Skip to content

King of Gods 328

King Of Gods

บทที่ 328 : จิตวิญญาณเหมันต์

จินไท่จือคือรัชทายาทของราชวงศ์แห่งอาณาจักรนภา มีสายเลือดราชวงศ์ที่แข็งแกร่ง ความเข้มข้นของสายเลือดนั้นเหนือกว่าผู้อื่นในรุ่นไปมากนัก

ในขณะเดียวกัน พลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดของเขา ในบรรดาดาราของอาณาจักรแล้วก็นับเป็นอันดับหนึ่ง

“ในคนรุ่นใหม่นั้น เขามีพลังฝึกตนสูงที่สุด สายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด ทำให้ ‘จินไท่จือ’ ดูแคลนในความแข็งแกร่งของดาราอื่นๆ ในอาณาจักรมากนัก”

ยามที่เจียงซานเฟิงเอ่ยถึงจินไท่จือ สีหน้าก็มืดทะมึนลง นัยน์ตาปรากฏความหวาดกลัวลึกล้ำ

ความจริงแล้ว ในความคิดส่วนลึกของเขา แม้ว่าจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่ง ทว่าเมื่อเทียบกับจิน ไท่จึ แล้วยังมีความแตกต่างอยู่ในระดับหนึ่ง

จ้าวเฟิงเป็นหัวหน้าสาขา สถานะค่อนข้างสูง เขายังไม่เข้าใจในพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายมากนัก จึงไม่เป็นการดีถ้าจะตัดสินไปก่อน

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ให้ความสนใจ

ก่อนออกเดินทาง จ้าวเฟิงได้อยู่ภายในกองบัญชาการลัทธิโลหะเลือดก่อนหลายวัน เมื่อถึงเวลาจึงออกเดินทางไปยังเมืองหลวงกับรองจ้าวลัทธิและคนอื่นๆ

ในคืนนั้น

รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเรียกจ้าวเฟิงเข้าไปพบเพียงคนเดียว

ในโถงหลักที่เงียบงันมีเพียงบุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว และจ้าวเฟิงเพียงสองคน

“จ้าวเฟิง ความพัฒนาและความสำเร็จของเจ้าเกินกว่าที่นายเหนือผู้นี้คาดไว้มากนัก งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ สำหรับเจ้าแล้วนับเป็นโอกาสใหญ่คราหนึ่ง ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ทั้งดวงยังไม่เลวร้าย ย่อมสามารถติดหนึ่งในร้อยได้”

เถี่ยหมัวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง

“หนึ่งในร้อย?”

จ้าวเฟิงมองอีกฝ่ายเล็กน้อย มันไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาคิดไว้

ทว่าเขาก็รู้ว่าหนึ่งในร้อยก็นับเป็นตำแหน่งที่สูงแล้ว

งานชุมนุมเซียนมังกร ตราบเท่าที่ติดหนึ่งในร้อยจะสามารถกลายเป็นอัจฉริยะที่ชี้นำทวีป และถูกเรียกขานว่า ‘อัจฉริยะเซียนมังกร’

หากความสามารถในการเคลื่อนย้ายเพียงพอและเชื่อมต่อกับมรดกของยู่ไว่ เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหมดล้วนมีคุณสมบัติในการเข้าร่วม

“จ้าวเฟิง มิใช่ว่าข้าต้องการพูดโจมตีให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ทว่างานชุมนุมเซียนมังกรคือการรวบรวมบุตรหลานที่สวรรค์เลือกของทั้งทวีปเอาไว้ ตัวอย่างเช่น ‘หยูเทียนฮ่าว’ ของทวีปกลาง พลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด คราหนึ่งกระทั่งท้าประลองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้จนเกือบเสมอ ทวีปตะวันออก ‘ถันไท่หลันเยว่’ จากตระกูลนักฝึกสัตว์ชั้นสูง ในมือมีสัตว์วิเศษขั้นผู้วิเศษแท้สามตัว หนึ่งในนั้นคือ ‘มังกรดินหนึ่งเขา’ พลังต่อสู้ใกล้เคียงขั้นนายเหนือแท้… งานชุมนุมเซียนมังกรนี้แท้จริงแล้วคือช่วงเวลารุ่งโรจน์ของอัจฉริยะเพื่อจะเอาชนะผู้อื่นนับสิบครั้ง”

บุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัวมองออกว่าจ้าวเฟิงมั่นใจว่าตนเองจะไม่เพียงติดหนึ่งในร้อย

“ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด? ท้าประลองขั้นนายเหนือแท้?”

