บทที่ 348 : ภาพมรดก
โลหิตที่ส่องประกายสีฟ้าอ่อนในร่างของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไปเป็นราวกับเส้นไหม กลายเป็นสะพานเชื่อมโยงมิติในดวงตาซ้ายกับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในจุดตันเถียน
ในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณได้ปรากฏเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีขึ้นเจือจาง และได้หลอมรวมเข้ากับพลังของบ่อน้ำเหมันต์ในมิติในดวงตาซ้ายได้สำเร็จ
บ่อน้ำเหมันต์นั้นไม่ใช่แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณบริสุทธิ์ มันคือแก่นแท้ของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง ‘พลังดวงตา’ เป็นแก่นกลางความลับของสายเลือดดวงตา หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งก็ยังคงมีปริศนาที่แสนอันตรายหลบซ่อนอยู่
หลังจากที่เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีและพลังของบ่อน้ำเหมันต์ในดวงตาได้รับการกระตุ้นก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันชั่วคราว
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมักจะปรากฏ ‘เพลิงอัสนีสีเขียวอ่อน’ ส่องประกายวูบอยู่หลายครั้ง
ในยามนี้ ‘วิชาเนตรวิญญาณผลาญจิต’ ที่มาจากเนตรวิญญาณหนานจื่อก็ได้ถูกลอกเลียนแบบออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
“จะอย่างไร ดวงตาก็คือเนื้อเยื่อที่เปราะบางที่สุดของร่างกายมนุษย์ ‘เนตรเพลิง’ นี้เหมาะสมกับการใช้ออกในเสี้ยววินาที ทว่าไม่เหมาะที่จะใช้อย่างต่อเนื่อง หากเป็นดวงตาทั่วไปก็ย่อมไม่อาจใช้ออกได้”
ในใจจ้าวเฟิงปรากฏความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
อีกนัยหนึ่ง หากไม่ใช่ผู้ที่มีสายเลือดดวงตาที่ทรงพลัง แม้จะสามารถทำความเข้าใจวิชาเนตรเพลิงได้ก็ไม่อาจฝึกฝนได้
เพราะดวงตาของคนทั่วไปเปราะบางยิ่งนัก ไม่อาจทนทานต่อเนตรเพลิงนี้ได้
ในยามนี้
จ้าวเฟิงได้สร้าง ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ขึ้นมาโดยพื้นฐาน ความสามารถในการโจมตีของมันนั้นประมาณได้ว่าเหนือกว่าวิชาดวงตาทั้งสามที่มีอยู่แต่เดิม
หากจะพูดในยามนี้
วิชาดวงตาที่จ้าวเฟิงเคยทำความเข้าใจมีคุกลวงตา เนตรจิตวิญญาณเหมันต์ และเนตรหัวใจวิญญาณ
หนึ่งในนั้นคือเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ที่มีการโจมตีกัดกร่อน เชี่ยวชาญในการฉุดรั้งการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง พลังรุนแรงที่สุด ไม่อาจใช้ได้โดยง่าย
ทว่า ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ นั้นเมื่อเทียบกับ ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ แล้วกลับมีแรงโจมตีในเสี้ยวพริบตาที่สูงกว่า
‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ไม่อาจใช้ได้ง่ายๆ หรือมิเช่นนั้นอาจจะเผาไหม้จิตวิญญาณของคู่ต่อสู้จนสลายหายไปได้ เป็นการเข่นฆ่าคน ยิ่งไปกว่านั้นวิชาดวงตานี้ยังสร้างภาระให้กับดวงตาเทพเจ้า
จ้าวเฟิงรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าที่เขาเพิ่งทำความเข้าใจมานั้น ความสามารถในการควบคุมของเขาย่อมไม่เพียงพอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามที่เนตรวิญญาณหนานจื่อขึ้นประลอง จ้าวเฟิงจะเปิดดวงตาเทพเจ้าเพ่งมองเพื่อเลียนแบบให้ได้หนึ่งหรือสองส่วน
เนตรวิญญาณผลาญจิต!
