Skip to content

King of Gods 355

King Of Gods

บทที่ 355 : ยอมแพ้?

โม่เทียนอี้ อัจฉริยะในตำนานของทวีปเหนือกลับได้รับบาดเจ็บจากเพียงกระบวนท่าเดียวของ ‘หยูเทียนฮ่าว’ ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อย่างคาดไม่ถึง

โม่เทียนอี้ทิ้งร่างลงบนพื้น เช็ดโลหิตที่ไหลย้อยที่มุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

เหตุใดมันจึงเหมือนงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้วมากนัก?

สิบปีที่ผ่านมา เขาได้พัฒนาไปอย่างมาก ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ใดได้

ฟุบ

ร่างของหยูเทียนฮ่าวพุ่งวูบ ปรากฏขึ้นที่อีกฝั่งขอลานประลอง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบ “งานชุมนุมเซียนมังกรในครั้งนี้ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถรับหนึ่งกระบวนท่าของข้าแล้วยังสามารถต่อสู้ต่อได้”

มุมปากของโม่เทียนอี้ปรากฏรสข่มปร่า แม้จะรับมือได้หนึ่งกระบวนท่าแล้วอย่างไร ยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว

หากยังต่อสู้ในระยะประชิดต่อ ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอาจส่งผลกระทบถึงพลังภายใน ทำให้ตัวเขาสูญเสียอย่างมาก ทั้งบาดแผลและพลังที่เหลือจะส่งผลต่ออันดับของเขาในท้ายที่สุด อาจกระทั่งพลาดมรดกยู่ไว่ที่ดีไป

“ข้ายอมแพ้”

โม่เทียนอี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

กับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเพียงนี้ งานชุมนุมเซียนมังกรคราก่อนมีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ ยามนี้บรรลุถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด นับว่าเหนือกว่าผู้อื่นโดยสิ้นเชิง

หัวหน้าของห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นับว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทานโดยแท้

การยอมแพ้ของโม่เทียนอี้ทำให้หยูเทียนฮ่าวส่ายศีรษะเล็กๆ มีท่าทีผิดหวังเล็กน้อย ลงไปจากลานประลองยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เขาโดดเดี่ยวมานานเกินไปแล้ว

ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เพราะการคงอยู่ของ ‘หยูเทียนฮ่าว’ ได้ทำให้อัจฉริยะจำนวนมากรู้สึกหมดกำลังใจใบหน้าขาวซีด เต็มไปด้วยความหดหู่หวาดกลัว

ทว่าหยูเทียนฮ่าวผู้น่าสงสาร ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุคสมัย คนในรุ่นเดียวกันแทบไม่อาจค้นหาคู่ต่อสู้ได้

บนแท่นสูง

ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้ามองไปยังการประลองของหยูเทียนฮ่าวทุกครั้ง

“หยูซิงเฉิน บุตรของเจ้าคนนี้ ความสำเร็จในอนาคตไม่อาจคาดเดาได้ หากข้าจดจำไม่ผิด หยูเทียนฮ่าวอายุเพียง 26-27 ปี ในอีกสิบปีเขาย่อมบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ กลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปเป็นแน่”

ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี้ยนเอ่ยขึ้น

ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี้ยนที่อยู่บนแท่นสูงนี้คือคนเดียวกับผู้ที่ไปงานประมูลเชิงหลงก่อนหน้า หนึ่งในเก้าผู้สูงศักดิ์

เมื่อมองไปยังผู้สูงศักดิ์บางคนบนแท่นสูง ใบหน้าปรากฏความริษยามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสง่างามผู้หนึ่ง

เขาคือบิดาของหยูเทียนฮ่าว หยูซิงเฉิน

“ฮี่ฮี่ หากข้าบอกพวกท่านว่าหากไม่ใช่เพราะเทียนฮ่าวจงใจปิดกั้นมันไว้ บางทียามนี้เขาอาจบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแล้วก็เป็นได้เล่า”

หยูซิงเฉินเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้สูงศักดิ์หลายคน ณ ที่แห่งนั้นในใจก็สั่นไหว

