศพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่ส่งผ่านมา

แม้ว่าเขาจะบินอยู่ การเคลื่อนไหวสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างยืดหยุ่น ทว่ากลับไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงศรหลัวซุยที่มีความเร็วเหนือเสียงทั้งสามได้

หลังจากที่ผ่านการหลอมใหม่ ระดับของคันศรหลัวซุยก็ได้เข้าสู่ชั้นมนุษย์ขั้นสุดยอด เมื่อรวมเข้ากับศรหลัวซุยขั้นสูง ความสามารถของมันก็เข้าสู่ขีดจำกัดของอาวุธชั้นมนุษย์

จ้าวเฟิงโคจรพลังสายเลือด หลอมรวมเข้ากับ ‘มรดกอัสนี’ ที่ได้รับสำนึกรู้มาอย่างสมบูรณ์ ศรหลัวซุยแต่ล่ะดอกนั้นสามารถคร่าชีวิตผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดได้ในเสี้ยววินาที แม้ผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปก็ไม่อาจรอดพ้น

กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหลิวเหยียนยังรับรู้ได้ถึงแรงคุกคามจากศรหลัวซุย

เขาสูดลมหายใจเล็กๆ ในมือปรากฏพู่กันสีดำสร้างม่านปราณสีแดงขึ้น ปะทะเข้ากับศรทั้งสามห่างออกไปสิบถึงยี่สิบหลา

หลิวเหยียนเร่งรีบวาดพู่กันระเบิดพลังออก เมื่อเทียบมันกับ ‘วงแหวนอัสนี’ ของจ้าวเฟิงก่อนหน้านี้นับว่าแข็งแกร่งกว่ามากนัก

ไม่นาน

ศรหลัวซุยและการโจมตีของหลิวเหยียนก็ปะทะกัน ระเบิดไอความเย็นน่าพรั่นพรึงที่มาพร้อมกับกระแสไฟฟ้าออก

เมื่อต้องรับมือกับการโจมตี ความเร็วของเขาจึงลดลง

ทว่าศรหลัวซุยของจ้าวเฟิงนั้นกลับไปยังมือของผู้เป็นเจ้าของในทันทีก่อนพุ่งออกสู่อากาศอีกครั้ง สร้างกระแสไฟฟ้าเย็นยะเยือกพุ่งตรงไปยังร่างของหลิวเหยียนอย่างต่อเนื่อง

ใจกลางอากาศนั้น หลิวเหยียนไม่เพียงต้องบิน ทว่าต้องป้องกันการโจมตีที่ยากจะรับมือของนักธนูอีก ทำให้ความเร็วลดลงอย่างมาก

ในเวลาเพียงสิบลมหายใจ หลิวเหยียนก็ตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก ในใจพลุ่งพล่านไปด้วยความกราดเกรี้ยว

หากเป็นบนพื้นดินก่อนหน้า แม้ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสี่ห้าคนมาพร้อมกัน เขาก็สามารถแก้ไขได้ในหนึ่งนาที

ทว่า

ที่นี่คือบนนภา การต่อสู้ใจกลางอากาศ

จ้าวเฟิงยืนอยู่บนหลังนางแอ่นมรกต ไม่ต้องใช้ปราณแท้ในการบิน ตั้งแต่เริ่มต้นได้วางกับดักไว้ที่สัตว์ขี่ของศัตรู ครอบครองตำแหน่งและช่วงเวลาที่ถูกต้อง

“ไอ้เด็กเหลือขอ มาให้ข้าจับเสียดีๆ…”

หลิวเหยียนโคจรปราณจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างราวกับถูกเผาไหม้

ในอดีต ผู้อาวุโสหนึ่งแห่งสำนักจันทร์สลายได้เผาผลาญปราณจิตวิญญาณของตน ปลิดชีวิตของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแห่งแคว้นมังกรโลหะลง ทำให้สำนักจันทร์สลายสามารถหลบหนีไปได้

แม้ว่าหลิวเหยียนจะเสียสติไปแล้ว ทว่าเขายังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ย่อมไม่กล้าที่จะเผาผลาญปราณจิตวิญญาณลงจริงๆ ทว่าได้เข้าใกล้สถานะนั้นแล้ว

