Skip to content

King of Gods 281

King Of Gods

บทที่ 281 : สมบัติสายธารจันทรา

เมื่อจ้าวเฟิงได้สติ เหล่ายอดฝีมือตระกูลปี้ที่คอยเฝ้าอยู่ใกล้ห้องเก็บฟืนก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกหนาวเย็นแปลกประหลาดที่แช่แข็งไปถึงจิตวิญญาณได้

ในตอนนั้น กระทั่งความคิดและความรู้สึกของพวกเขาก็ราวถูกแช่แข็งไว้ไปชั่วขณะ ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน

จ้าวเฟิงพยายามจะลุกขึ้น ทว่ากลับพบว่าทั่วทั้งร่างอ่อนแรงนัก

จะอย่างไร ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้จ้าวเฟิงไม่ได้ทานอะไรเพราะอยู่ในสภาพหลับใหล

“ในด้านของจิตวิญญาณนั้น พลังของมันได้เหนือกว่าร่างกายไปมากนัก สามารถเทียบเคียงได้กับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแล้ว”

เมื่อรับรู้ถึงระดับของจิตวิญญาณ จ้าวเฟิงก็รู้สึกตกใจขึ้น

มิติในดวงตาข้างซ้ายได้ปรากฏบ่อน้ำเย็นเยียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งฟุตขึ้น ด้านบนปรากฏชั้นน้ำแข็งบางปกคลุม แพร่ความเย็นออกไปยังอากาศรอบด้าน ส่องแสงสีฟ้าซีดจาง

แหล่งกำเนิดพลังจิตของจ้าวเฟิงมีความแข็งแกร่งมากกว่าปกติ ทั้งยังมีคุณสมบัติของธาตุน้ำแข็งที่น่าหวาดกลัวอยู่ด้วย

ความหนาวเย็นที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศนั้นกระทั่งสามารถแทรกซึมเข้าไปสู่ดวงวิญญาณได้

ตั้งแต่บัดนี้

การวิวัฒนาการของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจึงได้เสร็จสิ้นลงอีกครั้ง

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยได้กระโดดโลดเต้นอย่างยินดีพร้อมส่งสัญญาณมือบางอย่าง จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้หลับใหลไปหนึ่งเดือนกับอีกสิบสองวัน

“คนผู้นั้นตื่นขึ้นแล้ว”

ยอดฝีมือของตระกูลปี้ที่อยู่ด้านนอกนั้นกระทำราวกับอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ ล้อมรอบห้องเก็บฟืนนั้นไว้

จ้าวเฟิงนอนอยู่ที่เดิม รักษาสีหน้าเอาไว้ ปิดกั้นกลิ่นอายของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าและสวมใส่ผ้าปิดตาอันใหม่ที่ได้มาจากอาจารย์เถี่ยกาน

ผ้าปิดตาสีเงินอ่อนบางเบาเช่นใบมีดที่คมกริบและแข็งแกร่ง เมื่อสวมใส่แล้วก็ยังคงมีความสง่างามปรากฏอยู่

ในวินาทีที่เด็กหนุ่มสวมใส่ผ้าปิดตา กลิ่นอายของดวงตาเทพเจ้าได้ถูกปิดกั้นไว้เสียส่วนมาก

ปึง

ในยามนี้เองที่ประตูของห้องเก็บฟืนได้ถูกเตะเปิดออก

ยอดฝีมือตระกูลปี้ในนภาที่เจ็ดหยุดยืนอยู่ที่ประตู จ้องมองเข้าไปด้วยสายตานิ่งเรียบเย็นชา

จ้าวเฟิงสวมใส่ผ้าปิดตาเอาไว้ ภาพลักษณ์ของคนตาเดียวทำให้สีหน้าของผู้คนแปรเปลี่ยนไป ความไม่เป็นมิตรเพิ่มสูงขึ้น

“ไอ้เด็กนี่เป็นโจรสลัดจริงๆ”

“ในเหิงฉุ่ยวานมีโจรสลัดตาเดียวอยู่มากนัก ทั้งยังเป็นระดับหัวหน้าทั้งสิ้น”

เหล่ายอดฝีมือตระกูลปี้เต็มไปด้วยความตื่นตัวราวอยู่ในสถานการณ์อันตราย

โจรสลัด?

มันได้ทำให้จ้าวเฟิงตื่นตะลึง เมื่อใดกันที่ตัวเขากลับกลายเป็นโจรสลัดไป?

