Skip to content

King of Gods 332

King Of Gods

บทที่ 332 : อันดับหนึ่งของอาณาจักร (1)

ในยามนี้ บนแท่นสูงที่เป็นที่นั่งของสิบดาราแห่งอาณาจักรได้มีลำดับดังนี้

หนึ่ง: จินไท่จื่อ

สอง: หวังเสี่ยวก้วย

สาม: เทียนหยุนจือ

สี่: จ้าวเฟิง

ห้า: หลิวฉินซิน

หก: เจียงซานเฟิง

ตำแหน่งหกอันดับแรกนับได้ว่ามั่นคงอย่างมาก

ที่มักจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ คือตำแหน่งที่เหลือ โดยเฉพาะตำแหน่งที่เก้าและสิบ

ด้านขวามือของจ้าวเฟิงคือเทียนหยุนจือ ซ้ายมือคือหลิวฉินซิน

เพราะการมาถึงของหลิวฉินซินทำให้จ้าวเฟิงราวกับได้รับแรงกดดัน ไม่ ‘งีบหลับ’ ต่อ

หลิวฉินซินนั่งอยู่ข้างๆ ท่าทีเยือกเย็นนิ่งเงียบ ไม่มีท่าทีว่ากล่าวแต่อย่างใด บนใบหน้างดงามกลับปรากฏความยินดีมีความสุขขึ้น

การหนีการแต่งงานของเมืองหงหู คนทั้งสองได้มีข้อตกลงกันไว้ก่อนหน้า ไม่ได้ยกเลิกการหมั้นไป

อีกนัยหนึ่ง

ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เป็นคู่หมั้นกัน ในเวลาเดียวกันก็เป็นอัจฉริยะที่แข่งขันกัน

หากไม่มีสิ่งใดเกินคาด คนทั้งสองจะเหยียบย่างเข้าสู่เวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปอย่างพร้อมเพรียงกัน เข้าสู่การต่อสู้แตกหักในงานชุมนุมเซียนมังกร

ความบังเอิญของโชคชะตานี้ได้ทำให้มันเป็นแบบนั้น ทำให้ชีวิตในอนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ในใจของหลิวฉินซินราบเรียบ สายตาที่มองไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าปรากฏความอบอุ่นอยู่

ด้วยตำแหน่งของที่นั่งบนแท่นสูงทำให้สายตาของจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินมักจะสบกันอยู่บ้าง ฝ่ายแรกมีท่าทีอึดอัด ในขณะที่ฝ่ายหลังทำเพียงแย้มรอยยิ้มบาง ไม่เอ่ยคำใด

อันดับหนึ่ง จินไท่จื่อหรี่ตาจ้องมอง สายตามองไปยังจ้าวเฟิงและหลิวฉินซิน

โดยเฉพาะใบหน้าของหลิวฉินซินที่สายตาของเขาหยุดมองอยู่พักหนึ่ง ในใจปรากฏความรู้สึก ‘ตื่นตะลึง’ ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“หลิวฉินซินผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ความงดงาม หรือพรสวรรค์ก็นับว่าเทียบเคียงได้กับหวางเฟย ยิ่งไปกว่านั้น สตรีผู้นี้ยังเหมาะสมที่จะเป็นภรรยา หากข้าสามารถแต่งงานกับนางได้ ข้าก็จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลิวแห่งหงหู กระทั่งชนะใจตระกูลหลิวและฉินหวางเฟย การขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคตย่อมมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นหลายสิบส่วน”

จินไท่จื่อร่างสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าแทบจะแสดงออกตรงๆ เกือบจะส่งเสียงหัวเราะหยาบคายโง่เง่าออกมา

ในใจของเขาเต็มไปด้วยความต้องการ

อย่างแรกคือเสน่ห์ของหลิวฉินซิน กลิ่นอายความงามของนางและฉินหวางเฟยนับว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กระทั่งนับได้ว่าน่าพึงพอใจกว่าเมื่อเทียบกับหวางเฟย ที่สำคัญไปกว่านั้นนางยังเป็นผู้เดินในหนทางแห่งสำเนียง สงบนิ่งงดงาม จะไม่เหมือนเช่นฉินหวางเฟยที่มักใหญ่ใฝ่สูง