“หากเป็นเช่นนั้น งานชุมนุมเซียนมังกรนี้อาจไร้ซึ่งความหมาย ทำให้ฮ่าวเอ๋อร์ไม่ทะลวงขั้นเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ ในยามนี้ปิงเว่ยเซียนจื่อและแฝดไท่หยุนในรุ่นเดียวกันยังคงมีโอกาสคุกคามตำแหน่งของเขาอยู่”

หยูซิงเฉินทอดถอนใจเล็กๆ

การตัดสินใจของบุตรชายนั้น เขาได้ยอมรับโดยไร้ซึ่งข้อกังขา

หากหยูเทียนฮ่าวบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ แล้วมันจะมีอันใดน่าสนใจอีก?

หลังจากโม่เทียนอี้พ่ายแพ้กระประลองนี้ สายตาของคนในลานประลองชางกู่จำนวนมากก็ไปหยุดลงที่ลานประลองเหนือ

ในลานประลองเหนือเองก็กำลังจะมีการประลองของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เช่นกัน ทั้งยังเป็นฝ่ายผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่ท้าประลองอีก

“มีคำกล่าวว่าแก่นแท้ของมรดกฉวนปิงที่ปิงเว่ยเซียนจื่อผู้นั้นได้รับมาได้มอบกายหยกฉวนปิงที่หายากยิ่งแก่นาง พลังต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก มีโอกาสที่จะท้าชิงอันดับหนึ่งของหยูเทียนฮ่าว”

“ในงานชุมนุมเซียนมังกรคราก่อน ปิงเว่ยเซียนจื่อเองก็นับเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังเพียงไม่กี่คนของหยูเทียนฮ่าว”

ความสนใจของผู้คนกลับไปยังลานประลองเหนือ

เมื่อเอ่ยถึงปิงเว่ยเซียนจื่อก็ต้องเอ่ยถึงจ้าวเฟิง

หลังจากที่จ้าวเฟิงเอาชนะปิงฉุ่ยเยว่ กลายเป็นม้ามืดอันดับหนึ่งของลานประลองเหนือ แม้เทียบกับม้ามืดของทั้งลานประลองชางกู่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในสามอันดับแรก กระทั่งอาจนับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งหรือสอง

“ม้ามืดอันดับหนึ่งของลานประลองเหนือจะรับมือกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้กี่กระบวนท่ากัน?”

“เฮ้ ข้าว่าไม่เกินสามกระบวนท่าหรอก กระทั่งกระบวนท่าเดียวยังไม่แน่”

“ไม่แน่ว่าจ้าวเฟิงอาจจะยอมแพ้เลยก็เป็นได้”

เหล่าอัจฉริยะในลานประลองเหนือต่างคาดหวังในการประลองนี้

ผู้คนกำลังคาดเดา จ้าวเฟิงจะสามารถรับมือผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้สักกี่กระบวนท่า

มันไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกว่าจ้าวเฟิงจะสามารถชนะได้หรือไม่ เพียงแต่เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้

กระทั่งอัจฉริยะในตำนานของทวีปเหนือ ‘โม่เทียนอี้’ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ยังยังพ่ายแพ้ในหนึ่งกระบวนท่า ไม่ต้องเอ่ยถึงจ้าวเฟิงที่มาจากทวีปเหนือเช่นกันเลย

“มีเพียงการที่ข้าสามารถสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ได้ทันเวลาจึงมีโอกาส หากมิเช่นนั้นนับว่าไร้ซึ่งโอกาส”

ในใจจ้าวเฟิงเองก็ได้คาดคำนวณไปพร้อมกัน

ผลนั้นคือ ตัวเขาไม่มีหวังสักนิดเดียว

น่าเสียดายที่ ‘หน่อสำนึกรู้’ ของจ้าวเฟิงแม้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายที่สำคัญที่สุดแล้ว ทว่ากลับพบแรงต่อต้านบางประการ ส่วนมากมาจากแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ที่ทำให้การหลอมรวมและสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ยากลำบากขึ้นมาก