จ้าวเฟิงตื่นตะลึงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ สถานที่ที่ตนเองอยู่ในยามนี้มิรู้ว่าจะนับเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะและสัตว์ประหลาดมากมายเพียงนี้

งานชุมนุมเซียนมังกรก่อนหน้า ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้มีจำนวนน้อยนัก โดยปกติแล้วจะมีเพียงผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำเท่านั้น

ทว่าครานี้มีอัจฉริยะที่ส่องประกายมากมายเข้าปะทะกัน มิรู้ว่าจะย่อยยับไปทั้งสองฝ่ายหรือส่องประกายเจิดจ้าสั่นสะท้านโลก

“แน่นอนว่าทุกสิ่งล้วนมีข้อดีและข้อเสีย ยิ่งอัจฉริยะมีมากเท่าใด ปราณชะตามังกรก็ยิ่งแข็งแกร่ง ตามข่าวที่สำนักทำนายบอกต่อมานั้น ในครานี้ทวีปมีโอกาสเชื่อมต่อกับมรดกความลับสวรรค์มากกว่าในอดีตมาก”

เถี่ยหมัวทอดถอนใจอย่างลึกซึ้ง

จ้าวเฟิงผงกศีรษะเอ่ย “จ้าวลัทธิสบายใจเถอะ งานชุมนุมเซียนมังกรครานี้ข้าจะทำให้เต็มที่”

หลังจากได้รับคำชี้แนะของเถี่ยหมัว เขาจึงเข้าใจตำแหน่งของตนเอง

“อย่าได้ท้อใจไป เจ้ายังเยาว์นัก ขีดจำกัดอายุของงานชุมนุมเซียนมังกรอยู่ที่ 50 ปี ผู้เข้าร่วมหลายคนมีอายุมากกว่าเจ้าสองรอบ หลายคนกระทั่งเคยเข้าร่วมในงานชุมนุมเซียนมังกรคราก่อน…”

เถี่ยหมัวผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม

ในความคิดของเขาจ้าวเฟิงย่อมติดหนึ่งในร้อย และหากติดหนึ่งในห้าสิบก็นับว่าเป็นอัจฉริยะที่น่าตื่นตะลึงแล้ว

จะอย่างไรจ้าวเฟิงก็ยังเยาว์ พลังฝึกตนเมื่อเทียบกับเหล่าอัจฉริยะที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดเหล่านั้นยังแตกต่างอยู่มาก

งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ จ้าวเฟิงไม่อาจที่จะติดหนึ่งในยี่สิบได้ ยิ่งสิ้นหวังเมื่อคิดถึงอันดับหนึ่ง แต่หากเป็นอีกสิบปีอาจมีโอกาส

“ยิ่งอัจฉริยะมีมากยิ่งเป็นเรื่องดี สามารถดึงดูดมรดกที่แข็งแกร่งขึ้นจากยู่ไว่ได้”

จิตใจของจ้าวเฟิงสงบลง

เถี่ยหมัวมองตามร่างที่เดินจากไปของจ้าวเฟิง ใบหน้าปรากฏความลังเลขึ้นประการหนึ่งก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดขาด ราวกับตัดสินใจบางสิ่งได้

“เดี๋ยว…”

เถี่ยหมัวพลันเอ่ยขึ้น

จ้าวเฟิงหมุนตัวกลับมาอย่างสงสัย เขาเองก็ มองออกว่าเมื่อครู่รองจ้าวลัทธิชะงักคำพูดไปกลางคัน

“มากับข้า”

เถี่ยหมัวมองจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังส่วนลึกของโถงหลัก

จ้าวเฟิงไม่ลังเล เดินติดตามไปอย่างใกล้ชิด

เขาไม่รู้เลยว่าเส้นทางนี้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเขาไปเล็กๆ