อย่างที่สองคือบุคคลระดับสุดยอดที่อยู่เบื้องหลังและสนับสนุนนาง

ตระกูลหลิวแห่งหงหู ยามที่หลิวจิ่วเทียนยังไม่เข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ก็ยังไม่นับว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นในตระกูลรอง

เมื่อเจ้าเมืองหงหูเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ ทั้งพลังและอำนาจของเจ้าเมืองหงหูก็ใกล้เคียงกับสี่ตระกูลใหญ่ได้

แน่นอนว่าจินไท่จื่อไม่ได้รู้ว่าระหว่างฉินหวางเฟยและหลิวฉินซินมีบุญคุณความแค้นของศัตรูที่ยาวนานมา เป็นสิ่งที่ไม่อาจกลับมาประกอบกันดังเดิมได้

แต่ในยามนี้เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

“จู้หลิน”

จินไท่จื่อส่งเสียงผ่านจิตไปยังเด็กหนุ่มชุดม่วง หนึ่งในสิบคนที่ชนะต่อเนื่อง

“พี่จิน มีสิ่งใดจะมอบหมายหรือ”

เด็กหนุ่มชุดม่วงเอ่ยอย่างนอบน้อม

คนทั้งสองเริ่มพูดคุยกันผ่านจิต

แต่เดิมนั้น เด็กหนุ่มชุดม่วงผู้นี้คือหนึ่งในอัจฉริยะของราชวงศ์ ร่างกายมีพลังสายเลือดที่แข็งแกร่ง ในสิบผู้ชนะต่อเนื่องครองอันดับสี่ เมื่อเทียบกับปี้เจียงชิงก่อนหน้าแล้วยังนับว่าแข็งแกร่งกว่า

“เจ้ามีโอกาสท้าประลองสองครั้ง ท้าประลองจ้าวเฟิงครั้งหนึ่ง ค้นหาพลังที่แท้จริงของเขา หากข้าจดจำไม่ผิด ในตัวของเจ้ามี ‘จี้หยกพิทักษ์วิญญาณ’ สำหรับการโจมตีทางจิตใจย่อมมีทางต่อต้านในระดับหนึ่ง”

จินไท่จื่อเอ่ย

“ไม่มีปัญหา! แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ต่อเจ้าวายร้ายนี่ ข้าก็จะเผยความลับของเขาออกมาให้จงได้”

เด็กหนุ่มชุดม่วงจู้หลินบนใบหน้าปรากฏความมั่นใจขึ้น

หากเขาต้องการจะเอาชนะจ้าวเฟิง โอกาสที่จะสำเร็จอาจมีไม่มาก แต่หากบีบบังคับให้อีกฝ่ายเผยพลังออกมามันไม่ได้ยากมากมายเพียงนั้น

ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเขายังมีสมบัติหนทางวิญญาณที่หายากคอยป้องกันอยู่

จู้หลินออกจากแถว สายตาเย็นเยียบราวคมดาบ “วายร้ายจ้าวเฟิง เจ้าได้รับมรดกไร้ศีลธรรมของจอมโจรฉุ่ยเยว่ ทว่ายังกล้ามาโอ้อวดพลังในเมืองหลวง เจ้ามีคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรหรือไม่? วันนี้ ข้าจะ…”

ฟุ่บ!

คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ ร่างของจ้าวเฟิงที่อยู่บนแท่นสูงก็หายไปจากที่เดิม

“เหตุใดต้องผายลมไร้สาระให้มากความ!”

ร่างราวภูตพรายของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นบนลานประลองพร้อมด้วยประกายสายฟ้า

“เจ้า…”

จู้หลินชะงักไป เปลวเพลิงแห่งความโกรธลุกโชน พุ่งกายไปยังลานประลองอย่างรวดเร็ว

คนทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันห่างออกไปหลายสิบหลา

กรรมการเอ่ยประกาศเริ่มต้น

จู้หลินสูดลมหายใจลึก เตรียมตัวป้องกัน เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีของ ‘สายเลือดดวงตา’ ของจ้าวเฟิง

วูบบ

แขนทั้งสองข้างของเขาไขว้กัน พลังสายเลือดไหลเวียน บนร่างปรากฏเงาสีส้มทอง บนผิวหนังปรากฏร่องรอยสีเหลืองแดง กล้ามเนื้อกระดูกต่างขยับขยายออกอย่างกะทันหัน

“พลังสายเลือดราชวงศ์!”

ด้านล่างปรากฏเสียงดังขึ้น

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเพ่งมอง เห็นร่างกาย และปริมาณพลังกายเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง

หากแต่เดิมอีกฝ่ายมีพลังอยู่ที่หนึ่งพันจิน เช่นนั้นยามนี้ก็มีพลังอย่างน้อย 1,600 จิน

การขยายของร่างกายเองก็รุ่นแรงขึ้น

ก่อนหน้าหากเขาสามารถต้านทานการโจมตีได้หนึ่งพันจิน บัดนี้ก็ต้านทานได้อย่างน้อย 1,800 จินแล้ว

นี่ไม่อาจเทียบกับผลของสายเลือดอื่นๆ ได้

หรืออีกนัยหนึ่ง พลังต่อสู้โดยรวมของจู้หลินเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่า

“เป็นพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งมาก”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงไปเป็นความประหลาดใจ

ในด้านของการเสริมพลังต่อสู้ สายเลือดราชวงศ์ของจู้หลินนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าสายเลือดของจ้าวเฟิงเล็กๆ

ทว่าจินไท่จื่อที่เป็นราชวงศ์กระทั่งมีสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด จากจุดนี้ก็นับว่ายากที่จะคำนวณพลังที่แท้จริงของเขาแล้ว

แน่นอนว่านี่ไม่อาจยืนยันได้ว่าพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงนั้นด้อยกว่าคู่ต่อสู้ เพราะลักษณะของสายเลือดบางสายนั้นจุดหลักไม่ได้อยู่ที่การเสริมพลังต่อสู้ ตัวอย่างเช่นจ้าวหยูเฟ่ย

แก่นกลางสายเลือดของจ้าวเฟิงคือดวงตาเทพเจ้า สายเลือดในร่างนั้นคือสิ่งที่ดวงตาเทพเจ้า ‘สร้างขึ้น’

“เจ้าวายร้าย หากเจ้ายังไม่ลงมือ เจ้าจะไม่มีโอกาสอีก”

จู้หลินมีท่าทีเยาะเย้ย อีกฝ่ายไม่ใช้พลังสายเลือด นับว่าโง่เขลาโดยแท้

สถานะของเขาในตอนนี้ กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์ระดับสูงยังมีโอกาสที่จะเอาชนะได้

เนตรจิตวิญญาณเหมันต์!

จ้าวเฟิงเปิดเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า ดวงตาซ้ายของเขากลับกลายเป็นบ่อน้ำเย็นเยียบไร้ก้นบึ้ง

ร่างกายของจู้หลินพลันสั่นสะท้าน รู้สึกว่าบรรยากาศกลับกลายเป็นหนาวเยือก ราวกับทะลวงเข้าสู่วิญญาณ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ

วูบ!

ในช่วงระยะเวลาวิกฤต จี้หยกขาวที่เอวของเขาก็ได้ส่องแสงสีขาวซีดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

แต่แม้กระนั้น จิตใจของจู้หลินก็ยังอ่อนแอลงจากความเย็นนั้นอย่างน้อยสองส่วน

ในจิตใจของเขาปรากฏความเย็นเยียบที่เหนือธรรมดาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งลมหายใจ ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาก็แข็งค้าง

ในความคิดของคนที่เฝ้ามองอยู่ จู้หลินเหมือนคนชราสมองเสื่อม ทั้งสีหน้าการเคลื่อนไหวเชื่องช้า ร่างกายสั่นสะท้านเล็กๆ นัยน์ตาสะท้อนความหวาดกลัวและสิ้นหวัง

เปรี้ยง!

จ้าวเฟิงเดินไปอย่างสบายๆ ยกเท้าถีบออกไป

ผู้คนล้วนตื่นตะลึงไม่ก็อุทานออกมาอย่างตกใจ มองไปยังจู้หลินที่ถูกถีบลงจากลานประลองอย่างไร้หนทาง

ไม่รอให้กรรมการประกาศ ร่างของจ้าวเฟิงจางหายไปจากลานประลอง กลับไปยังที่นั่งที่สี่บนแท่นสูง

พรวด!

จู้หลินร่วงลงบนพื้นกระอักเลือด แม้พยายามเคลื่อนไหวกลับเต็มไปด้วยความติดขัดเชื่องช้าจากความหนาวเย็น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร… ไม่อาจกระทั่งต่อต้านการมองของเขาได้”

เฮือก!

เหล่าผู้ชมชะงัก สูดลมหายใจลึก

“ด้วยความแข็งแกร่งและพลังสายเลือดของจู้หลิน กลับไม่อาจสามารถต่อต้านได้”

สีหน้าของจินไท่จื่อเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

การท้าประลองของจู้หลินได้ช่วยเพิ่มพลังอำนาจของจ้าวเฟิงยิ่งขึ้นไปอีก

ในสิบดาราผู้ได้ครองตำแหน่งเลือกก่อน มีเพียงจ้าวเฟิงและเทียนหยุนจือได้ใช้หนึ่งกระบวนท่าจัดการคู่ต่อสู้

ความแตกต่างนั้นคือ

เทียนหยุนจือถือกำเนิดต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้ในเสี้ยววินาทีด้วยพลังโจมตีที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิง

ทว่าคู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงนั้นกลับไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน เป็นการมองที่ไม่อาจเทียบเคียงได้

สำหรับอันดับหนึ่งและสอง จินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยไม่มีผู้ใดกล้าท้าประลองจนถึงบัดนี้

เทียนหยุนจือถูกท้าประลองเพราะอัจฉริยะบางคนหวังพึ่งโชค คิดว่าจิตแห่งกระบี่ของอีกฝ่ายเสียหาย พลังต่อสู้ลดลงอย่างมาก จึงกล้าท้าประลอง

เหล่าผู้ชนะติดต่อกันทั้งสิบท้าประลองจนหมด

ตำแหน่งคัดเลือกก่อนทั้งสิบจึงแน่นอนในที่สุด

หกอันดับแรกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง: จินไท่จื่อ หวังเสี่ยวก้วย เทียนหยุนจือ จ้าวเฟิง หลิวฉินซิน และเจียงซานเฟิง

สี่คนที่เหลือ สามคนเป็นหน้าใหม่

ที่น่าเอ่ยถึงคือคนที่ได้ท้าประลองจ้าวเฟิง จู้หลินและปี้เจียงชิง ‘ไม่อาจเข้าร่วมประลองได้’

คนทั้งสองหลังจากถูก ‘เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิงโจมตี จิตใจถูกพลังเหมันต์ครอบคลุมแช่แข็ง แม้จะได้รับยาวิเศษและการรักษาจากหมอเลื่องชื่อก็ไม่อาจหายดีได้ในระยะเวลาสั้นๆ

อาการของพวกเขาคือการรับรู้ปฏิกิริยาตอบสนองช้ากว่าปกติหลายเท่า ย่อมพลาดตำแหน่งเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรไป

จู้หลินและปี้เจียงชิงรู้สึกไม่เต็มใจ

คนทั้งสองในการประลองก่อนหน้าได้ปกปิดพลังบางส่วนไว้ มีโอกาสที่จะแย่งชิงตำแหน่งเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร ทว่าที่สุดแล้วเพราะท้าประลองจ้าวเฟิงจึงสูญเสียโอกาสในรอบสิบปีไป

“จู้หลิน เมื่อมีโอกาสข้าจะทวงความยุติธรรมให้เจ้า”

จินไท่จื่อส่งเสียงผ่านจิตไปปลอบจู้หลิน

สถานการณ์นี้ ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึง

ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ของจ้าวเฟิงจะสร้างความเสียหายได้ถึงระดับนี้ ความเย็นเยียบในระดับจิตใจที่ไม่อาจมองเห็นได้กัดกร่อนจิตใจ ทิ้งบาดแผลไว้บนนั้น

ส่วนที่แตกต่างกันมากที่สุดของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์และคุกลวงตาคือฝ่ายแรกเป็นการโจมตีทางจิต ในขณะที่ฝ่ายหลังส่วนหนึ่งเป็นพลังจิตมายา

“เนตรจิตวิญญาณเหมันต์ หากใช้พลังมากพอสามารถแช่แข็งจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ได้ตรงๆ ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาวะไม่อาจเคลื่อนไหว”

จ้าวเฟิงใช้ ‘เนตรจิตวิญญาณน้ำแข็ง’ ออกสองครั้ง รับรู้ถึงความสามารถในการโจมตีของมันอย่างลึกล้ำ

ในยามนี้

อาณาจักรนภา การแข่งขันสำหรับตำแหน่งเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรทั้งสิบได้สิ้นสุดลงแล้ว

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา สติส่วนมากอยู่กับการทำความเข้าใจ

เขาไม่รู้ว่าการแข่งขันนั้นยังไม่สิ้นสุดลง

ในยามนี้ ราชาแห่งอาณาจักรนภาได้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ น้ำเสียงต่ำดังก้องขึ้น “จากธรรมเนียมในอดีต ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรแห่งอาณาจักรนภาทั้งสิบคนต้องเลือกผู้นำ ผู้นำผู้นี้ต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของรุ่น!”

หัวหน้าคือสิ่งที่แสดงถึงอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรนภา

เมื่อออกจากอาณาจักร หัวหน้าจะเป็นตัวแทนของทั้งอาณาจักรนภา

หรือพูดง่ายๆ ประลองแย่งชิงความเป็นหนึ่งของอาณาจักร

“อันดับหนึ่งของอาณาจักร นับเป็นของ ‘จินไท่จื่อ’ ชั่วคราว หากผู้ใดต้องการคัดค้านสามารถท้าประลองกับเขาได้”

ราชาอาณาจักรนภาแย้มยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้า

จินไท่จื่อคือบุตรชายในสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ในด้านของความแข็งแกร่งนั้น ผู้เป็นราชามีความมั่นใจอย่างมาก

ในด้านพลังฝึกตน จินไท่จื่ออยู่ในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด เมื่อเทียบกับอัจฉริยะที่อยู่ในที่แห่งนั้นแล้วมีเพียงสูงกว่ามิด้อยกว่า

เมื่อเทียบด้านพลังสายเลือด จินไท่จื่อเองก็ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร

ทว่าเพียงสิ้นเสียงของราชาแห่งอาณาจักรนภา จิตต่อสู้ของหวังเสี่ยวก้วยที่ครองอันดับสองและเทียนหยุนจือก็พุ่งพล่าน

“ไร้สาระ! อันดับหนึ่งของอาณาจักรคือข้า!”

หวังเสี่ยวก้วยกำกระบองสีทองเงินขนาดใหญ่ เงาร่างพุ่งวาบลงไปยังลานประลองอย่างเร่งรีบ

ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นนิ่งอึ้งไปอย่างช่วยไม่ได้

ทว่าไม่มีผู้ใดสงสัยในความแข็งแกร่งของหวังเสี่ยวก้วย

การแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งครั้งนี้ มีเพียงเขากับจินไท่จื่อที่ตั้งแต่เริ่มจนจบมิมีผู้ใดกล้าท้าประลอง

จินไท่จื่อแย้มยิ้มอยู่นานแล้ว ราวกับปักษายักษ์สีทองที่บินลงไปยังลานประลอง

ตูม!

ลานประลองสั่นสะท้านเล็กๆ มันยากที่จะจินตนาการถึงพลังกายของจินไท่จื่อ

ตึง!

หวังเสี่ยวก้วยไม่แสดงท่าทีอ่อนแอ กระบองใหญ่สีเงินทองสั่นสะท้าน

กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างของเขาไร้ซึ่งแรงดึงดูด แข็งราวโลหะ ทุกการกระทำการเคลื่อนไหวสามารถสั่นสะท้านภูผา สามารถคร่าชีวิตผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

“หืม? สายเลือดโบราณ?”

จ้าวเฟิงตื่นขึ้น เลือดสีฟ้าอ่อนในร่างของเขาที่เจือจางสั่นสะท้านเล็กๆ กระทั่งหดตัวลงจากแรงกดดัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version