จ้าวเฟิงเพิ่งฟื้นสติ ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด

ในเหิงฉุ่ยวานแห่งนี้ โจรสลัดที่ใส่ผ้าปิดตามีอยู่จำนวนอยู่ไม่น้อย

กระทั่งมีโจรสลัดบางคนที่แม้ไม่ได้มีตาข้างเดียวก็ยังสวมใส่ผ้าปิดตาไว้เพื่อความน่าเกรงขาม

เฮ้อ

จ้าวเฟิงนอนอยู่บนพื้น มีลมหายใจแต่ไร้ซึ่งกำลัง

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา แม้พลังฝึกตนของเขาจะเพิ่มขึ้น แต่ร่างกายของเขาที่ไม่ได้ทานอะไรเข้าไป ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว ทำให้อ่อนแอไร้ซึ่งเรียวแรง

หากต้องการให้เขาสู้กับคนเหล่านี้ในยามนี้ก็นับว่าต้องฝืนร่างกายอย่างมาก

“ไป ท้องของข้าหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน”

จ้าวเฟิงกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปโดยที่ไม่สนใจยอดฝีมือตระกูลปี้ทั้งหลาย

ที่น่าแปลกคือ

ยอดฝีมือตระกูลปี้ทั้งเจ็ดแปดคนที่ล้อมรอบห้องเก็บฟืนอยู่นั้นราวกับมองไม่เห็นทั้งจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อย

หลังจากที่ดวงตาเทพเจ้าของเขาวิวัฒนาการขึ้น วิชาพลังจิตมายาของจ้าวเฟิงเมื่อถูกใช้ออกก็แทบจะไม่มีทางรับรู้ได้

เหล่ายอดฝีมือทั้งเจ็ดแปดคนนั้นตกอยู่ในห้วงมายา และเดินวนอยู่ที่เดิม

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ในโรงครัวของตระกูลปี้

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยเดินตามกลิ่นน้ำมันของปลาทอดขนาดยักษ์ก่อนจะกลืนกินมันเข้าไปอย่างหิวโหย

จ้าวเฟิงสีหน้าเรียบเฉย กินอาหารในมืออย่างสบายๆ สายตารกวาดมองสำรวจไปรอบด้าน

เมื่อครู่นี้เขาใช้เคล็ดวิชาพลังจิตมายาปิดบังคนที่มีเพียงหนึ่งสองคนเอาไว้ ยามนี้คนคนได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังไม่ใส่ใจ เป็นราวกับหลุมดำที่กลืนกินอาหารทั้งหมดลงไป

“ใครก็ได้รีบมา”

“มิคาดว่าเจ้าโจรสลัดนั่นจะมุ่งหน้ามายังโรงครัวเพื่อขโมยอาหาร”

ในโรงครัวของตระกูลปี้เกิดความวุ่นวายขึ้น

หนึ่งคนหนึ่งแมวต่างนั่งอยู่ในโรงครัว กินอาหารอย่างตะกละตะกราม

โดยเฉพาะเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่กระทั่งหยิบเหยือกเหล้ามาดื่มจนเมามาย

ผู้คนที่ล้อมอยู่ด้านนอกยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นาน ยอดฝีมือตระกูลปี้เจ็ดแปดคนนั้น เมื่อทราบข่าวก็รีบตามมาทันที

ทว่า

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้จ้าวเฟิงก็ทำได้แต่เดินวนเวียนอยู่ที่เดิม ราวกับถูกตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอก

หากผู้ใดมีจิตมุ่งร้ายและหวังจะเข้าใกล้เด็กหนุ่ม พลังจิตมายาของจ้าวเฟิงจะสร้างภาพมายาขึ้นรอบกายตัวเขา

เมื่อเห็นว่าผู้คนมารวมตัวกันที่โรงครัวมากขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องนี้ก็ได้ไปถึงหูของผู้นำตระกูลปี้อย่างรวดเร็ว

“ไอ้เด็กโจรสลัดนี่ กล้าสร้างเรื่องในตระกูลปี้ของข้า”

แรงกดดันที่มองไม่เห็นได้พุ่งมาราวกับพายุ ผู้คนที่อยู่ใกล้โรงครัวลมหายใจติดขัด

ผู้มาใหม่เป็นบุรุษวัยกลางคน สวมใส่ชุดสีม่วง มีพลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ด้วยพลังที่แข็งแกร่งนั้นได้ทำให้ทั้งโรงครัวตกลงสู่ความเงียบงัน