หลังจากเดินผ่านศาลาจำนวนมาก คนทั้งสองก็ได้เข้าไปยังตำหนักมืดทึมลึกลับแห่งหนึ่ง

ใกล้ตำหนักนั้นได้ปรากฏยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้หนึ่งคนและผู้ฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดอีกหลายคนหลบซ่อนอยู่ หากไม่มีดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงย่อมไม่อาจรับรู้

ลึกในตำหนักมุมหนึ่งได้ปรากฏขั้นบันได

หลังจากเดินลงตามบันไดไป จ้าวเฟิงก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง

ดวงตาเทพเจ้าของเขาเต้นตุบรัว ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงบางอย่าง ก่อนที่จะกลับไปสงบนิ่งเช่นเคย

ขั้นบันไดนั้นนำลงไปยังตำหนักใต้ดินแห่งหนึ่ง

“เจ้ามาแล้วหรือ? แล้วยังนำเด็กมาด้วย”

น้ำเสียงแหบชราอ่อนแรงดังขึ้นจากภายในตำหนักใต้ดิน

เสียงนั้นแม้ดูอ่อนแรง ทว่ากลับมุ่งตรงเข้าไปยังจิตใจของผู้ฟัง

จิตใจของจ้าวเฟิงขมวดเกร็ง กลิ่นอายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายนั้นลึกล้ำอย่างไม่อาจเทียบเคียง เหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ผู้ใดที่เขาเคยพบพาน

ในตำหนักใต้ดินได้ปรากฏเตียงสีม่วงทอง ด้านบนปรากฏร่างของชายชราผมแดงคิ้วหนาผู้หนึ่งนอนอยู่ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเหี่ยวย่น ราวกับไร้ซึ่งชีวิต

“หงเกอ”

เถี่ยหมัวมุ่งหน้าไปทักทายอย่างเป็นกันเอง

ดวงตาสีดำลึกล้ำของชายชราผมแดงคิ้วหนามองไปราวกับเอ่ยถาม

“จ้าวเฟิงคารวะผู้อาวุโส”

จ้าวเฟิงรีบทำความเคารพ

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ชายชราผมแดงคิ้วหนาผู้นี้จึงให้ความรู้สึกลึกล้ำกว้างใหญ่แก่เขา กระทั่งดวงตาเทพเจ้าก็ยังนับได้ว่าไร้ประโยชน์ขึ้น

แม้ว่าจะเป็นทะเลที่แห้งเหือด ทว่าขนาดของมันนั้นก็ยังใหญ่โตกว่าแม่น้ำหรือธารน้ำมากนัก

“หงเกอ เขาคือหัวหน้าสาขาที่เด็กที่สุดในประวัติศาสตร์ลัทธินี้ ครองอำนาจเหนือทั้งพื้นที่พันธารา จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน ได้รับตำแหน่งรายชื่อคัดเลือกล่วงหน้าของงานชุมนุมเซียนมังกร ทั้งยังช่วยข้าสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ด้วย”

เถี่ยหมัวเอ่ยเรื่องราวเกี่ยวกับจ้าวเฟิงทั้งหมด กระทั่งปรากฏความพึงพอใจอยู่เจือจาง

จะอย่างไร จ้าวเฟิงก็คืออัจฉริยะที่เขาทุ่มตัวดึงมา

“เป็นหัวหน้าสาขาที่เด็กเพียงนั้น อายุราว 16 หรือ 17 ปี? หากมิใช่เพราะสายตาของเจ้านั้นแม่นยำยิ่งนัก เป็นผู้อื่นคงไม่อาจทำเรื่องประหลาดเช่นนี้ได้”

ชายชราผมแดงคิ้วหนาสายตากวาดมองจ้าวเฟิงเล็กน้อย เห็นถึงอายุโดยประมาณของเด็กหนุ่ม

ดี!

ชายชรามองสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง พลันปรากฏความประหลาดใจขึ้นส่วนหนึ่ง

เมื่อก่อน ในเมืองหงหู เจ้าเมืองหงหูลิ่วจิ่วเทียน กวาดตามองคราหนึ่งเห็นความไม่ธรรมดาของสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง

ชายชราผมแดงคิ้วหนาเองก็มีสายตาเช่นนั้น กระทั่งแม่นยำยิ่งกว่าเจ้าเมืองหงหูและบุรุษผมสีเลือดเถี่ยหมัว

“เป็นสายเลือดดวงตาที่ไม่ธรรมดายิ่งนัก แหล่งกำเนิดพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งเป็นพิเศษ…”

ชายชราผมแดงคิ้วหนาสายตาส่องประกายจับจ้องไปยังจ้าวเฟิง ราวกับมองไปยังหยกน้ำงามไร้ตำหนิ

“ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงนั้น ในบรรดาผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นผู้วิเศษแท้นับว่ายากจะหาคู่ต่อสู้ได้ ทว่าสายเลือดดวงตาของเขายังไม่ได้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้นงานชุมนุมเซียนมังกรครานี้คงมีหวังที่จะติดหนึ่งในห้าสิบ กระทั่งผลที่ดีกว่านั้น หงเกอโปรดช่วยให้คำชี้แนะเขาด้วย”

เถี่ยหมัวอธิบาย

“ฮี่ฮี่ เจ้าจะให้ข้าแนะนำ มั่นใจแล้วหรือ?”

ชายชราผมสีเลือดคิ้วหนาเอ่ยอย่างตลกร้าย

ทว่าดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่ลดละ

ทันใดนั้น แรงกดดันจิตวิญญาณที่มองไม่เห็นก็ได้สั่นสะท้านบรรยากาศ ครอบคลุมร่างของจ้าวเฟิง

ร่างกายและจิตใจของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวสั่นสะท้าน รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทาน

ชายชราผมแดงคิ้วหนาเพียงปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเล็กน้อย ทว่าราวกับสามารถบดขยี้ช้างลงทั้งตัวได้

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องแสงสีฟ้าอ่อนมืดหม่นแปลกประหลาด

มิติในดวงตาซ้าย บ่อน้ำเหมันต์พลันปรากฏคลื่นกระเพื่อมรุนแรง ส่งกลิ่นอายเย็นเยียบแปลกประหลาดภายในจิตใจ

“หืม?”

ชายชราผมแดงคิ้วหนาสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นประหลาดใจเป็นครั้งแรก

เมื่อเขาสังเกตดูกลับพบถึงกลิ่นอายเย็นเยียบเป็นพิเศษที่มองไม่เห็นประการหนึ่ง ทำให้จิตใจหนาวเยือก

“งานชุมนุมเซียนมังกรจะเริ่มขึ้นเมื่อใด?”

ชายชราผมแดงคิ้วหนาเอ่ยถาม

“อีก4-5 เดือน”

เถี่ยหมัวตอบ

“น่าเสียดายนัก หากเจ้ามีเวลาสัก 1-2 ปี สถานการณ์ย่อมแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ในยามนั้น ด้วยความช่วยเหลือของข้าและเจ้า เขาย่อมมีหวังที่จะติดหนึ่งในสิบ”

ชายชราผมแดงคิ้วหน้าเอ่ยอย่างเสียดายเล็กๆ

“เขาเพิ่งเข้าร่วมลัทธิโลหะเลือดมาได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้ก็ยังช่วยเหลืองานใหญ่ของข้า เอาอย่างนี้เป็นเช่นไร เรากับท่านช่วยกันฝึกฝนให้แก่เขา ความสามารถในการทำความเข้าใจของจ้าวเฟิงต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หรือมิเช่นนั้นย่อมยากที่จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้”

เถี่ยหมัวมีท่าทียโสขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“ดี”

ชายชราผมแดงคิ้วหนาถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ

ฟุ่บ!

ชายชรามีท่าทีลังเลเล็กๆ ก่อนจะหมุนมือข้างหนึ่ง ในฝ่ามือปรากฏผลึกสีฟ้าเย็นส่องประกายขึ้น

เมื่อสำรวจดูผลึกสีฟ้าเย็นนั้น จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของอากาศที่ลดลง แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ กระตุ้นความเร็วในการเต้นของดวงตาเทพเจ้าให้ถี่รัวขึ้น

“นี่เป็นสิ่งที่มาจากโลกยู่ไว่ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ แหล่งกำเนิดลึกลับนัก ตัวผลึกเองไม่มีค่ามากนัก ทว่าภายในมีความรู้จากมรดก ‘หนทางวิญญาณ’ อยู่ เพียงแค่มันไม่สมบูรณ์

ชายชราผมแดงคิ้วหนาเอ่ย

เถี่ยหมัวรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ มิคาดว่าชายชราผมแดงคิ้วหนาจะมอบสมบัติล้ำค่าจากโลกยู่ไว่ให้แก่จ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงรีบรับ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ไปด้วยการส่งสัญญาณของอีกฝ่าย

จากท่าทีของรองจ้าวลัทธิ มันไม่ยากที่จะเห็นว่าของชิ้นนี้ล้ำค่านัก

ฟุ่บ!

ชายชราผมแดงคิ้วหนาสีหน้าไร้อารมณ์ ในมือปรากฏตำราโบราณส่วนหนึ่ง ด้านบนปรากฏตัวอักษาจำนวนหนึ่ง

“ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’!”

ใบหน้าของเถี่ยหมัวขาวซีดลงอีกครั้ง มองไปยังชายชราผมแดงคิ้วหนาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“นี่… ผู้อาวุโส ท่าน…”

จ้าวเฟิงรับ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ และ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ไปด้วยท่าทีกระวนกระวายไม่สบายใจ

เขากับชายชราผมแดงคิ้วหนาผู้นี้เพิ่งพบกันคราแรก ทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรองจ้าวลัทธิ

สำหรับจ้าวเฟิงแล้ว เด็กหนุ่มยังไม่ได้สร้างบุญคุณอันใดแก่ชายชราผู้นี้ ทว่ากลับได้รับสิ่งของที่ล้ำค่าเพียงนี้ ทำให้จิตใจปรากฏความรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวเฟิง ชายชราผมแดงคิ้วหนาก็เผยรอยยิ้มบาง “ทั้งหมดนับว่าขึ้นอยู่กับวาสนาของเจ้าแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะตอบแทนตาแก่ผู้นี้ ในงานชุมนุมเซียนมังกรก็จงสร้างชื่อให้เลื่องลือ เข้าสู่หนึ่งในยี่สิบอันดับแรก หากในมรดกแห่งยู่ไว่เจ้าสามารถช่วยตาแก่ผู้นี้หา ‘วารีแห่งชีวิต’ ‘ยาแปลงอายุเปลี่ยนชีพ’ และของอื่นๆ ที่มีพลังในการเติมเต็มพลังชีวิตได้ ตาแก่ผู้นี้จะซาบซึ้งยิ่งนัก”

“ผู้น้อยจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”

ภายใต้การโบกมือของชายชรา จ้าวเฟิงค้อมคำนับขอตัว

มองตามร่างของจ้าวเฟิงที่เลือนหายไป ในตำหนักใต้ดินเหลือเพียงร่างของเถี่ยหมัวและชายชรา

“พี่ใหญ่ ท่านมอบ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ให้แก่เขาจริงๆ หรือ? เจ้าของเก่าของของสิ่งนี้อาจเป็นราชาในขอบเขตปราณเทวะเลยนะ? ทั้ง ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ นั่นยังเป็นวิชาเนตรต้องห้ามของทวีปในอดีต แม้กระทั่งท่านก็ไม่อาจที่จะทำความเข้าใจได้ เขาจะทำได้สำเร็จหรือ?”

เถี่ยหมัวเคลือบแคลง

เขาเป็นคนนำจ้าวเฟิงมา หวังว่าพี่หงเกอจะสามารถช่วยแนะนำได้จ้าวเฟิงสักหนึ่งหรือสองส่วน ทว่าการ ‘หลั่งเลือด’ ครานี้ของผู้เป็นพี่ทำให้กระทั่งตัวเถี่ยหมัวเองก็ต้องรู้สึกกระวนกระวาย

“ตัวจิตวิญญาณเหมันต์นั้นมีมูลค่าไม่มากนัก ที่สำคัญก็มีเพียงสำนึกรู้ที่ไม่สมบูรณ์ของหนทางวิญญาณ เป็นสิ่งที่ราชาในขอบเขตปราณเทวะผู้นั้นหลงเหลือไว้ ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้เดินในหนทางแห่งวิญญาณ สิ่งนี้นับว่าไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ที่สำคัญไปกว่านั้น ยามที่สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเปิดออก ผลึกนั่นก็มีท่าทีแปลกประหลาด นับเป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version