เมื่อได้เผาผลาญปราณจิตวิญญาณแล้ว พลังฝึกตนและแหล่งกำเนิดพลังอาจมีระดับลดลง หรืออาจจะทำให้ไร้ซึ่งโอกาสในการทะลวงขั้นในอนาคต

ความเร็วของการโคจรปราณจิตวิญญาณนั้นใกล้เคียงกับการเผาผลาญ พลังที่เริ่มหดหายของหลิวเหยียนพลันเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง

จ้าวเฟิงส่งศรสามดอกออกไปราวกับสายฟ้า ทว่ามันกลับถูกป้องกันโดยหลิวเหยียนที่ยอมได้รับบาดแผลเล็กน้อยเพี่อเข้าใกล้เป้าหมายไปอีก

“ยังเหลืออีกสองลี้”

สีหน้าของจ้าวเฟิงมืดทะมึน สูดลมหายใจลึกก่อนจะตวาดเสียงลั่นหนึ่งครั้ง คลื่นเสียงพลังจิตพุ่งออกไปราวกับเสียงคำรามของสายฟ้า

เขาไม่คิดว่าสิ่งนี้จะสามารถขัดขวางหลิวเหยียนได้

ทันใดนั้น พลังของดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มก็ได้ถูกใช้ออกจนถึงขีดสุด

นัยน์ตาซ้ายสีเขียวนั้นราวกับนรกที่ขยายออกอย่างไร้จุดสิ้นสุด

จิตใจของหลิวเหยียนสั่นสะท้าน สติหายวูบ ดิ้นรนอย่างหนัก

จ้าวเฟิงรู้สึกเคร่งเครียดอยู่ลึกๆ เคล็ดพลังจิตมายาที่เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าสร้างขึ้นนั้น หากต้องการดึงรั้งสติของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงให้หลับใหล เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแล้วนับว่ายากเย็นกว่าหลายเท่านัก

ในยามนี้

ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มได้เข้าถึงขีดจำกัดสูงสุด

ในพื้นที่สีเขียวลึกล้ำ จุดแสงสีฟ้าใสได้สว่างไสวขึ้น พลังเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้พัฒนาขึ้นครึ่งขั้นในระยะเวลาสั้นๆ นั้น

หลิวเหยียนพลาดพลั้ง ร่วงหล่นลงสู่ประกายแสงสีเขียวสว่าง ใต้เท้าปรากฏเป็นนรกอันไร้ก้นบึ้ง เหนือศีรษะปรากฏเมฆสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน

“ที่นี่…”

หัวใจของหลิวเหยียนชะงักงัน ตัวเขาได้ตกลงสู่พลังจิตมายาของอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง

ในคุกลวงตาที่เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้สร้างขึ้นนั้น จิตใจของหลิวเหยียนจะต้องทุกข์ทรมานอย่างไร้จุดสิ้นสุด

ทว่า

การที่เด็กหนุ่มสามารถใช้คุกลวงตากับอีกฝ่ายได้อย่างเฉียดฉิวนั้นนับว่าเป็นเพราะดวง ในยามนี้ต้องสร้างความมั่นคงให้กับคุกลวงตารอบกายของอีกฝ่าย พลังจิตที่ต้องใช้นั้นเหนือกว่ายามที่ปกตินับสิบเท่าตัว

เมื่อตกลงสู่พลังจิตมายา พลังในการต่อต้านของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นนับว่าเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง

หลังจากหนึ่งลมหายใจ

บนหน้าผากของจ้าวเฟิงปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ จิตใจอ่อนล้า

ในเวลาเดียวกัน หลิวเหยียนได้ดิ้นรนทำลายคุกลวงตาลง ทั่วทั้งใบหน้าปรากฏความอับอายและฉุนเฉียว ทว่าจิตใจค่อนข้างอ่อนล้า ท่าทีราวกำลังท้อแท้

เมื่อคิดว่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างตน เมื่อครู่ได้ถูกพลังจิตของจ้าวเฟิงสะกดไว้กว่าหนึ่งชั่วยามก็รู้สึกละอายจนไม่อาจอธิบายได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version