บทที่ 346 : การประลองแรก
อัจฉริยะในลานประลองใต้หวาดผวา ต่างชะงักนิ่งไปด้วยความตื่นตะลึง
หลายคนส่งเสียงอุทานออกมาพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องของสตรี
เหล่าผู้ชมนับพันที่มองเห็นภาพนั้นต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป
“ฆ่าคน”
“แฝดไท่หยุนนี้มิคาดจะโหดเหี้ยมเพียงนี้ ฆ่าอัจฉริยะผู้อื่นต่อหน้าผู้คน”
อัจฉริยะบางคนในลานประลองใต้ตะโกนเสียงดังอย่างตื่นตะลึง
จากนั้น ผู้คนจึงส่งเสียงออกมาอย่างโกลาหลวุ่นวาย
“กรรมการ แฝดไท่หยุนจงใจฆ่าคน ตามกฎการประลองนั้นต้องตัดสิทธิ์การเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร”
คนที่อยู่บริเวณนั้นบางคนเอ่ยประท้วงออกมา
งานชุมนุมเซียนมังกรนั้นการแข่งขันรุนแรงยิ่งนัก ในอดีตเองก็มีเหตุการณ์ที่คนเสียชีวิตแล้วเช่นกัน
สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์เองก็เสียดายเหล่าผู้มีพรสวรรค์ ไม่ว่าจะอย่างไรอัจฉริยะที่เข้าร่วมก็ล้วนเป็นบุตรหลานที่สวรรค์รักใคร่ ในคนนับพันล้านมีปรากฏเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว งานชุมนุมเซียนมังกรจึงมีข้อกำหนดว่าห้ามจงใจฆ่าคน โดยเฉพาะยามที่คนผู้นั้นเอ่ยยอมแพ้แล้ว
ด้านที่นั่งผู้ชม ยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดสีหน้าเศร้าโศกเดือดดาล เอ่ยขึ้นว่า “สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ เด็กนี้จงใจฆ่าคน อย่างน้อยต้องสูญเสียคุณสมบัติในการเข้าร่วมตามกฎ”
“ผายลมไร้สาระ เราจะไปล่วงรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะอ่อนแอเพียงนี้ หนึ่งกระบวนท่าไม่อาจรับมือ จะนับว่าเป็นการจงใจฆ่าได้อย่างไร”
“เฮ้ ตามกฎการประลอง สถานการณ์ที่คู่ต่อสู้ยังไม่ได้ยอมแพ้ แม้ฆ่าก็ไม่ผิดกฎ เมื่อกี้เจ้านั่นไม่ได้ยอมแพ้สักหน่อย”
ทั้งสองศีรษะของแฝดไท่หยุนส่งเสียงที่แตกต่างกันออกมา เอ่ยโต้แย้งให้ตนเอง
แน่นอนว่า
กฎการประลองนั้น พวกเขาศึกษามาอย่างดี
แฝดไท่หยุนออกมือในเสี้ยววินาที เงาปราณจิตวิญญาณที่ทรงพลังโจมตีเหนือกว่าคู่ต่อสู้
คู่ต่อสู้ไม่กระทั่งมีปฏิกิริยาใดๆ ก็ตายตก
ไม่ต้องเอ่ยถึงขั้นมนุษย์แท้เลย กระทั่งขั้นผู้วิเศษแท้ยังต้องสิ้นชีพลงในเสี้ยววินาทีเสียเป็นส่วนมาก
“แฝดไท่หยุนคู่นี้เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทานคนใหม่ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับสูง เมื่อสองศีรษะสี่มือต่อสู้ เทียบเคียงได้กับการร่วมมือกันของสองยอดฝีมือในขั้นมนุษย์แท้ ภายใต้ผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้อาจกล่าวได้ว่าไร้เทียมทาน”
“แฝดไท่หยุนควรแล้วที่ได้รับการเรียกขานว่าเป็นศัตรูที่ทรงพลังที่สุดของหยูเทียนฮ่าว”
อัจฉริยะหลายคนที่เฝ้าดูรู้สึกตื่นตะลึงไปกับพลังที่น่าพรั่นพรึงของแฝดไท่หยุน
ในยามนี้
เมื่อได้รับการประท้วงจากคนจำนวนมาก กรรมการผู้สูงศักดิ์ของลานประลองใต้จึงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “การเตือนครั้งที่หนึ่ง แฝดไท่หยุน ลดวาสนามังกรลงหนึ่งในสิบ”