ดวงตาคู่หม่นของเนตรวิญญาณหนานจื่อราวกับเต็มไปด้วยม่านหมอกที่ส่องประกายเปลวเพลิงขึ้น
“อ๊ากกก”
อัจฉริยะขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดส่งเสียงร้องออกมาอย่างหวาดกลัวก่อนจะล้มลงบนพื้นดัง ‘ตุบ’ ดูราวกับได้รับความเจ็บปวดมหาศาล กลิ้งเกลือกไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง
การใช้ ‘เนตรวิญญาณผลาญจิต’ ของเนตรวิญญาณหนานจื่อมีการควบคุมที่แม่นยำยิ่งนัก หรือมิเช่นนั้นคงไม่ง่ายที่จะทำให้คู่ต่อสู้หวาดกลัวจนแทบเสียสติเช่นนี้ได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขาจิตใจจะปรากฏบาดแผล หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกรยังยากที่จะฟื้นฟู หมดโอกาสที่จะได้ครอบครองชัยชนะโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นแล้ว เนตรวิญญาณหนานจื่อจึงกลายเป็นบุคคลต้องห้ามของลานประลองเหนือ อัจฉริยะจำนวนมากไม่กล้าประลองกับเขา
“ตระกูลอู๋นี้ควรค่าแล้วที่นับเป็นหนึ่งในสามตระกูลสายเลือดดวงตาที่ใหญ่ที่สุดของทวีป”
สีหน้าของฉินคุนอู๋และเซี่ยเซียนชางย่ำแย่ลง
แม้พลังของพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกันกับโม่เทียนอี้ ทว่ากลับหวาดกลัวเนตรวิญญาณหนานจื่อผู้นี้นัก
“ทายาทของหนึ่งในสามตระกูลสายเลือดดวงตาที่มาในครั้งนี้มีตระกูลถัวป๋า ตระกูลอู๋ และตระกูลชิว”
ฉินคุนอู๋อดไม่ได้ที่จะสังเกตสถานการณ์สถานการณ์รอบข้าง
แน่นอนว่าไม่เพียงแค่ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ทว่าอัจฉริยะคนอื่นๆ เองก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับทายาทของสามตระกูลสายเลือดดวงตาเช่นกัน
เพราะวิธีการโจมตีของผู้ครองสายเลือดดวงตานั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก แทบจะนับได้ว่าไม่อาจป้องกันได้
“ดูเร็วเข้า ทายาทตระกูลถัวป๋าขึ้นไปบนลานประลองตะวันออกแล้ว”
สายตาของอัจฉริยะหลายคนเบนไปยังลานประลองตะวันออก
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของลานประลองตะวันออกนั้นคือ ‘ตันไถ่หลันเยว่’ ผู้มีสายตาเหยียดหยาม ดูแคลนอัจฉริยะผู้อื่น
ในยามนี้ บนลานประลองตะวันออก ทายาทตระกูลถัวป๋าได้ขึ้นไปบนลานประลอง
“ถัวป๋าฉี! ทายาทของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่ง”
สายตาจำนวนมากจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านผู้หนึ่ง
คู่ต่อสู้ของถัวป๋าฉีคือสตรีงดงามในชุดสีชมพู
“เตี๋ยเย่”
จ้าวเฟิง ตงเซว่ เจียงซานเฟิง และคนอื่นๆ ใบหน้าขาวซีดลงเล็กๆ
เนตรคมสวรรค์!
ดวงตาแสนธรรมดาถัวป๋าฉีพลันส่องประกายเย็นเยียบคมกริบ
ฉัวะ
บนแก้มเนียนของเตี๋ยเย่ปรากฏรอยเลือดขึ้นไปจนถึงลำคอขาวราวหิมะของนาง
“ข้า… ข้ายอมแพ้…”
ใบหน้างดงามของเตี๋ยเย่ขาวซีด น้ำเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หากจะพูดถึงก่อนหน้า นางได้อยู่กับจ้าวเฟิง ไล่ล่าโจรเถาชานเฟ่ย พลังความสามารถนับได้ว่าดี ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด
ทว่ายามนี้เตี๋ยเย่กลับไม่มีกระทั่งแรงจะโจมตีตอบโต้
การโจมตีของเนตรคมสวรรค์นั้นเป็นการกวาดมองเพียงเสี้ยววินาที คมดาบที่มองไม่เห็นก็สามารถตัดลำคอของคู่ต่อสู้ เป็นการโจมตีที่ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงได้
“เนตรคมสวรรค์แข็งแกร่งนัก หากข้าต้องเผชิญหน้า บางทีอาจมีโอกาสได้รับบาดเจ็บ”
สีหน้าของเนตรวิญญาณหนานจื่อย่ำแย่ลง
แน่นอนว่า
ในรอบ ‘ห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ นี้จำกัดไว้เพียงการประลองภายในแต่ละลานประลอง ไม่อาจประลองกับคนในลานประลองอื่นได้
ในลานประลองเดียวกันเองก็มีอัจฉริยะหลายร้อยคน โอกาสที่จะเผชิญหน้ากันก็นับว่าน้อยนัก
“การโจมตีของเนตรคมสวรรค์นี้นับว่าแข็งแกร่งอย่างคาดไม่ถึงแล้ว สามารถโจมตีกายเนื้อได้ด้วย!”