ภายในสมอง

แสงสีเขียวจางใสปรากฏขึ้น ถูกล้อมรอบไปด้วยกระแสไฟฟ้าที่ส่องสว่าง เผยรูปลักษณ์ของดอกไม้ที่ผลิบาน

นี่เป็นเพียงต้นอ่อนของ ‘หน่อสำนึกรู้’ ที่ยังไม่ขึ้นรูปอย่างสมบูรณ์

แม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็ได้เชื่อมต่อเข้ากับคุณสมบัติของเสวียนอ้าวแห่งฟ้าดิน สามารถใช้แก่นแท้ที่ลึกล้ำขึ้นกว่าเดิมของ ‘มรดกอัสนี’ และ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ได้

เด็กหนุ่มไม่ได้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ มีความพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

หึงงงงง

ทันใดนั้น ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของเขาก็สั่นสะท้านไปยังลานประลองเหนือ

“ในที่สุดมันก็เริ่มขึ้น”

ปิงเว่ยเซียนจื่อท่าทีหมดความอดทน เงาร่างเย็นเยียบพุ่งวูบขึ้นไปบนลานประลองเหนือ

“ปิงเว่ย เจ้าเรียกชื่อท้าประลองจ้าวเฟิง หากชนะจะได้วาสนามังกรเพียงครึ่งหนึ่งจากยามปกติ ในทางกลับกัน หากเจ้าพ่ายแพ้ เจ้าต้องเสียวาสนามังกรไปสองเท่าจากยามปกติ”

กรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์เอ่ยขึ้น

การประลองทั่วไปนั้น หากพ่ายแพ้จะเสียวาสนามังกรในตราคำสั่งเซียนมังกรไปจำนวนหนึ่ง

วิธีการท้าประลองของปิงเว่ยสามารถลดทอนวาสนามังกรของจ้าวเฟิงได้เพียงครึ่งหนึ่งจากยามปกติ

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะแพ้ ปริมาณวาสนามังกรที่จะสูญเสียไปก็ไม่มากมาย

“ข้ามั่นใจ”

ปิงเว่ยเซียนจื่อเอ่ยโดยไร้ซึ่งความลังเล

หญิงสาวใช้วิธีการเดียวกับผู้เป็นน้อง เรียกชื่อท้าประลองจ้าวเฟิง

ฟุบ

ร่างของจ้าวเฟิงกลายเป็นเงาร่างอัสนี พลิ้วกายไปยังลานประลอง

แม้ว่าหน่อสำนึกรู้ของเขาจะถือกำเนิดขึ้นเป็นเพียงต้นอ่อน จ้าวเฟิงก็สามารถรับรู้ได้ถึงไอสวรรค์อัสนีได้แล้ว ทั้งยังมีสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับมัน ความเร็วการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มลื่นไหลขึ้นกว่าแต่ก่อนหนึ่งเท่าตัว

“จ้าวเฟิง เจ้าจะไม่ยอมแพ้หรือ?”

ปิงเว่ยเซียนจื่อแย้มยิ้มเยาะเย้ย นัยน์ตาหงส์เย็นเยียบ

ยอมแพ้?

ใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ เขามีความคิดเช่นนั้นจริงๆ

ทว่าไม่ทันเอ่ยออกไป

“เจ้าไม่มีโอกาสหรอก”

นัยน์ตาหงส์เย็นเยียบของปิงเว่ยเซียนจื่อส่องประกายวูบ ร่างขาวเนียนราวหยกส่งกลิ่นไอเย็นเยียบน่าหวาดกลัวออกมา สายเลือดส่งแรงกดดันจากสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่

ในยามนั้น บรรยากาศโดบรอบก็ราวกับหยุดนิ่ง

ทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงราวกับตกไปในหล่มน้ำแข็ง สายเลือดแทบจะจับตัวแข็ง ร่างกายสั่นสะท้าน ความเข้าตาจนแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายและจิตใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ด้วยตนเองเป็นครั้งแรก จ้าวเฟิงจึงเข้าใจถึงความน่าหวาดกลัวของคนในระดับนี้ ไม่น้อยไปกว่าการเผชิญหน้ากับขั้นนายเหนือแท้แม้แต่น้อย