สิ้นคำ
กรรมการผู้สูงศักดิ์ก็โบกธงคำสั่งเซียนมังกร
ฟุบ
วาสนามังกรบนร่างของแฝดไท่หยุนพลันลดลงหนึ่งในสิบส่วน ตราคำสั่งเซียนมังกรที่ส่องสว่างหม่นแสงลงระดับหนึ่ง
วาสนามังกรที่ไหลออกมานั้นได้แยกย้ายไปรวมเข้ากับอัจฉริยะคนอื่นๆ ในลานประลองใต้
“เฮ้ ได้วาสนามังกรด้วย”
จินไท่จื่อมีสีหน้ายินดี ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างปรากฏแสงสีเงินสว่างเพิ่มขึ้น
“น่าชังนัก เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร”
“เราไม่ได้จงใจฆ่าคน เป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอเกินไป”
ศีรษะทั้งสองของแฝดไท่หยุนขบฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
“กฎของงานชุมนุมเซียนมังกร หากจงใจฆ่าคนจะถูกตัดสิทธิ์ หากไม่จงใจหรือเกิดอุบัติเหตุ ลดวาสนามังกรลงหนึ่งในสิบส่วน”
กรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์ท่าทีนิ่งเฉย
งานชุมนุมเซียนมังกรมีกฎที่สมบูรณ์แบบ
แฝดไท่หยุนนั้น ด้วยฐานะของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ การที่เขาถูกกรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์ตัดสินเพียงนี้จึงนับได้ว่าโทษเบานัก
“พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าจะไม่อาจฆ่าใครได้โดยพลการ”
ผู้เป็นน้องของแฝดไท่หยุนเอ่ยขึ้น
“จิจิ งานชุมนุมเซียนมังกรระบุไว้ว่าไม่อาจฆ่าคนได้ ทว่าอาจไม่ได้ระบุไว้ว่าห้ามทำให้พิการ…”
ผู้เป็นพี่ของแฝดไท่หยุนเลียริมฝีปาก สีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต
ซินอู๋เหินยืนอยู่ในฝูงชน ใบหน้าเต็มไปด้วยความระมัดระวัง “หากคนร่างติดกันนี่โจมตีร่วมกันได้เป็นอย่างดี พลังต่อสู้ที่แสดงออกอาจมากกว่าเดิมหลายเท่า…”
แต่เดิมนั้น ซินอู๋เหิน จินไท่จื่อ และคนอื่นๆ ได้ถูกนำมายังลานประลองใต้ของแฝดไท่หยุนนี้
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้
อัจฉริยะจำนวนมากของลานประลองใต้รู้สึกเกรงกลัวหวาดผวา ต่างรักษาระยะห่างกับแฝดไท่หยุนเอาไว้
หลายคนตัดสินใจ หากดวงไม่ดีเผชิญหน้ากับ ‘แฝดไท่หยุน’ ต้องรีบยอมแพ้ทันที
บนลานประลองชางกู่
การประลองห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป
การประลองแต่ล่ะครั้งจะเกิดขึ้นโดยการชี้นำของตราคำสั่งเซียนมังกร ทั้งสองฝั่งจะขึ้นไปบนลานประลองและต่อสู้กัน
กฎของงานชุมนุมเซียนมังกรนั้นไม่สนว่าเจ้าชนะมากเท่าใด ทว่าจะดูที่ปริมาณวาสนามังกรที่ครอบครอง
ลานประลองเหนือ
หลังจากที่ปิงเว่ยเซียนจื่อชนะ เหล่าอัจฉริยะก็ได้ขึ้นไปประลองคนแล้วคนเล่า
ตามประวัติก่อนหน้า กระบวนการนี้จะดำเนินไปราวๆ 10 วัน จะอย่างไรแต่ละลานประลองก็มีอัจฉริยะหลายร้อยคน
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ปิดเปลือกตา แบ่งสติส่วนน้อยไปยังตราคำสั่งเซียนมังกร ส่วนมากฝึกฝนทำความเข้าใจ
“ด้วยพลังในปัจจุบันของข้า หากคิดจะติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกนับว่าโอกาสน้อยนัก”