จ้าวเฟิงลอบตื่นตะลึง
ความเร็วในการใช้ออกของเนตรคมสวรรค์จากถัวป๋าฉีนั้นรวดเร็วเกินไป จ้าวเฟิงมีเวลาไม่พอที่จะตรวจจับ
นอกจากนั้น เนตรคมสวรรค์ของอีกฝ่ายยังใช้ธาตุลมเป็นหลัก แม้เด็กหนุ่มจะสามารถคัดลอกมาได้ก็ไม่อาจใช้ได้
ลานประลองเหนือ
การประลองได้ผ่านไปหลายรอบ
ปิงเว่ยเซียนจื่อมีพลังที่ไม่อาจเทียบเคียง ไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ มักจะชนะในกระบวนท่าเดียวเสมอ
โดยไม่รู้ตัว
จ้าวเฟิงได้ประลองไปแล้วห้าครั้ง ชนะทั้งห้าครั้งติดต่อกัน
เป่ยม่อชนะสอง แพ้สาม
ตงเซว่แพ้ทั้งห้าครั้ง ใบหน้ารื้นไปด้วยน้ำตา
หวังเสี่ยวก้วยเองก็ชนะติดต่อกันห้าครั้ง ยิ่งได้ต่อสู้ยิ่งแกร่งกล้าบ้าคลั่ง คว้าเอาชัยชนะมาครอง
ในลานประลองทั้งห้า หากสามารถครอบครองชัยชนะติดต่อกันได้ห้าครั้งก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว
แน่นอนว่า
คนในระดับของฉินคุนอู๋ เซี่ยเซียนชาง เนตรวิญญาณหนานจื่อ และผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทานก็ล้วนแล้วแต่ครอบครองชัยชนะติดต่อกันห้าครั้ง
การประลองที่เจ็ด
จ้าวเฟิงขึ้นไปบนลานประลองอีกครั้ง คู่ต่อสู้เป็นชายหนุ่มชุดดำ พลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด ตราคำสั่งในมือส่องประกายสีเงินสว่าง
ทว่าตราคำสั่งเซียนมังกรในมือของจ้าวเฟิงนั้นเพียงส่องประกายสีทองแดงจางๆ
“ฮี่ฮี่ ไอ้หนู สถิติชนะติดต่อกันของเจ้าจะหยุดลงตรงนี้”
ชายหนุ่มชุดดำแย้มยิ้มบาง
ชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้คือศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของจ้าวเฟิงตั้งแต่ได้ประลองมา
สีของตราคำสั่งนั้นสามารถวัดความแข็งแกร่งได้
“อีกาดำลีเชิงหยุน! คนผู้นี้ได้รับฉายานามว่าอีกาดำ ความเร็วนั้นอาจกล่าวได้ว่าไร้ร่องรอยราวภูติพราย”
“ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อนเพียงติดหนึ่งในสามร้อย ทว่าความแข็งแกร่งได้เพิ่มขึ้นกะทันหัน กลายเป็นม้ามืด ชนะอัจฉริยะที่ครองตราคำสั่งเซียนมังกรสีทองแดงสองคนติดต่อกันเมื่อครู่”
ในลานประลองเหนือ หลายคนรู้ถึงข้อมูลของชายหนุ่มชุดดำ
อีกาดำลีเชิงหยุนขยับเดิน สังเกตท่าทีของจ้าวเฟิง
ในลานประลองเหนือ ลีเชิงหยุนย่อมรับรู้ได้ถึงตัวตนของจ้าวเฟิง อีกฝ่ายเป็นเหมือนเขา ได้ครองสถิติชนะต่อเนื่องหกครั้ง
มันอาจกล่าวได้ว่า
คนทั้งสองคือม้ามืดของลานประลองเหนือ
“ความเร็วก็นับว่าเป็นจุดแข็งของข้าเช่นกัน ทว่าพลังฝึกตนของข้าเหนือกว่าเจ้าหลายเท่า พลังของสายเลือดดวงตาก็คงส่งผลน้อยลงอย่างมาก”
