Skip to content

King of Gods 368

King Of Gods

บทที่ 368 : ต่อสู้กับผู้ถูกเลือกอีกครั้ง

“ไม่มีเวลาแล้ว เตรียมตัวรับการต่อสู้”

จ้าวเฟิงลุกขึ้นยืน สายตาราวกับกระแสไฟฟ้ามองตรงไปยังทิศตะวันตกอย่างเย็นชา

พวกโม่เทียนอี้ทั้งสอง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าขาวซีด คู่ต่อสู้ประเภทใดกันที่ถึงกับทำให้จ้าวเฟิงต้องออกจากการฝึกตนทันที ไม่กระทั่งมีเวลาในการสร้างสมดุลให้กับพลังฝึกตน?

จ้าวเฟิงกลับกลายเป็นเงาร่างพร่าเลือนพร้อมกับกระแสไฟฟ้าสีเขียว หายไปโดยไร้ร่องรอย

“เร็วนัก”

บุรุษหน้าเหลืองอ้าปากค้าง ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ

“กระบวนท่าเคลื่อนไหวนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก สามารถหลอกลวงประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของผู้อื่นได้”

โม่เที้ยนอี้รับรู้ถึงร่องรอยของเงาพร่าเลือนนั้นได้อย่างจางๆ

เมื่อโม่เที้ยนอี้รู้สึกตัวก็รีบไล่ตามไปโดยมีบุรุษหน้าเหลืองตามมาอีกที

ทว่ายามนี้ จ้าวเฟิงได้บินเลยเขตแม่น้ำไป มุ่งตรงไปยังหุบเขาด้านตะวันตก

ไม่นาน

ท้องฟ้าเหนือป่าก็ได้ปรากฏเงามังกรทองขนาดยักษ์ขึ้นจางๆ

“ระยะทางห่างไกลเพียงนั้น ทว่ากลับสามารถรับรู้ถึงวาสนามังกรได้ บางทีอาจเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้”

ใจของโม่เที้ยนอี้หล่นวูบ ทว่าเมื่อคิดว่าฝั่งตนเองก็มีผู้ที่เพิ่งกลายเป็นผู้ถูกเลือกก็รู้สึกคาดหวังขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

จ้าวเฟิงที่ลอยอยู่กลางอากาศริมฝั่งแม่น้ำมีสีหน้าย่ำแย่อย่างมาก

วาสนามังกรเหนือป่ากระทั่งเข้มข้นยิ่งขึ้น

เงามังกรทองนั้นมีหนึ่ง ไม่ใช่… มีสองตัว

“ไม่ดีแล้ว… มีผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้สองคน”

โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด

ไม่แปลกใจเลยที่จ้าวเฟิงที่มักจะเยือกเย็นอยู่เสมอจะมีสีหน้าย่ำแย่เพียงนี้ เตรียมพร้อมในการต่อสู้อย่างเต็มตัว

รีบหนี

ความคิดนี้ได้แล่นวูบผ่านความคิดของพวกโม่เทียนอี้ทั้งสองโดยไม่รู้ตัว

ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนหนึ่งก็น่าหวาดกลัวเพียงพอแล้ว ทว่าคราวนี้มาถึงสอง จะรับมืออย่างไรกัน?

“พวกเจ้ากลับไปก่อน ป้องกันหยูเฟ่ย”

สายตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวูบ สูดลมหายใจลึก

หากเป็นในสถานการณ์ปกติ มีสองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้มาหา เขาย่อมไม่คิดสิ่งใดและรีบหลบหนี

ทว่ายามนี้จ้าวหยูเฟ่ยอยู่ในถ้ำใต้แม่น้ำ กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการทะลวงขั้นสู่ ‘ขั้นผู้วิเศษแท้’

ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัว

หรือมิเช่นนั้น จ้าวหยูเฟ่ยอาจจะต้องเสียโอกาสในการบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ไปชั่วคราว นางได้สร้างต้นอ่อนของหน่อสำนึกรู้ขึ้นแล้ว การบรรลุขั้นนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมสำเร็จ

“เจ้าระวังตัวด้วย หากสถานการณ์ไม่สู้ดีจริงๆ มีเพียงแค่ต้องลำบากศิษย์น้องหยูเฟ่ยหน่อยแล้ว”

โม่เทียนอี้มองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาลึกล้ำคราหนึ่งก่อนจะนำบุรุษหน้าเหลืองล่าถอยไป

หากเปลี่ยนเป็นเขาที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เผชิญหน้ากับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้พร้อมกันสองคน เขาย่อมล่าถอยโดยไม่ต้องคิดมาก

จ้าวเฟิงลอยอยู่เหนือแม่น้ำ สีหน้าย่ำแย่ สายตาเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน

ร่างของเด็กหนุ่มพุ่งวูบกลายเป็นเส้นแสงสีเขียวคราว ราวกับการเคลื่อนไหวของภูติพราย เข้าใกล้ร่างของสองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

หากจะให้ตั้งรับ คงจะดีกว่าถ้าจะลงมือก่อน

การที่จ้าวเฟิงทำเช่นนี้ได้คำนวณแล้วว่าการต่อสู้จะไม่ส่งผลต่อสถานที่ที่จ้าวหยูเฟ่ยปิดด่านฝึกตน

ในป่าที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ใบไม้

“เจ้าเด็กนั่นดูเหมือนจะพบเราแล้ว”

ร่างใหญ่โตที่ราวกับสร้างขึ้นจากทองแดงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ยามที่เขาเอ่ยพูด พื้นดินได้สั่นสะท้านเล็กๆ ต้นไม้ใกล้เคียงส่งเสียงออกมาราวกับจะหักโค่นได้ทุกวินาที

“ชื่อเฉิงเทียน ตราบเท่าที่ข้ากับเจ้าร่วมมือกัน แม้หยูเทียนฮ่าวจะมาก็อาจต้องล่าถอยพ่ายแพ้”

ปิงเว่ยเซียนจื่อเผยสีหน้ายินดีเย็นเยียบออกมา

จากแผนเดิม ปิงเว่ยเซียนจื่อได้ไปหา ‘แฝดไท่หยุน’ เพื่อขอความร่วมมือก่อน ทว่าสุดท้ายนิสัยของพี่น้องร่วมร่างนี้เต็มไปด้วยความรุนแรง ไม่แม้แต่จะชายตามอง ลงมือก่อนเอ่ยคำ

จากนั้นนางจึงไปหาชื่อเฉิงเทียนที่ธรรมดาและซื่อตรงกว่า

ชื่อเฉิงเทียนแรกเริ่มไม่เต็มใจ เมื่อคิดว่าผู้ถูกเลือกทั้งสองจะร่วมมือกันรุมม้ามืดหน้าใหม่ผู้หนึ่งก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรี

ปิงเว่ยเซียนจื่อโน้มน้าวเก่งกาจ เอ่ยสัญญาว่าหากสำเร็จจะมอบตราคำสั่งเซียนมังกรของจ้าวเฟิงให้กับชื่อเฉิงเทียน

สุดท้ายแล้วชื่อเฉิงเทียนก็รู้สึกลังเล ตอบตกลงในที่สุด

จะอย่างไร หากสามารถได้ครอบครองวาสนามังกรของจ้าวเฟิง ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนใดก็ย่อมฉกฉวยโอกาสนี้ไว้

เมื่อเป็นเช่นนี้

ในยามนี้ปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียนจึงร่วมมือกัน เคลื่อนไหวเข้าใกล้จ้าวเฟิงอย่างเงียบงัน

ตามแผนนั้น เมื่อเข้าใกล้จ้าวเฟิงแล้วทั้งสองจะร่วมมือกันโจมตีสายฟ้าแล่บ ปลิดชีพจ้าวเฟิง ทำให้อีกฝ่ายไม่มีหนทางหลบหนี

ทว่าคนทั้งสองยังไม่ทันเข้าใกล้ กลับถูกค้นพบโดยจ้าวเฟิงก่อนแล้ว

ชื่อเฉิงเทียนใบหน้าแดงซ่านอย่างอับอาย หากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าพวกเขา สองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ร่วมมือกันโจมตีคนหน้าใหม่ผู้หนึ่ง กระทั่งคิดที่จะลอบโจมตี ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือศักดิ์ศรีอันใดอยู่อีก

ในยามนี้ เสียงหัวเราะได้ดังก้องขึ้น “ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้สองคนหรือ… พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”

เสียงหัวเราะนั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ดังก้องไปทั่วระยะหลายสิบลี้

เจ้าเด็กนี่นับว่าโอหังไม่น้อย

สองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ชะงักงันไปพร้อมกัน ในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้ว นอกจากหยูเทียนฮ่าวแล้วยังไม่เคยมีผู้ใดเจอสถานการณ์เช่นนี้

น้ำเสียงของจ้าวเฟิงได้ทำให้คนทั้งสองรู้สึกราวกับถูกเหยียดหยาม

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ

เสียงของจ้าวเฟิงดังมาก ก้องไปทั่วระยะหลายสิบลี้ ทำให้อัจฉริยะหลายคนมาสังเกตการณ์

“เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก”

ปิงเว่ยเซียนจื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

และมันก็เป็นความจริง ชื่อเฉิงเทียนใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความอับอาย เอ่ยคำราม “รับมือกับไอ้หนูเช่นเจ้า ข้าคนเดียวก็เพียงพอ”

เขาและจ้าวเฟิงไม่มีความแค้นเคืองใดๆ ต่อกัน เขาไม่อาจเสียศักดิ์ศรีร่วมมือรุมม้ามืดหน้าใหม่ผู้หนึ่งได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นม้ามืดอันดับหนึ่งก็ตาม

“อย่าใจร้อน”

ในใจของปิงเว่ยเซียนจื่อปรากฎสัญญาณเตือนขึ้น

“ปิงเว่ยเซียนจื่อ เจ้าสบายใจเถอะ สายเลือดพลังฝึกตนของข้าสามารถรับมือกับเขาได้แน่นอน อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวเว้นเสียแต่ขัดขวางไม่ให้เด็กนี่หนีไป”

น้ำเสียงของชื่อเฉิงเทียนกดต่ำ เอ่ยย้ำปิงเว่ยเซียนจื่อซ้ำๆ ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามายุ่งเกี่ยว

ภายใต้สายตาของตนจำนวนมาก แม้ว่าจะรู้อย่างชัดเจนว่ามันคือวิธีการดึงดูดความสนใจของจ้าวเฟิง ชื่อเฉิงเทียนก็ไม่อาจทนได้

นี่เองก็เป็นกลยุทธ์หรืออุบายของจ้าวเฟิง เป้าหมายคือการยื้อเวลาให้จ้าวหยูเฟ่ย

“อืม”

ปิงเว่ยเซียนจื่อผงกศีรษะอย่างจนใจ

นางเปลี่ยนใจเมื่อคิดว่าวิชาของชื่อเฉิงเทียนนั้นอย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวเฟิงได้เปรียบ ย่อมมีโอกาสชนะ

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือคนทั้งสองบาดเจ็บหนัก ปิงเว่ยเซียนจื่อก็ยังได้รับโอกาส ฉกฉวยปลาในแหของผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียแรง

ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำ

ชื่อเฉิงเทียนเหมือนเช่นยักษ์ตัวเล็กๆ ทั่วทั้งร่างราวกับสร้างขึ้นจากทองแดง ความสูงมากกว่าคนปกติทั่วไปครึ่งหนึ่ง

ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนกายไปที่ใด สภาพแวดล้อมก็จะปรากฏความหนักอึ้งขึ้นอย่างไม่อาจอธิบาย

ตึก

ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น ราวกับภูเขาลูกหนึ่ง

จ้าวเฟิงที่อยู่ห่างออกไปรู้สึกว่าเลือดเนื้อปรากฏความรู้สึกหนักอึ้ง จิตใจพร่าเลือนอย่างอธิบายไม่ได้ ปราณจิตวิญญาณและพลังทั่วทั้งร่างติดขัด

“ชื่อเฉิงเทียนคือผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เพียงผู้เดียวที่ฝึกฝนวิชากายา เพียงเลือดเนื้อก็สามารถเทียบเคียงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงได้ ทั้งยังมี ‘สายเลือดใจศิลา’ ที่หายาก พลังป้องกันแข็งแกร่ง”

จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

ในรอบแรก เขาได้มองวิธีการต่อสู้ของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แต่ล่ะคน

ชื่อเฉิงเทียนผู้นี้ พลังกายและร่างกายนับว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอัจฉริยะทั้งหมดในงานชุมนุมเซียนมังกรนี้

ความรู้สึกติดขัดหนักอึ้งที่มองไม่เห็นนี้ได้มาจากเลือดเนื้อของชื่อเฉิงเทียน

ยามที่ฝึกฝนร่างกายจนไปถึงระดับหนึ่ง ร่างกายของคนก็จะเริ่มปรากฏพลังที่แข็งแกร่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ขึ้น

อาจกล่าวได้ว่าคู่ต่อสู้ขั้นผู้วิเศษแท้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าชื่อเฉิงเทียนก็จะขยับตัวได้อย่างยากลำบาก กระทั่งกระอักโลหิตออกมาจากแรงกดดัน

จ้าวเฟิงและชื่อเฉิงเทียนไม่มากวาจา เคลื่อนกายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว

สิบลี้… เก้าลี้… เจ็ดลี้…

ระยะห่างของคนทั้งสองเข้าใกล้กันมากขึ้น

เมื่อห่างกันสามลี้

ชื่อเฉิงเทียนกระทืบเท่าลงที่พื้นอย่างรุนแรง สร้างหลุมเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างหลายฟุตไว้

เขาเป็นราวกับยักษ์ดินที่พุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงอย่างโหดเหี้ยม

เฮือก

แรงกดดันราวกับภูเขากดทับลงมานั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างจากเหล็กก็ย่อมย่อยยับในเสี้ยววินาที

ความเร็วในการพุ่งของชื่อเฉิงเทียนเข้าสู่ระดับที่น่าตื่นตะลึง เข้าใกล้ขีดจำกัดของขั้นผู้วิเศษแท้

ไม่นาน ชื่อเฉิงเทียนก็เข้าไปใกล้อีกฝ่ายในระยะหนึ่งลี้และเริ่มการโจมตีทันที

ร่างยักษ์ผิวทองแดงราวกับจะแบกรับโลก ส่งเสียงคำรามน่าผวาออกมา คลื่นเสียงน่าพรั่นพรึงกวาดไปทั่วระยะหนึ่งถึงสองลี้

เปรี้ยง ตูม

ผืนป่าด้านล่างราบเป็นหน้ากลอง

จ้าวเฟิงกระตุ้นการโคจรของปราณจิตวิญญาณ ป้องกันจุดสำคัญในร่างกายเอาไว้

แม้เป็นเช่นนั้น เขาก็ยังสั่นสะท้านไปกับคลื่นลมรุนแรงจนล่าถอยไปหลายฟุต แก้วหูสั่นสะท้านจนเจ็บ แทบจะกระอักโลหิตออกมา

พลังของร่างกายของชื่อเฉิงเทียนนั้นแข็งแกร่งจนไม่เหมือนมนุษย์ ปราณจิตวิญญาณทรงพลังเกินต้านทาน

การคำรามนั้นสามารถทำให้เหล่าอัจฉริยะส่วนมากยอมแพ้ได้ในทันที

อัสนีพิโรธ

สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งวาดออก ไอสวรรค์อัสนีเหนือศีรษะพลันเต้นพล่าน ปรากฏกระแสไฟฟ้าขึ้น

เปรี้ยง

สายฟ้าที่หนาเท่าแขน ส่องประกายสีม่วงจางพุ่งลงมาจากท้องฟ้า พุ่งตรงไปยังร่างของชื่อเฉิงเทียนอย่างโหดเหี้ยม

ในยามนี้ ในระยะหลายสิบหลารอบด้านเต็มไปด้วยรอยไหม้เกรียม ผืนป่าแหลกสลาย

‘อัสนีพิโรธ’ นั้นคือการหลอมรวมแก่นแท้แห่งสายฟ้าจากมรดกอัสนีและพลังจากศิลาสายฟ้าเร้นลับหลังจากที่เสวียนอ้าวของจ้าวเฟิงมั่นคง เป็นการโจมตีครั้งเดียวที่ถูกสร้างขึ้น

การโจมตีสายฟ้าฟาดนี้ได้รับการเสริมจากไอสวรรค์อัสนีและหน่อสำนึกรู้ รวมทั้งความเข้าใจในสายฟ้าอันลึกล้ำ

“พลังฝึกตนของเด็กนี่พัฒนารวดเร็วยิ่งนัก”

ปิงเว่ยเซียนจื่อที่อยู่ห่างออกไปมองมาด้วยท่าทีค่อนข้างประหลาดใจ

กล่าวได้ว่าอัสนีพิโรธเมื่อครู่ พลังทำลายของมันแทบจะเทียบได้กับพลังระดับพื้นฐานของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

ที่สำคัญไปกว่านั้น จ้าวเฟิงยังไม่ได้ใช้พลังสายเลือด ไม่ได้ใช้ดวงตาเทพเจ้า

แน่นอนว่า

ปิงเว่ยเซียนจื่อไม่ได้กังวลในพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของชื่อเฉิงเทียน อีกฝ่ายเป็นเหมือนนางที่พลังป้องกันในบรรดาห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นับเป็นชั้นแนวหน้า เหนือกว่าผู้ถูกเลือกคนอื่น

เปรี้ยง

ประกายสายฟ้าระเบิดออก ร่างของชื่อเฉิงเทียนยืนนิ่งอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง

ผิวหนังทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นสีเหลืองน้ำตาล มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยจนไม่อาจมองเห็น แสงสีเหลืองใสส่องสว่างรักษาอาการบาดเจ็บบนร่าง

“เป็นพลังป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งนัก สายเลือดของชื่อเฉิงเทียนผู้นี้เป็นธาตุดินแต่กำเนิด ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจในเสวียนอ้าวที่เกี่ยวข้องมากมาย”

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะรู้ถึงพลังป้องกันของอีกฝ่ายก่อนหน้า ทว่ายามนี้ก็ยังประหลาดใจอย่างมาก

สายฟ้าเมื่อครู่เป็นเพียงการพิสูจน์ ทว่าพลังของมันก็ไม่อาจดูแคลนได้ กระทั่งโม่เทียนอี้ ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าเช่นนั้นก็ไม่อาจรับมือได้โดยง่าย ไม่ต้องเอ่ยถึงการใช้ร่างกายรับการโจมตีนั้นตรงๆ เลย

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กผมฟ้า ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าจะไม่เท่าไหร่ ที่ต่อสู้กับปิงเว่ยเซียนจื่อจนเสมอก่อนหน้าคงเป็นเพียงแค่โชคเท่านั้น”

ชื่อเฉิงเทียนหัวเราะเสียงดังยาว รวบรวมคลื่นแสงสีเหลืองน้ำตาลยิงตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง

เปรี้ยง

ไม่ว่าร่างยักษ์ผิวทองแดงนั้นจะไปถึงที่ใด ภูเขาป่าไม้และแม่น้ำจะถล่ม ฝุ่นผงฟุ้งกระจาย

จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับว่าตัวหดเล็กลง ร่างกายถูกกดทับไม่อาจขยับเคลื่อนไหว ไม่มีกระทั่งแรงที่จะตอบโต้

สายตาเย็นชาของจ้าวเฟิงส่องประกาย เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวไปกับสายลม สัญลักษณ์รูปอัสนีบนหน้าผากส่องสว่างวาบ ราวกับราชาแห่งหมู่มาร

ประกายสายฟ้าส่องสว่าง ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาราวภูติพราย

ชื่อเฉิงเทียนพลันสูญเสียร่องรอยของจ้าวเฟิงไป

“อุ๊บ”

ทันใดนั้น ฝ่าเท้าที่ปรากฏสายฟ้าล้อมรอบก็ได้ฟาดเข้ามาที่ปากของเขาอย่างไร้เมตตา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version