“จ้าวเฟิง รีบยอมแพ้เร็วเข้า”

เถี่ยหมัวที่อยู่ที่ที่นั่งผู้ชมรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ อุทานออกมา

ทว่าการโจมตีของปิงเว่ยเซียนจื่อนั้นรวดเร็วจนเกินไป

สายลมเหนือ

ชายอาภรณ์ของหญิงสาวพลิ้วไหว ความเย็นระเบิดออกที่กลางอากาศ สร้างพายุน้ำแข็งขึ้นกวาดล้างไปทั่วบริเวณหนึ่งลี้ในชั่วพริบตาเดียว

ความเย็นเยียบกัดกร่อนเกินธรรมดาได้แทรกซึมไปทั่วทุกมุม

ในอากาศหนาวเหน็บ เกล็ดน้ำแข็งได้สาดกระจายไปทั่วทั้งระยะหนึ่งลี้

ในยามนั้น

ปิงเว่ยเซียนจื่อนั้นราวกับเทพธิดาแห่งน้ำแข็ง ปกครองเหนือดินแดนแห่งหิมะ

ครึ่ก ครึ่ก

ร่างของจ้าวเฟิงแข็งค้าง ปราณจิตวิญญาณและสายเลือดในร่างถูกแทรกซึมจากความเย็นอันน่าพรั่นพรึงในอากาศ

โดยเฉพาะปราณจิตวิญญาณที่นิ่งไปโดยสิ้นเชิง ไม่อาจที่จะต่อต้านได้

“นี่คือพลังของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้…”

ในใจจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แขนขาทั้งสี่เย็นเยียบแข็งเกร็งจนไร้ความรู้สึก

หลังจากหนึ่งลมหายใจ

จ้าวเฟิงก็สูญเสียการควบคุมร่างกายไปโดยสิ้นเชิง ความเย็นในอากาศนั้นกระทั่งแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเขา

เด็กหนุ่มกลายเป็นเหมือนรูปปั้นน้ำแข็ง แข็งค้างอยู่ท่าเดิม ณ จุดเดิม

ในยามนี้

สิ่งเดียวที่ยังคงเคลื่อนไหวคือดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง พลังสายเลือดสามารถขยับไหวได้เพียงเล็กน้อยอย่างฝืดเคือง

ปิงเว่ยเซียนจื่อแย้มยิ้มอย่างสนุกสนาน บนฝ่ามือขาวราวหยกได้ปรากฏม่านหมอกเย็นเยียบโปร่งแสงขึ้น หลอมรวมเข้ากับความเย็นอันน่าพรั่นพรึง

“ไม่ดีแล้ว”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังหมอกเย็นเยียบในมือของปิงเว่ยเซียนจื่อ ความเย็นของมันนั้นเหนือกว่ากระบวนท่าสายลมเหนือ ทั้งยังหนาแน่นกว่า

อันตรายแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนได้ใกล้เข้ามา

สัญชาตญาณบอกเขา เมื่อกลุ่มหมอกสีขาวในมือของปิงเว่ยเซียนจื่อโจมตีมา ตัวเขาจะถูกแช่แข็งไปตลอดกาล กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไร้ชีวิตไปโดยถาวร

“ตอนนี้นับได้ว่าข้าสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปแล้ว หากนางทำเช่นนั้นก็เท่ากับจงใจฆ่าคน จะถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร”

จิตใจของจ้าวเฟิงสงบนิ่ง วิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

จากนั้นเขาจึงได้ข้อสรุป ปิงเว่ยเซียนจื่อไม่กล้าทำเช่นนั้น

สิ่งที่ได้นั้นไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เสียได้

หากปิงเว่ยเซียนจื่อต้องการที่จะล้างแค้นให้ผู้เป็นน้อง วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำให้จ้าวเฟิงพิการ ไม่มีทางที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรต่อได้ และต้องพลาดมรดกยู่ไว่ไป