อีกาดำลีเชิงหยุนใบหน้าผ่อนคลาย ลอบลำพองใจอยู่เงียบๆ
ฟุ่บ
ในเสี้ยววินาที ร่างของลีเชิงหยุนก็จางหายไป
ต่อมาร่างของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศพร้อมปีกสีดำที่กระพือถี่รัว ส่งกลุ่มลมที่เต็มไปด้วยม่านฝุ่นไป
ฟุ่บ ฟุ่บ
เงาปีกสีดำจำนวนมากมุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง
ในด้านความเร็วการเคลื่อนไหว ลีเชิงหยุนอาจเทียบกับผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มบางคนได้ กระทั่งเหนือกว่าหลายส่วน
“หากต่ำกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ก็ไร้ประโยชน์”
จ้าวเฟิงพลันเปิดดวงตาเทพเจ้าออก จับจ้องไปยังร่างเงาปีกสีดำ
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์!
ดวงตาซ้ายสีฟ้าอ่อนลึกล้ำกลับกลายเป็นบ่อน้ำเหมันต์อันไร้ก้นบึ้ง ความเย็นเยียบที่ไม่อาจมองเห็นได้แทรกซึมเข้าไปยังจิตวิญญาณ
อีกาดำลีเชิงหยุนที่เป็นราวกับเงาร่างของอีกาดำพลันชะงักแข็ง
ทันใดนั้น เขาก็ราวกับร่วงหล่นลงสู่ดินแดนแห่งน้ำแข็งอันไร้จุดสิ้นสุด ในจิตใจหนาวสะท้าน กัดกร่อนภายใน
สติของลีเชิงหยุนได้ถูกกัดกร่อนครอบคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าเย็นเยียบที่ไม่อาจมองเห็น สุดท้ายแล้วกระทั่งความคิดก็ถูกแช่แข็งไป
ในยามนี้ ตัวเขาที่มีความเร็วเหนือธรรมดากลับเหมือนเช่นคนชรา สีหน้าการเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวหอยทาก
นอกจากนั้น สติของเขายังถูกกัดกร่อนโจมตีโดยพลังเหมันต์ที่แข็งแกร่ง แทบจะถูกแช่แข็ง ตกลงสู่ห้วงภวังค์การหลับใหล
เปรี้ยง!
จ้าวเฟิงยกฝ่าเท้าขึ้น ถีบร่างของลีเชิงหยุนไปยังลานประลอง
วินาทีที่ร่างของอีกฝ่ายสัมผัสพื้นก็ยังคงสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง ความคิดการเคลื่อนไหวแข็งค้าง เชื่องช้าอย่างไม่อาจเทียบ
“โชคดีที่ยั้งมือทัน”
จ้าวเฟิงลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
หลังจากที่ขอบเขตจิตวิญญาณพัฒนา พลังความเย็นกัดกร่อนของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ก็ทรงพลังขึ้น
การกัดกร่อนและโจมตีไปยังจิตวิญญาณนั้นมีความเสี่ยงหนัก หากไม่ดีอาจคร่าชีวิตคนโดยไม่ตั้งใจ
หลังจากที่เอาชนะได้ติดต่อกันเจ็ดครั้ง ตราคำสั่งในมือของจ้าวเฟิงก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีทองแดงบริสุทธิ์ วาสนามังกรของมันกระทั่งทรงพลังยิ่งขึ้น
หลังจากที่เอาชนะอีกาดำลีเชิงหยุน จ้าวเฟิงก็กลายเป็นม้ามืดที่แข็งแกร่งของลานประลองเหนือ
ชนะติดต่อกันแปดครั้ง เก้าครั้ง และสิบครั้ง!
