Skip to content

King of Gods 347

King Of Gods

บทที่ 347 : สายเลือดดวงตาของตระกูลชนชั้นสูง

ร่างกายของจ้าวเฟิงนั้นราวกับแผ่นกระดาษที่ปลิดปลิว ถูกตัดผ่าโดยคมดาบ

เหล่าผู้ที่อยู่ในลานประลองเหนือ เป่ยม่อ ตงเซว่ และคนอื่นๆ หัวใจกระตุกวูบ

“ด้วยพลังของศิษย์น้องจ้าว มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพ่ายแพ้เร็วเพียงนี้”

เป่ยม่อสั่นศีรษะอย่างรุนแรง

ในยามนี้

บนลานประลองเหนือ การแพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว

“ไม่มีเสียง…”

ร่างของเกาเผิงลอยอยู่กลางอากาศ ทั่วทั้งร่างถูกล้อมรอบไปด้วยกระแสไฟฟ้า ร่างกายสั่นกระตุกอย่างไม่หยุดยั้ง

เมื่อใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มผมฟ้าได้แตะลงที่แผ่นหลังของคู่ต่อสู้ กระแสไฟฟ้านั้นราวกับอสรพิษที่มีชีวิต เลื้อยพันรัดร่างของเกาเผิงอย่างหนาแน่น

ตุบ

ร่างของเกาเผิงร่วงหล่นลงจากกลางอากาศด้วยสภาพไหม้เกรียม ร่างกายชาหนึบไม่อาจขยับตัวได้

“ใช้การเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดกับพลังอัสนี ยากที่จะคาดเดาได้ยิ่งนัก”

เสียงอุทานดังขึ้นจากลานประลองเหนือ

ความเร็วของการเคลื่อนไหวที่ใช้สายฟ้าเข้าเสริมที่จ้าวเฟิงใช้ออกนั้นทำให้คนส่วนมากต้องอ้าปากค้างอย่างชื่นชม

ในหนึ่งกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะ เหตุการณ์เช่นนี้ในงานชุมนุมเซียนมังกรเกิดขึ้นไม่มากนัก ส่วนมากมักปรากฏขึ้นในการประลองของห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทาน เป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง

กรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์โบกธงคำสั่งเซียนมังกร ประกาศตัดสินให้จ้าวเฟิงชนะ

ทันใดนั้น วาสนามังกรบนร่างของเกาเผิงก็ได้แยกตัวออกส่วนหนึ่งแล้วหลอมรวมเข้ากับจ้าวเฟิง

ฟุ่บ

ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของจ้าวเฟิงยังคงเป็นสีขาว ทว่าสัญลักษณ์มังกรบนตรานั้นส่องสว่างชัดเจนขึ้น

เมื่อชนะการประลองครั้งแรก วาสนามังกรบนร่างของจ้าวเฟิงก็ได้เพิ่มขึ้นหลายสิบส่วน

นั่นเป็นเพราะวาสนามังกรแต่เดิมของเด็กหนุ่มมีอยู่น้อย เมื่อสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

“ศิษย์พี่ฉิน เจ้าเด็กผมฟ้านั่นอาจจะเป็นม้ามืดก็เป็นได้”

นอกลานประลองเหนือ ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดผู้หนึ่งอดที่จะถอนหายใจอย่างชื่นชมไม่ได้

ที่จ้าวเฟิงขึ้นไปประลองเมื่อครู่นั้น สิ่งที่ได้ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมไปส่วนมากเป็นเพราะเรือนผมและดวงตาสีฟ้าอ่อนที่โดดเด่นของอีกฝ่าย

ด้วยความสนใจที่เกิดจากรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ทำให้ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมรับรู้ได้ถึงการหลอมรวมอัสนีเข้ากับการเคลื่อนไหวได้อย่างยอดเยี่ยมของเด็กหนุ่ม ระดับขอบเขตเจตจำนงสูงจนน่าเหลือเชื่อ

“ก็นับว่าไม่เลว ทว่าคงมิใช่ม้ามืด ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อน อย่างน้อยต้องเอาชนะคนได้สิบคนติดต่อกันจึงจะสามารถเรียกได้ว่าม้ามืด”

ศิษย์พี่ฉินเอ่ยเสียงเบา

‘ศิษย์พี่ฉิน’ ผู้นี้อายุราว 30 ปี มีรูปลักษณ์ราวบัณฑิต เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ได้ทำให้อัจฉริยะโดยรอบรู้สึกชื่นชมนับถือขึ้น

“คนผู้นี้คือฉินคุนอู๋ มาจากหนึ่งในสิบยอดสำนัก เทียนชูเก๋อ ในงานชุมนุมเซียนมังกรก่อนหน้า การประลองของเขากับโม่เทียนอี้นับว่ายากจะตัดสินแพ้ชนะ ทว่าสุดท้ายแล้วเป็นเขาที่ได้ครอบครองตำแหน่งที่สูงกว่า”

เซี่ยเซียนชางแห่งสำนักหมื่นดาบเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ลานประลองเหนือนั้น นอกจากจ้าวเฟิง ตงเซว่ เป่ยม่อ และหวังเสี่ยวก้วยแล้วยังมียอดฝีมืออยู่อีกจำนวนหนึ่งจากทวีปเหนือ เช่นเซี่ยเซียนชางและคนอื่นๆ

แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเซียนชางหรือฉินคุนอู๋ ทั่วทั้งงานชุมนุมเซียนมังกรก็นับได้ว่าเป็นบุคคลชั้นแนวหน้า

ในลานประลองเหนือ นอกจากผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทาน ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ แล้วก็มีเพียงฉินคุนอู๋ เซี่ยเซียนชาง และเนตรวิญญาณหนานจื่อที่ตราคำสั่งเซียนมังกรในมือมีสีเงินยวง

ทั้งตราคำสั่งเซียนมังกรของฉินคุนอู๋และเนตรวิญญาณหนานจื่อ สีเงินยวงของมันยังมีประกายแสงสีทองอ่อนปรากฏปะปนอยู่ด้วย

“หากจะพูดในยามนี้ ฉินคุนอู๋ เซี่ยเซียนชาง และเนตรวิญญาณหนานจื่อล้วนอยู่ในลานประลองเหนือ รองจากผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทานแล้ว ทั้งสามคนก็นับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า”

ตงเซว่เอ่ยวิเคราะห์

นางและจ้าวเฟิงมาจากลัทธิโลหะเลือดเช่นเดียวกัน ทำให้ได้รับข่าวสารหลายอย่าง

ความจริงแล้ว แม้ไม่ต้องให้นางเอ่ย เพียงเนตรดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองก็รับรู้ได้

มีเพียงแค่การล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งและอ่อนแอของทุกคนในงานชุมนุมเซียนมังกรเท่านั้นจึงจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้

ฉินคุนอู๋ เซี่ยเซียนชาง และเนตรวิญญาณหนานจื่อ ทั้งสามคนได้สร้างแรงกดดันจำนวนมากให้แก่จ้าวเฟิงรองลงมาจากปิงเว่ยเซียนจื่อ

“เนตรวิญญาณหนานจื่อผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”

สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงรับรู้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดบางประการ

“ได้ยินมาว่าเขามาจากหนึ่งใน ‘สามตระกูลสายเลือดดวงตา’ ตระกูลอู๋”

ตงเซว่มองไปยังเนตรวิญญาณหนานจื่อผู้นั้นพร้อมเอ่ยด้วยท่าทีไม่แน่ใจ

จะอย่างไร นางก็เพิ่งเคยเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรนี้เป็นครั้งแรก

เมื่อจ้าวเฟิงจ้องมองไปยังเนตรวิญญาณหนานจื่อ อีกฝ่ายก็ราวกับรับรู้ได้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหมองหม่นคู่นั้นพลันปรากฏประกายเย็นเยียบกวาดมองมาในทันที

ไม่

เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในบริเวณนั้นพลันรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างกะทันหัน ทั่วทั้งร่างหนาวเยือก ราวกับได้เยียบย่างลงไปยังใต้สุสาน

ร่างอ้อนแอ้นของตงเซว่สั่นสะท้านอย่างหวาดผวา ใบหน้าชะงักค้าง ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้

กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นจ้าวเฟิงยังรู้สึกได้ว่าร่างกายหนาวเยือก ลมหายใจติดขัด กระทั่งรับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตราย

เนตรวิญญาณหนานจื่อผู้นั้นมี ‘สายเลือดดวงตาวิญญาณ’ ส่งกลิ่นอายเก่าแก่หม่นหมอง สัมผัสขอบเขตจิตวิญญาณ กัดกร่อนความรู้สึก

“เป็นสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งนัก”

จ้าวเฟิงเพิ่งเคยเห็นสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งเพียงนั้นเป็นครั้งแรก เมื่อเทียบกับหลินทงที่เคยพบก่อนหน้านับได้ว่าแข็งแกร่งกว่าเป็นสิบเท่า

“มิคาดว่านอกจากสายเลือดดวงตาของสามตระกูลใหญ่แล้วยังจะมีสายเลือดดวงตาเช่นเจ้า น่าเสียดายที่เจ้า…”

เนตรวิญญาณหนานจื่อเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง ทว่ากลับส่ายศีรษะอย่างค่อนข้างเสียดาย

เขายอมรับว่าสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั้นดี ทว่าราวกับไม่ได้ชมชอบมากนัก

จ้าวเฟิงนั้น หลังจากที่สบตากับสายเลือดดวงตาวิญญาณนั้นก็รับรู้เพียงว่ากลิ่นอายหดหู่เย็นเยียบได้พยายามที่จะกัดกร่อนดวงตาเทพเจ้าของตนเอง

ตึก ตึก ตึก

ดวงตาเทพเจ้าเต้นรัวเร็ว รับรู้ได้ถึงความอันตราย

ในมิติในดวงตาซ้าย บ่อน้ำเหมันต์สีฟ้าเย็นส่องประกายมืดหม่นออกมาเจือจาง ให้ความรู้สึกราวกับถูกกัดกร่อนต่อจ้าวเฟิง

สลาย

จ้าวเฟิงส่งแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณไปอย่างรุนแรง บ่อน้ำเหมันต์ขยายออก ผิวน้ำปรากฏระลอกคลื่นขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ พลังความเย็นที่น่าพรั่นพรึงได้แช่แข็งกลิ่นอายหมองหม่นนั้นเอาไว้

เฮ้อ

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ถอนหายใจยาว

เนตรวิญญาณหนานจื่อผู้นั้นสายเลือดดวงตานับว่าน่าหวาดกลัวโดยแท้ สมแล้วที่มาจากหนึ่งในสามตระกูลสายเลือดดวงตา

“พลังของคนผู้นี้อาจไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปเหนืออย่างโม่เทียนอี้”

จ้าวเฟิงตั้งสติให้มั่นคง

เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของลานประลองเหนือแล้ว ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ ที่เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ย่อมีพลังมากมายที่สุด

จากนั้นจึงเป็นฉินคุนอู๋ เซี่ยเซียนชาง และเนตรวิญญาณหนานจื่อ ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าทั้งสาม จ้าวเฟิงไม่มีโอกาสชนะมากนัก

จากนั้นจึงเป็นคนอื่นๆ ที่แม้พลังฝึกตนจะสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ จ้าวเฟิงก็ยังมีโอกาสชนะในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกหวาดกลัว

“หัวหน้าสาขา เจ้านั่นโจมตีแล้ว”

ตงเซว่พลันตะโกนเสียงเบาขึ้นอย่างกะทันหัน

จ้าวเฟิงเพ่งสายตามองไปยังเนตรวิญญาณหนานจื่อที่ยืนอยู่บนลานประลองเหนือ คู่ต่อสู้ของเขาคือบุรุษในชุดทองที่มีพลังขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด

เนตรวิญญาณผลาญจิต

เนตรวิญญาณหนานจื่อแย้มยิ้ม ดวงตามืดหม่นที่ราวกับเต็มไปด้วยม่านหมอกพลันปรากฏประกายของเปลวเพลิงขึ้น

“อ๊ากกกก”

บุรุษชุดทองกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านก่อนกระอักโลหิตออกมา

ในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งร่างของเขาก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลริน ราวกับกำลังทนทานความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายได้ก่อนจะล้มลงบนลานประลอง

กรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์โบกธงคำสั่งเซียนมังกร

เนตรวิญญาณหนานจื่อที่เป็นฝ่ายชนะกระซิบกับตนเอง “หากไม่เป็นเพราะการฆ่าคนจะทำให้ถูกลดวาสนามังกรล่ะก็…”

แน่นอนว่าการโจมตีของเขาได้ออมมือไว้

ก่อนหน้า การโจมตีของ ‘แฝดไท่หยุน’ นั้นรุนแรง คร่าชีวิตของคู่ต่อสู้ พวกเขานั้นไม่เพียงไม่ได้รับวาสนามังกร ทว่ากระทั่งถูกลดวาสนามังกรลง

เมื่อยามที่เนตรวิญญาณหนานจื่อโจมตี ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ได้จับจ้องไปอย่างไม่ละสายตา

“หลอมรวมเปลวเพลิงวิญญาณเข้ากับสายเลือดดวงตา สร้าง ‘เพลิงเนตรวิญญาณ’ ขึ้นเผาไหม้จิตวิญญาณของคู่ต่อสู้”

จ้าวเฟิงวิเคราะห์วิธีการใช้ดวงตาของเนตรวิญญาณหนานจื่อ

ทว่าแม้จะสามารถวิเคราะห์หลักการของมันได้ก็ไม่อาจ ‘คัดลอก’ วิชาของอีกฝ่ายได้

ไม่ว่าจะเป็นวิชาต่อสู้ใดที่ขึ้นอยู่กับสายเลือด ส่วนมากแล้วเด็กหนุ่มสามารถทำได้เพียงใช้อ้างอิงเท่านั้น

เพราะสายเลือดของทุกคนไม่เหมือนกัน เมื่อสร้างวิชาขึ้นโดยใช้สายเลือดเป็นพื้นฐาน แม้เข้ากับผู้อื่นก็ใช่ว่าจะเหมาะกับตนเอง

“ทว่าเปลวเพลิงวิญญาณนั้น เพียงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็สามารถสร้างขึ้นได้”

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา สติล่องลอยเข้าไปในจุดตันเถียน

ใจกลางจุดตันเถียนได้ปรากฏแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยธาตุอัสนีอยู่

จ้าวเฟิงใช้วิธีจากมรดกอัสนีในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของปราณจิตวิญญาณ และใช้แก่นแท้สำนึกรู้จาก ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เข้ารวมด้วย

แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในส่วนลึกได้ก่อกำเนิดเปลวเพลิงขึ้นเจือจางอย่างรวดเร็ว ขนาดราวๆ เม็ดถั่วเหลือง

ผิวหน้าของเปลวเพลิงนั้นได้ปรากฏประกายสายฟ้าขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ไม่ใช่เปลวเพลิงวิญญาณทั่วไป ทว่าเป็นเปลวเพลิงวิญญาณอัสนี

หลังจากเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง จ้าวเฟิงก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเปลวเพลิงวิญญาณ จะอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้วางแผนที่จะสร้างมันขึ้นมา

ทว่า

ในยามนี้ ในจุดตันเถียนได้ถูกกระตุ้น ถือกำเนิด ‘เปลวเพลิงวิญญาณอัสนี’ ขึ้น กลิ่นอายของมันได้ทำให้จ้าวเฟิงชะงักงัน

“ใช้เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีเป็นตัวตั้งต้น หลอมรวมเข้ากับเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า ดูว่าจะสามารถใช้เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าได้หรือไม่”

จ้าวเฟิงปรากฏความคิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

จะอย่างไรเด็กหนุ่มก็ได้อ่าน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ไปอย่างผ่านๆ ในด้านเคล็ดวิชาดวงตานับว่ามีวิสัยทัศน์มากพอ

อย่างแรก

จ้าวเฟิงต้องการสะพานที่จะทำให้เนตรเทพเจ้าและเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีเชื่อมต่อกัน

สะพานนี้คือสายเลือดสีฟ้าอ่อนเข้มข้นภายในร่าง

ไม่นานต่อมา

โลหิตที่ส่องประกายสีฟ้าอ่อนได้กลับกลายไปราวกับใยแมงมุม ครอบคลุมบ่อน้ำเหมันต์ในมิติในดวงตาซ้ายแล้วเชื่อมต่อกับเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีที่จุดตันเถียน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง วิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง

เมื่อล้มเหลวก็วิเคราะห์ใหม่อีกครั้ง เข้าใกล้ความสำเร็จ

ครืนนน

ทันใดนั้น ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของจ้าวเฟิงก็สั่นสะท้าน มุ่งหน้าไปยังลานประลองเหนือ

“ตาข้าแล้ว”

จ้าวเฟิงไม่ค่อยอยากลุกจากที่นั่ง ความพยายามและการวิเคราะห์ของเขากำลังเข้าใกล้ความสำเร็จแล้ว

เมื่อ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ของเขาสำเร็จ พลังของมันจะเหนือกว่าวิชาดวงตาขึ้นมาก มันไม่เพียงโจมตีไปยังดวงวิญญาณ ทว่ายังโจมตีกายเนื้อไปพร้อมกัน

ลานประลองเหนือ

จ้าวเฟิงขึ้นไปบนลานประลองเป็นครั้งที่สอง

คู่ต่อสู้ในครั้งนี้คือบุรุษในชุดเกราะสีทอง มีพลังขั้นมนุษย์แท้ระดับสูง

บุรุษเกราะทองใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตัว กระตุ้นปราณจิตวิญญาณให้ป้องกันร่างกาย ป้องกันความเร็วของจ้าวเฟิงที่ไม่อาจประเมินได้

ความเร็วที่ใช้ในการประลองครั้งแรกของจ้าวเฟิงได้ทำให้อัจฉริยะส่วนมากที่ลานประลองเหนือต้องอ้าปากค้างอย่างชื่นชม

“หึ เมื่อจะรับมือกับผู้ที่มากความเร็วก็ต้องเพิ่มพลังป้องกัน ตามสถิติแล้วจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยการลอบโจมตี”

หลังจากที่บุรุษเกราะทองสร้างความมั่นคงให้กับการป้องกันของตนเองแล้ว มุมปากก็ยกโค้งขึ้นเป็นสีหน้ายินดี

พลังฝึกตนของเขาสูงกว่าจ้าวเฟิง เขาเชื่อว่าตราบเท่าที่ร่างกายสามารถป้องกันการโจมตีได้และไม่เสียตำแหน่ง โอกาสที่จะชนะย่อมมีมาก

ทว่าในยามนี้

จ้าวเฟิงได้ชนะอย่างรวดเร็วจนคาดไม่ถึง

คุกลวงตา

จ้าวเฟิงเปิดดวงตาเทพเจ้า ดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบราวกับแผ่ขยายออกกลายเป็นบ่อน้ำเย็นเยียบอันไร้ก้นบึ้ง

ตุบ

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ บุรุษเกราะทองก็กึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงอับอาย

เฮือก

ลานประลองเหนือปรากฏความวุ่นวายขึ้น

กระทั่งอัจฉริยะขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดและขั้นผู้วิเศษแท้ยังรู้สึกตื่นตะลึง

เนตรวิญญาณหนานจื่อเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจในวิชาดวงตาอย่างสมบูรณ์”

ฟึ่บ

ตราคำสั่งเซียนมังกรของจ้าวเฟิงที่ได้รับวาสนมังกรมาจากการชนะครั้งนี้ เมื่อเทียบกับก่อนหน้า สัญลักษณ์มังกรบนนั้นดูชัดเจนว่าเดิม ส่องแสงสว่างมากขึ้น

ทว่าหากจะเข้าสู่ระดับตราคำสั่งเซียนมังกรสีทองแดงยังคงห่างไกลอยู่บ้าง

หลังจากชนะ

จ้าวเฟิงรีบกลับไปยังตำแหน่งเดิม นั่งขัดสมาธิ มิติในดวงตาซ้ายถูกกระตุ้นอย่างรวดเร็ว เข้าสำรวจภายในร่างกาย

ไม่ช้า ดวงตาซ้ายสีฟ้าอ่อนของจ้าวเฟิง หลายครั้งได้ปรากฏประกายไฟฟ้าสีเขียวสว่างวาบ ใจกลางราวกับปรากฏแสงของเปลวเพลิงขึ้นสั่นระริก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version