สายเลือด เปิด

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องประกายสีฟ้าลึกลับ กระตุ้นการโคจรของพลังสายเลือด

ผิวของจ้าวเฟิงปรากฏลวดลายสีฟ้าเย็นแพร่กระจายไปทั่วร่าง

ครืนนน

ทันใดนั้น เงาร่างพร่าเลือนสง่างามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์น้ำแข็งที่แตกหักปรากฏขึ้นเบื้องหลังจ้าวเฟิง

เมื่อใช้วิชาสายเลือดอย่างเต็มที่ ปริมาณความเย็นบนร่างกายของจ้าวเฟิงก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าร่างกายของเด็กหนุ่มกำลังกลับสู่สภาวะปกติ

สายลมเหนือ

ปิงเว่ยเซียนจื่อเค้นเสียง เตรียมการไว้ก่อนหน้า และอัดคลื่นความเย็นที่มากกว่าเก่าให้ล้อมร่างของจ้าวเฟิงเอาไว้

เปรี้ยง

ร่างของจ้าวเฟิงเคลื่อนไหวออกจากจุดเดิมไปหลายสิบหลา เงาร่างเย็นเยียบปรากฏขึ้นจำนวนมาก

“ข้าจะโจมตีเจ้าจนหมดสภาพ ให้ความเย็นจำนวนมหาศาลกัดกร่อนร่างกายของเจ้า ยิ่งมันยาวนานเท่าไหร่ ร่างของเจ้าก็จะติดพิษความเย็น ไร้ซึ่งความรู้สึกไปโดยสมบูรณ์ เมื่อถึงยามนั้น นอกจากความนึกคิดแล้ว เจ้าจะเป็นเพียงศพเย็นๆ ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เกินกว่าครึ่งปี”

นัยน์ตาของปิงเว่ยเซียนจื่อปรากฎประกายเย็นเยียบโหดเหี้ยมแล่นผ่าน

นางไม่เพียงต้องทำให้จ้าวเฟิงพลาดงานชุมนุมเซียนมังกร ทว่าต้องฆ่าเขาให้ได้

ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงไม่ตายทันทีบนลานประลอง ปิงเว่ยเซียนจื่อก็ไม่ต้องเสียวาสนามังกร กระทั่งไม่สูญเสียสิ่งใด

ครืนนน

จ้าวเฟิงกระตุ้นการโคจรของพลังสายเลือดด้วยดวงตาเทพเจ้า ร่างสง่างามบนบัลลังก์น้ำแข็งเบื้องหลังกลับส่องแสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้น ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ

เงาเย็นเยียบบนบัลลังก์น้ำแข็งนั้นป้องกันจ้าวเฟิงจากความเย็น กระทั่งสามารถดูดกลืนเปลี่ยนแปลงความเย็นเหล่านั้นได้

หรือมิเช่นนั้นบนร่างของเด็กหนุ่มคงถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาแล้ว

ในยามนี้

เงาบรรพบุรุษสายเลือดของจ้าวเฟิงไม่เพียงไม่อ่อนแรงลง ทว่ากระทั่งแข็งแกร่งขึ้นหลายส่วน

เปรี้ยง

ปิงเว่ยเซียนจื่อซัดอีกฝ่ามือออก ทำลายเงาเย็นเยียบลงอีกครั้ง แช่แข็งร่างของจ้าวเฟิง ทำให้ฝ่ายหลังสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไป

“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าต้องยอมแพ้จริงๆ?”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้ปรากฏเพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนขึ้นเจือจาง

ความจริงแล้ว

จ้าวเฟิงมีความสามารถเพียงพอในการเอ่ยขอยอมแพ้

เสียงของเขาสามารถส่งผ่านจิตได้โดยตรงไปสู่กรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์

แม้ว่าจิตวิญญาณของเขาจะถูกกัดกร่อนด้วยพลังความเย็น ทว่าดวงตาเทพเจ้าคือบริเวณต้องห้าม ไม่มีสิ่งใดสามารถรุกรานได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version