จ้าวเฟิงไม่ยอมแพ้ ใช้เวลาทุกนาทีทุกวินาทีในการเพิ่มความแข็งแกร่ง
ในสมอง
มรดกอัสนีและ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ได้เข้าปะทะกันอย่างไม่หยุดยั้ง ระดับการหลอมรวมเพิ่มสูงขึ้น
จิตวิญญาณเหมันต์ชั้นที่สอง ‘พลังจิตวิญญาณเหมันต์’ ที่เด็กหนุ่มทำความเข้าใจในศาสตร์แห่งวิญญาณโบราณเองก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างมั่นคง
รวมทั้ง
‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ก็ได้ทำให้วิชาดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้น และมีความคิดและแนวคิดใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น
หลายเดือนมานี้เด็กหนุ่มได้ฝึกฝนทำความเข้าใจสำนึกรู้ที่ลึกล้ำ ทำให้ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาสามารถเทียบเคียงได้กับขั้นผู้วิเศษแท้ได้
ในมิติในดวงตาซ้าย
บ่อน้ำเหมันต์ได้ขยายออกจนมีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งหลา ม่านน้ำเย็นเยียบปรากฏระลอกคลื่น ดูกระตือรือร้นกว่าเมื่อก่อน
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของตนนั้นสามารถถ่ายทอดได้ดีกว่าก่อนหน้าหนึ่งเท่าตัว พลังธาตุเหมันต์ที่ไม่อาจมองเห็นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าเก่า
ในบางครั้ง
จ้าวเฟิงจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองการประลอง
เขาใช้สติส่วนมากในการทำความเข้าใจ ทว่ายังแบ่งบางส่วนออกไปให้ความสนใจกับโลกภายนอก ดวงตาเทพเจ้าได้พัฒนาขึ้นสู่ระดับนี้ การทำหลายสิ่งพร้อมกันได้ย่อมไม่นับว่าแปลกประหลาด
ลานประลองใต้
เป่ยม่อยืนอยู่บนลานประลอง สูดลมหายใจลึก ทั่วทั้งร่างส่งคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มออกมาเป็นระลอก งูสายน้ำรัดพันอยู่รอบร่างราวกับมีชีวิต เตรียมพร้อมรับมือกับศัตรูที่เข้ามาใกล้
“ไอ้หนู ยอมแพ้เถอะ”
บุรุษชุดแดงแย้มยิ้ม สองมือปรากฏเปลวเพลิงส่องสว่างราวกับดอกบัวสีแดงที่แย้มบาน โจมตีระเบิดไปยังร่างของเป่ยม่อ
พลังฝึกตนของบุรุษชุดแดงนั้นสูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ เมื่อเทียบกับพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับแรกเริ่มของเป่ยม่อแล้วมีโอกาสที่จะชนะไปแล้วกว่าครึ่ง
แม้ว่ามรดกธาราทมิฬของเป่ยม่อจะแข็งแกร่ง ทว่าสำหรับงานชุมนุมเซียนมังกร ไม่ว่าจะเป็นพื้นเพของอัจฉริยะคนใดก็อาจนับได้ว่าเหนือกว่าเขาอยู่มากกว่าหนึ่งขั้น
บุรุษชุดแดงเบื้องหน้าผู้นี้พลังฝึกตนสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น ปราณจิตวิญญาณแข็งแกร่งกว่า มีวิชาร้ายกาจ เมื่อเทียบกับเขาแล้วมีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า
หลังจากสามสิบกระบวนท่า
เป่ยม่อล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกบุรุษชุดแดงไล่ต้อน
ลานประลองมีพื้นที่นับสิบลี้ เป่ยม่อใช้พลังป้องกันที่สูงลิบของตนเองในการต่อต้านอย่างดื้อดึง
“มรดกธาราทมิฬในงานชุมนุมเซียนมังกรไม่อาจนับเป็นอันใดได้ รวมทั้งมรดกอัสนีของข้าที่อาจนับได้เพียงว่าเป็นระดับกลาง โชคดีที่ข้าสามารถหลอมรวม ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ กับมันได้”
จ้าวเฟิงรู้สึกสะเทือนใจขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
มันไม่ใช่ว่า ‘มรดกธาราทมิฬ’ ของเป่ยม่อไม่แข็งแกร่ง เพียงแต่พื้นเพตระกูลของเหล่าบุตรหลานที่สวรรค์รักใคร่ พรสวรรค์ และโอกาสนั้นนับได้ว่าไร้ที่ติ
ในทางกลับกัน แคว้นเมฆาเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ
“ไอ้เด็กหัวดื้อ หากยังไม่ยอมแพ้อีก แม้ข้าฆ่าเจ้าก็ไม่ผิดกฎ”
บุรุษชุดแดงนำดาบยาวสีแดงออกมาพร้อมฟาดฟันออก ประกายดาบสีแดงเพลิงฉีกกระชากระลอกคลื่นสีน้ำเงินเข้มรอบกายของเป่ยม่อออก
พรวด
เป่ยม่อกระอักเลือด ได้รับบาดเจ็บหนัก คู่ต่อสู้ขยับเข้าใกล้ไปได้อีกนิด
“แช่แข็งธาราทมิฬ”
ดวงตาทั้งสองข้างของเป่ยม่อแดงก่ำ ปราณแท้ในร่างสั่นสะท้านใกล้จะเผาไหม้เปลี่ยนแปลงรูปร่างไป
ไม่
เป่ยม่อคว้าจับระลอกคลื่นสีน้ำเงินรอบกาย เปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำแข็ง บรรยากาศรอบกายเย็นเยียบขึ้น
เมื่อใช้วิชา ‘แช่แข็งธาราทมิฬ’ พลังของเป่ยม่อก็ระเบิดออกอย่างน่าหวาดกลัว นี่คือวิธีการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของมรดกธาราทมิฬ
อุ๊บ พรวด
บุรุษชุดแดงปรากฏรอยเลือดเป็นทางยาวจากดาบน้ำแข็งของอีกฝ่าย ความเย็นเยียบในอากาศราวกับจะแช่แข็งร่าง อุทานออกมาครั้งหนึ่งก่อนล่าถอย
“ข้าไม่เพียงแค่กินยาวิญญาณดุดันเพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ทว่าข้ายังพยายามอย่างหนักในการทำความเข้าใจหนึ่งในสองสำนึกรู้ที่ใหญ่ที่สุดของมรดกธาราทมิฬด้วย”
เป่ยม่อสูดลมหายใจลึก คลื่นน้ำเย็นเยียบสีน้ำเงินควบรวมกัน การโจมตีแต่ละครั้งตามไปด้วยประกายแสงเย็นเยียบที่ระเบิดออก
เด็กหนุ่มวาดกำปั้น ราวกับภูเขาน้ำแข็งกำลังถล่มลง พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
หลังจากห้าสิบกระบวนท่า
เปรี้ยง
หนึ่งฝ่ามือของเป่ยม่อราวกับปรากฏภาพของภูเขาน้ำแข็งซ้อนทับ กระแทกตรงไปยังร่างของบุรุษชุดแดง
“ชนะ”
เป่ยม่อเช็ดรอยโลหิตที่มุมปาก ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน โลหิตในกายเดือดพล่าน
รูปลักษณ์บ้านนอกของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ในเวทีสูงสุดแห่งทวีปนี้ เด็กหนุ่มไม่ได้ต้องการจารึกชื่อของตนลงในประวัติศาสตร์ เพียงต้องการเปล่งประกายอันงดงามออกมาแม้เพียงเสี้ยววินาที
หลังจากชนะ
ตราคำสั่งเซียนมังกรของเป่ยม่อก็ดูดกลืนวาสนามังกรเข้าไปใน ‘ตราสีขาว’ ส่วนหนึ่งจนมันส่องประกายมากขึ้นกว่าเดิม
“พลังของเป่ยม่ออาจติดหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งของอาณาจักรนภา นับว่ายากที่จะคาดคิดนัก”
จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
แม้พลังของเป่ยม่อหากต้องการที่จะติดหนึ่งในสามร้อยอันดับแรกนับว่าเป็นเรื่องยาก ทว่าเมื่อนึกถึงพื้นเพความเป็นมาของเขาแล้ว มันก็นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
ลานประลองเหนือ
การประลองเข้มข้นอย่างมาก รอบการประลองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง
ตราคำสั่งเซียนมังกรของจ้าวเฟิงส่งเสียง “หึ่งงง” สั่นสะท้านขึ้น มุ่งตรงไปยังลานประลอง
“ตาข้าแล้ว”
จ้าวเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน แม้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขาจะเยือกเย็นอยู่เสมอ ทว่าเมื่อเจอกับการประลองแรกของงานชุมนุมเซียนมังกรก็ยังรู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ฟุบ
จ้าวเฟิงกลับกลายเป็นเงาร่างสายฟ้า พุ่งตรงไปยังลานประลองเหนือ
คู่ต่อสู้เป็นเด็กหนุ่มผู้มีสายตาแน่วแน่ ในมือถือดาบชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำ ปราณจิตวิญญาณบนร่างพลันสั่นสะท้านออกมา
“การประลองแรกนี่ ข้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
เกาเผิงกำดาบในมือแน่น โลหิตในการเดือดพล่าน ปราณจิตวิญญาณโคจรราวกับสายธารยาวเหยียด
เขาจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าที่เป็นคู่ต่อสู้ ตรวจสอบอย่างผ่านๆ ในสมองปรากฏความคิดขึ้นจำนวนหนึ่ง
“ก่อนที่ข้าจะเดินทาง ผู้อาวุโสแคว้นใหญ่เฉียนหยุนได้ตั้งความหวังไว้กับข้าอย่างมาก ความพยายามเกือบยี่สิบปี หลังจากที่ข้าผ่านความยากลำบากจำนวนมากจึงเอาชนะอัจฉริยะจำนวนมากของแคว้นได้ เมื่อมาถึงระดับนี้ หากเพียงครั้งแรกก็กลายเป็นสถานการณ์ไม่น่าดู พ่ายแพ้ให้กับคนระดับเดียวกัน แล้วข้าจะมองหน้าอัจฉริยะที่ข้าเอาชนะมาได้อย่างไรกัน?”
จิตต่อสู้ ปราณจิตวิญญาณ และพลังบนร่างของเกาเผิงพุ่งสูงจนถึงขีดสุด
“อายุไม่ถึงยี่สิบปีกับพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ…”
จ้าวเฟิงจ้องมองไปเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเงียบๆ พรสวรรค์ความสามารถของอีกฝ่ายอาจกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยม
การต่อสู้แรก จ้าวเฟิงไม่คิดจะประมาท
ดาบอัสนี
สายฟ้าควบรวมในมือของจ้าวเฟิงกลายเป็นดาบแหลมคมยาวหนึ่งหลา พลังของอัสนีที่อยู่ภายในน่าพรั่นพรึงนัก
กระบี่กระเรียนทะยานตัดเมฆา
จิตต่อสู้ในดวงตาของเกาเผิงส่องประกายวาบ ตวาดเสียงดัง ร่างกายลอยเบาหวิวราวกับนกกระเรียน ทั้งคนและดาบหลอมรวมกันส่องประกายสีขาว ตัดผ่านอากาศออกไป
การเคลื่อนไหวแผ่วเบางดงามและดาบที่ส่งเสียงครืนครางดูสูงใหญ่เกินธรรมดาหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ ดาบนั้นถูกวาดออกในเสี้ยววินาที ปราณจิตวิญญาณราวกับกระแสน้ำบนเทือกเขา ดาบส่องแสงสว่างจ้าครอบคลุมระยะพื้นที่หลายสิบหลา
“กระบี่กระเรียนทะยานตัดเมฆา เป็นขอบเขตเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ลึกล้ำ ในงานชุมนุมเซียนมังกร ไม่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้คนใด หากยังอยู่ในระดับเดียวกันก็ไม่อาจดูแคลนได้”
จ้าวเฟิงจ้องมอง รับรู้ได้ถึงการโจมตีของอีกฝ่าย
ฟุ่บ
ร่างของจ้าวเฟิงถูกผ่าโดยดาบที่ส่งเสียงครืนครางนั้น หายไปในเสี้ยววินาที