จ้าวเฟิงเหลือบตามองไปเล็กน้อย: ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งเมื่อเทียบกับตระกูลหลิวแห่งหงหูแล้ว

บัดนี้ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้พัฒนาไปอีกขั้น แม้ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมาก็มิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด

“ทุกท่านโปรดระงับความโกรธเสียก่อน ข้าน้อยบังเอิญผ่านมาทางนี้ ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากพวกท่าน จ้าวผู้นี้รู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก”

จ้าวเฟิงที่เพิ่งกินอิ่มได้ลุกขึ้นยืน และประสานมือแสดงความเคารพ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตระกูลปี้นี้ก็เป็นผู้ที่นำเขาขึ้นมาที่ฝั่ง ทั้งเขายังกินอาหารแสนอร่อยพวกนี้เข้าไปแล้ว หากสะบัดก้นจากไปเสียเฉยๆ ย่อมรู้สึกผิดอยู่บ้าง

“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว”

เด็กหญิงผมหางม้าเดินออกมาจากกลุ่มคนด้วยใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม เล่นกับแมวขโมยตัวน้อย

ผู้นำตระกูลปี้ยังคงมีความระแวงสงสัยอยู่บ้าง

เด็กหนุ่มผู้นี้แปลกประหลาดโดยแท้ เมื่อยอดฝีมือทั้งหลายของตระกูลปี้ของเขาพยายามที่จะโจมตีกลับทำได้เพียงเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม

กระทั่งผู้นำตระกูลก็ยังไม่อาจมองเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ทะลุปรุโปร่ง

“รีบไปตามนายท่านปี้เร็วเข้า”

ผู้นำตระกูลเอ่ยขึ้นอย่างลับๆ

เรื่องเร่งด่วนเช่นนี้ เขาตัดสินใจที่จะรั้งตัวเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ก่อน

“ช่วงนี้ได้ปรากฏกลุ่มโจรสลัดอยู่น่านน้ำใกล้ๆ ทั้งการปรากฏยังหลากหลาย ทำร้ายชาวบ้านไปไม่น้อย ข้ารับใช้เหล่านี้เข้าใจผิดมองน้องชายเป็นโจรสลัด ข้าต้องขออภัยด้วย”

ชายวัยกลางคนในชุดม่วงใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยต่อจ้าวเฟิงอย่างสุภาพ

หลังจากพูดคุยกันไปพักหนึ่ง จ้าวเฟิงจึงพอจะเข้าใจพื้นที่ของเหิงฉุ่ยวานแห่งนี้อยู่บ้าง

เหิงฉุ่ยวานแห่งนี้มีผู้มากอำนาจอยู่สองกลุ่ม หนึ่งคือโจรสลัด อีกหนึ่งคือ ‘ป้อมเหิงฉุ่ย’ ที่ประกอบไปด้วยตระกูลทั้งหลาย ชาวบ้าน พ่อค้า และชาวประมงรวมตัวกัน

หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ทั้งสองเป็นเช่นสีดำและสีขาว

“ป้อมเหิงฉุ่ยเป็นจุดศูนย์กลางของอ่าวนี้ โดยปกติแล้วพวกโจรสลัดจะไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนมากมักออกปล้นชิงคาราวานที่ผ่านไปมา ทว่าช่วงนี้พวกกลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งที่เลื่องชื่อได้ลอบแทรกซึมเข้ามาในอ่าว ไม่อาจค้นหาซึ่งเจตนาของพวกมัน…”

ผู้นำตระกูลเอ่ยพูดไปพร้อมกับสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย

สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งความลังเลตกใจ

หลังจากที่ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงวิวัฒนาการขึ้น สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ยิ่งเรียบเฉยไร้ความรู้สึกขึ้นไปอีก

ทว่ามันไม่ได้หมายความว่าในใจของเขาไม่ได้คิดอะไร

“ป้อมเหิงฉุ่ยแห่งนี้อยู่ใจกลางอ่าว ก่อร่างสร้างอำนาจขึ้นจำนวนมาก มีกองทัพทหารจำนวนมาก แนวป้องกันยากที่จะโจมตีได้ ต่อให้กลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็นเพียงกลุ่มโจรเท่านั้น ความแข็งแกร่งของกองกำลังย่อมมีจำกัด”

จ้าวเฟิงเอ่ยวิเคราะห์

เขาสรุปได้ว่ากลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งไม่ได้ต้องการโจมตีป้อมเหิงฉุ่ย แต่น่าจะมีเป้าหมายอย่างอื่น

ผู้นำตระกูลที่สามารถดึงความสนใจของจ้าวเฟิงไว้ได้ยังคงรักษาสีหน้า รอให้นายท่านปี้มา

นายท่านปี้นั้น ในอาณาเขตป้อมเหิงฉุ่ยนับว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ มากอำนาจ ทั้งระดับในตระกูลปี้ยังสูงนัก

มีคำเล่าขานว่านายท่านปี้มีอายุเกือบสองร้อยปีแล้ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มีเพียงยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่จะมีอายุยืนยาวเช่นนี้

ทว่า แม้ผู้นำตระกูลจะรอไปกว่าครึ่งชั่วน้ำชาเดือดก็ยังคงไร้ซึ่งวี่แวว

แววตาของแมวขโมยตัวน้อยสั่นระริก วาดกงเล็บโยนเหรียญสองอันลอยขึ้นในอากาศดัง “ติง ติง”

ลางร้าย?

จ้าวเฟิงใช้สายตาถามแมวขโมยตัวน้อย

แมวขโมยตัวน้อยผงกศีรษะ ทว่าลางร้ายนั้นไม่ได้หมายถึงจ้าวเฟิง หากแต่หมายถึงนายท่านปี้

“รายงานท่านผู้นำตระกูล นายท่านหายตัวไปตั้งแต่เช้าแล้ว มีบางคนบอกว่าเมื่อคืนเห็นนายท่านออกจากเขตตระกูลปี้ไป”

คนรับใช้รายงาน

จ้าวเฟิงคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กๆ แมวขโมยตัวน้อยเองก็น่ามหัศจรรย์ การทำนายเรื่องเลวร้ายช่างแม่นยำนัก

“รายงานท่านผู้นำตระกูล เกิดเรื่องไม่ดีแล้ว”

“กลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งนำกลุ่มโจรสลัดสิบแปดกลุ่มมาปิดกั้นจุดยุทธศาสตร์ทางน้ำใกล้อ่าวแล้วสามจุด”

ข่าวอันน่าตกใจได้ถูกส่งต่อมายังป้อมเหิงฉุ่ย

กลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งนี้ขึ้นชื่อในความโหดเหี้ยม ผู้เป็นหัวหน้า “ฉานเซว่ตูอิง” นั้นมีคำบอกเล่าว่ามีพลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

หากเป็นสถานการณ์ปกติ ป้อมเหิงฉุ่ยที่มีกำลังคนเหนือกว่าย่อมไม่เกรงกลัวการรุกรานของกลุ่มโจรสลัดทั้งหลาย กระทั่งนับว่าได้เปรียบกว่าโดยสิ้นเชิง

“นำคำสั่งออกไป ป้องกันฐานทัพเรือ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามลงมือโดยพละการ”

ผู้นำตระกูลสูดลมหายใจลึก สีหน้าเคร่งขรึม

ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ นายท่านปี้ที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดในป้อมเหิงฉุ่ยกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้ตระกูลปี้รวมทั้งกองกำลังอื่นๆ ไม่กล้าที่จะกระทำการผลีผลาม

จ้าวเฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ อย่าได้บอกข้าเชียวว่ากลุ่มโจรสลัดเตรียมตัวที่จะโจมตีฐานทัพเรือจริงๆ ?

หากมองโดยภาพรวมแล้ว ต่อให้โจรสลัดเหล่านี้สามารถกวาดล้างคนของป้อมเหิงฉุ่ยทั้งหมดลงได้ ความสูญเสียของพวกมันก็ย่อมไม่เล็กน้อย จะเหลือคนรอดสักเท่าใดกัน?

“แม้ว่าจะไม่มีผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคอยสั่งการ แต่ยอดฝีมือของฐานทัพนั้นมีมากเช่นก้อนเมฆบนท้องฟ้า มีจำนวนมากกว่าพวกโจรสลัดหลายเท่า ง่ายที่จะป้องกัน ยากที่จะตีแตก ทว่ายังคงกล้าท้าทายโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว”

ใบหน้าของผู้นำตระกูลสงบนิ่ง ไปยังฐานทัพน้ำและออกคำสั่ง

เนื่องจากท่าเรือถูกปิด จ้าวเฟิงจึงทำได้แค่รั้งอยู่ที่ป้อมเหิงฉุ่ยชั่วคราว

ในป้อมเหิงฉุ่ยนั้น ประชาชนมากมายตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว

การร่วมมือกันของโจรสลัดและสถานการณ์ของกองทัพเช่นนี้ ร้อยปีจะมีสักครั้ง

ในทางกลับกัน จ้าวเฟิงกลับมีท่าทีสะดวกสบาย

“หากออกจากอ่าวที่แยกออกมานี่ได้ ผ่านระยะทางเท่าเมืองหงหูสามเมืองจะสามารถไปถึงยังเมืองหลวงของอาณาจักรนภาได้ เช่นนี้ดูเหมือนว่าข้าจะลอยตามน้ำมาไกลยิ่งนัก”

จ้าวเฟิงวิเคราะห์แผนที่

ณ เวลานี้ ปลายทางที่เขาต้องการจะส่งจดหมายนั้นอยู่ไม่ห่างไกลมากนัก

เพียงรอให้พวกโจรสลัดถอยกำลังออกไป จ้าวเฟิงก็สามารถมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงได้

ทว่าเรื่อราวกลับไม่ได้ราบรื่นเช่นที่เขาคิดเอาไว้ เหล่าโจรสลัดที่ซุ่มอยู่ตามขอบอ่าวไม่มีทีท่าว่าจะล่าถอยแต่อย่างใด

ทั้งทางอากาศและแม่น้ำล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโจรสลัด

“หากโจรสลัดต้องการโจมตีย่อมไม่กระทำเช่นนี้ พวกมันมีเป้าหมายอันใดกัน?”

ใจของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัย

เมื่อจ้าวเฟิงหมดความอดทน คิดจะลอบดำน้ำหลบหนีออกไปก็ได้มีข่าวมาถึง

“นายท่านปี้กลับมาแล้ว”

เสียงตะโกนอย่างตื่นตกใจได้ดังมาจากทางเข้าหมู่บ้าน

จ้าวเฟิงเพ่งสายตามองไป เห็นเพียงชายชราผมขาว มือถือไม้เท้า ร่างโชกเลือด พลิ้วกายเข้ามาภายในหมู่บ้าน

สีหน้าของนายท่านปี้ขาวซีด ขาข้างหนึ่งขาดสะบั้น ปรากฏรอยเลือดขึ้นทั่วร่าง อาการบาดเจ็บสาหัส

“นายท่านปี้”

ผู้นำตระกูลปี้ ปี้เฉี่ยวยู่ และคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าตกใจ

“เมื่อคืน หลังจากที่ข้าได้ตามสืบข่าว เป้าหมายของกลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งไม่ใช่ป้อมเหิงฉุ่ย หากแต่เป็นสมบัติสายธารจันทราในตำนาน”

น้ำเสียงของชายชราปรากฏความฉุนเฉียว เร่งรีบนั่งขัดสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

สมบัติสายธารจันทรา

“เป็นไปได้อย่างไร สมบัติสายธารจันทราจะอยู่ที่เหิงฉุ่ยวานได้อย่างไร มันเป็นเพียงตำนานเท่านั้น”

“ต่อให้ทรัพย์สมบัตินั้นมีอยู่จริง พวกเราก็ยังไม่อาจล่วงรู้ มิรู้ว่ากลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งล่วงรู้ถึงสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไร?”

เหล่าระดับสูงของหมู่บ้านตื่นตะลึง ใบหน้าขาวซีด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น

ในยามนั้น ปมปัญหาที่ไม่อาจหาคำตอบในใจของจ้าวเฟิงก็พลันถูกคลายออก

ต่อให้โจรสลัดอาละวาดบ้าคลั่งเพียงใดก็ย่อมไม่โจมตีกองทัพขนาดใหญ่ของเมืองโดยตรง

เป้าหมายที่แท้จริงของมันคือ สมบัติสายธารจันทรา

ทว่าสมบัตินั้นถูกกลบฝังอยู่ใกล้อ่าว การเปิดสมบัติธารจันทราย่อมสร้างเสียงดัง ดึงดูดความสนใจของคนในพื้นที่

ดังนั้นแล้ว กลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งจึงปิดกั้นทางน้ำ ทำให้กองทัพไม่อาจจู่โจมด้วยกลัวว่าต้องสังเวยชีวิตผู้บริสุทธิ์ ไม่อาจกระทำการผลีผลาม

มีเพียงวิธีการนี้

ที่เหล่าโจรสลัดจะสามารถ “ครอบครอง” สมบัติตามเป้าหมายได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version