ความสำเร็จของจ้าวเฟิงได้เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด ตราคำสั่งเซียนมังกรสีทองแดงได้ส่องประกายมากยิ่งขึ้น
นอกจากผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ปิงเว่ยเซียนจื่อ รวมทั้งพวกฉินคุนอู๋ทั้งสามที่เป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า คนอื่นที่เหลือส่วนมากต่างเป็นกังวลและหวาดกลัวเด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นี้
แน่นอนว่า
ม้ามืดในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้อาจไม่ใช่จ้าวเฟิงเพียงผู้เดียว
ทว่าในลานประลองเหนือไม่ได้มีเพียงจ้าวเฟิง แต่ยังมีพวกหวังเสี่ยวก้วยและอีกสองสามคน
ในเวลาเดียวกัน
ลานประลองตะวันออก ลานประลองตะวันตก ลานประลองใต้ และลานประลองกลางก็ได้ถือกำเนิดม้ามืดขึ้น
ในลานประลองใต้ ซินอู๋เหิน หลิวฉินซิน และคนอื่นๆ ได้ชนะติดต่อกัน กระทั่งเอาชนะอัจฉริยะที่ทรงพลังของปีก่อนๆ ได้หลายคน
โดยเฉพาะซินอู๋เหินที่ต่อสู้ด้วยมือข้างเดียว เอาชนะคู่ต่อสู้
ในลานประลองตะวันตกได้ถือกำเนิดม้ามืดขึ้นหลายคน หนึ่งในนั้นคือนักดาบสตรีผู้หนึ่ง หนึ่งดาบชนะคู่ต่อสู้ ยากที่จะต้านทาน
นั่นคือชางหยูเยว่!
ในขณะเดียวกัน ลานประลองตะวันออก จ้าวหยูเฟยก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสี่ม้ามืดที่ใหญ่ที่สุด กลายเป็นจุดรวมความสนใจ
กลางอากาศเหนือลานประลอง บนแท่นรูปวงรี ผู้สูงศักดิ์แห่งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ได้แบ่งแยกความสนใจไปยังลานประลองทั้งห้า
“ฮี่ฮี่ ควรค่าแล้วที่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี”
“ในปีก่อนๆ มีม้ามืดเพียงไม่กี่คน ทว่ายามนี้กลับมากถึงสิบยี่สิบคน”
ผู้สูงศักดิ์หลายคนผงกศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน
ร่างยักษ์ผิวสีทองแดง ‘รองหัวหน้าสหพันธ์’ สายตากวาดมองอย่างรวดเร็วไปยังภูเขารูปปั้นศิลารอบลานประลอง “วาสนามังกรได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่างเป็นการแข่งขันที่รุนแรงนัก…”
รูปปั้นศิลาแสนยิ่งใหญ่รอบลานประลอง เหล่าตัวตนในตำนานโบราณได้ส่งกลิ่นอายลึกลับออกมาเจือจาง สีหน้าบนใบหน้าราวกับเปลี่ยนแปลงไปและจับจ้องไปยังการประลองบนลานประลอง
ครืนนน
รูปปั้นศิลาขนาดยักษ์หลายตัวกระทั่งให้ความรู้สึกราวกับสั่นสะท้าน ท่าทีภูมิฐานที่ไม่อาจมองเห็นเพิ่มสูงขึ้น
“ดูเร็วเข้า!”
สายตาของเหล่าผู้สูงศักดิ์จับจ้องไปยังจุดบนสุดของลานประลองชางกู่
ท่ามกลางชั้นเมฆ เมื่อใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ปรากฏเงาโปร่งแสงขึ้นจำนวนมาก
เงาพวกนั้นเป็นราวกับรูปภาพที่พร่าเลือน บางส่วนเป็นภาพราชวัง ศาลา แม่น้ำภูเขาและภาพอื่นๆ ราวกับเป็น ‘ภาพลวงตา’
“เร็วยิ่งนัก! ทวีปได้เริ่มเชื่อมต่อกับ ‘มรดกแห่งยู่ไว่’ แล้วหรือ?”
“เหลือเชื่อโดยแท้ งานชุมนุมเซียนมังกรยังอยู่ที่รอบแรก ในอดีตต้องเข้าสู่รอบสุดท้ายจึงจะมี ‘ภาพมรดก’ ปรากฏขึ้น”
ผู้สูงศักดิ์หลายคนของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนประหลาดใจ