บทที่ 373 : ปล่อยพี่จ้าวเฟิงนะ
“เจ้าน่าจะเข้าใจดีว่าในงานชุมนุมเซียนมังกรนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้ทั้งนั้น”
หยูเทียนฮ่าวไม่ยอมแพ้เพียงเพราะคำพูดของซินอู๋เหิน ในทางกลับกันได้เผยสีหน้าตื่นตะลึงและเคร่งเครียดออกมาแทน
เขามีความรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่แสนธรรมดาผู้นี้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีโอกาสที่จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดออกอย่างสมบูรณ์ถึงได้พูดคำเหล่านั้นออกมา
“เจ้าไม่มีทางหนีไปได้ มาสู้กัน หรือมิเช่นนั้นก็ทิ้งตราคำสั่งเซียนมังกรไว้”
หยูเทียนฮ่าวยิ้มเยาะอย่างเย่อหยิ่ง ร่างลอยอยู่เหนือซินอู๋เหินที่นั่งอยู่บนก้อนหินเผชิญหน้ากัน
ทิ้งตราคำสั่งเซียนมังกร?
ซินอู๋เหินถอนหายใจยาวในใจ เรื่องนี้เขาไม่อาจทำได้
ที่เขาเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรนั้นไม่ใช่เพื่อตำแหน่ง แต่เพราะโอกาสที่มากกว่าในการเข้าไปในมรดกยู่ไว่
“มรดกความลับสวรรค์ไม่อาจพลาดได้เด็ดขาด นี่คือโอกาสเดียวในช่วงเวลานี้”
สายตาของซินอู๋เหินส่องประกายระริก
ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของเด็กหนุ่มส่องประกายสีทองจางๆ อันดับของเขานับว่าติดหนึ่งในสิบ
ในงานชุมนุมเซียนมังกรนี้เขาไม่เคยแพ้ กระทั่งเอาชนะยอดฝีมือชั้นแนวหน้าไปสองสามคน
“พลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดแต่กลับมีวาสนามังกรที่แข็งแกร่ง คนผู้นี้ที่จ้าวเฟิงแนะนำมานับว่าไม่ธรรมดาโดยแท้”
กลิ่นอายบนร่างของหยูเทียนฮ่าวด้อยลงอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน พลังฝึกตนของหยูเทียนฮ่าวก็ถูกลดสู่ขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการที่จะเอาเปรียบซินอู๋เหิน
“หากทำเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ซินอู๋เหินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เมื่อได้ยินคำพูดโอ้อวดเช่นนี้ หยูเทียนฮ่าวก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “นับว่ากล้าเอ่ยวาจาโอหังอย่างไร้ยางอายนัก”
ลานประลองชางกู่ แท่นสูง
ผู้สูงศักดิ์หลายคน โดยเฉพาะหยูซิงเฉินกำลังมองไปยังการเผชิญหน้ากันระหว่างหยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหิน
ซินอู๋เหินในงานชุมนุมเซียนมังกรนับเป็นม้ามืดที่พิเศษเทียบเท่ากับจ้าวเฟิง
หยูเทียนฮ่าวคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีป ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำล้วนเป็นจุดสนใจ
“เจตจำนงจิตวิญญาณของหยูเทียนฮ่าวเทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้ พลังฝึกตนถูกกดลงสู่ระดับเดียวกับอีกฝ่าย นับว่าคู่ต่อสู้ของเขายังเผชิญกับความยากลำบากในระดับหนึ่ง”
“ทว่าซินอู๋เหินผู้นี้ดูไม่ธรรมดาราวกับมีวิชามาร เจตจำนงลึกล้ำยิ่งนัก มีท่าทีราวกับปรมาจารย์ มักจะใช้พลังฝึกตนที่ด้อยกว่าในการเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ”
ผู้สูงศักดิ์หลายคนรู้สึกสนใจ
ผู้ไร้เทียมทานใต้ผืนฟ้า
หยูเทียนฮ่าวเคลื่อนไหว วาดมือหนึ่งสร้างฝ่ามือแสงยิ่งใหญ่งดงามขึ้นจากความว่างเปล่า เต็มไปด้วยเจตจำนงที่แรงกล้า บดขยี้ทำลายทุกสิ่ง
ชัดเจนว่าฝ่ามือในพลังขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ต้องประหลาดใจ
ด้วยความเชื่อมั่นที่มหาศาล สามารถทำลายขวัญกำลังใจของคู่ต่อสู้ได้ในเสี้ยววินาทีพุ่งแหวกอากาศออกไป
ฝ่ามือไร้สิ้นสุด
ซินอู๋เหินเยือกเย็นไม่ตกใจ หนึ่งมือไพล่หลัง หนึ่งมือวาดออกอย่างเชื่องช้า ปรากฏภาพลวงตาในความว่างเปล่าขึ้น
พลังฝ่ามือปรากฏขึ้นเป็นระลอกคลื่น ใสกระจ่างไร้สีสัน ไม่มีพลังธาตุใดๆ อยู่อย่างชัดเจน
ฟุ่บ ครืนนน
การโจมตีของหยูเทียนฮ่าวที่มักจะจัดการคู่ต่อสู้ในหนึ่งกระบวนท่า เมื่อเผชิญหน้ากับซินอู๋เหินก็ราวกับตกลงสู่ใจกลางน้ำ วน เชื่องช้าและอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง
กระบวนท่าแรก
การสลายพลังนั้นไม่ได้มีความสนใจใจดึงดูดเช่นที่คิดไว้
ซินอู๋เหินยืนอยู่ที่เดิม เข่าย่อลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยังคงไพล่หลัง ยื่นมืออีกข้างออก เรือนผมสีดำพลิ้วไหวไปกับสายลม ท่าทางแปลกประหลาดราวกับปรมาจารย์
เอ๋?
ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่บนแท่นสูงชะงักไป อุทานออกมาด้วยความตกใจ
ไม่หวั่นไหว เยือกเย็น
ซินอู๋เหินให้ความรู้สึกราวกับผิวน้ำที่ราบเรียบ ราวกับไม่ใช่เด็กหนุ่มเยาว์วัยทว่าเป็นปรมาจารย์มากประสบการณ์
พรสวรรค์ที่ธรรมดายิ่งนัก ทั้งยังไม่มีพลังสายเลือดที่แข็งแกร่ง
ด้วยร่างกายที่แสนธรรมดานั้น ราวกับเหยียบย่างไปบนดอกบัว ต่อสู้กับอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ราวสัตว์ประหลาดทั้งหลายจำนวนมาก
“น่าสนใจ”
นัยน์ตาของหยูเทียนฮ่าวปรากฎจิตต่อสู้ลุกโชน พลังเจตจำนงที่มองไม่เห็นกระทั่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า ส่งเสียงตวาดดังลั่น ทะยานร่างไปยังซินอู๋เหินที่อยู่เบื้องหน้า
การต่อสู้ระยะประชิด
ซินอู๋เหินยังคงไพล่หนึ่งมือไว้เบื้องหลังอย่างไร้อารมณ์ อีกหนึ่งมือวาดออกอย่างวุ่นวายเชื่องช้า ราวกับเพียงโบกมือเล่นๆ
เปรี้ยง
ในเสี้ยววินาที ซินอู๋เหินและหยูเทียนฮ่าวได้ปะทะกันหลายฝ่ามือ
ในยามนี้ หยูเทียนฮ่าวได้กระตุ้นเจตจำนงที่ไม่อาจมองเห็น พลังโจมตีของแต่ละฝ่ามือกระทั่งแข็งแกร่งกว่าเก่า
การปะทะกันตรงๆ นั้น แม้ว่าจะมีระดับพลังเท่ากัน ซินอู๋เหินก็เหมือนจะรับมือไม่ได้อยู่บ้าง
จะอย่างไร หยูเทียนฮ่าวก็มีพลังผู้ไร้คู่ต่อสู้ใต้ผืนฟ้า ใช้ตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง โอหังเหยียดหยามผู้อื่น เอาชนะบดขยี้ทุกคน
“เป็นวิชาเจตจำนงที่ทรงพลังยิ่งนัก จิตตั้งมั่นนี้เหนือเจตจำนงของวิชาอื่นๆ ในระดับเดียวกัน”
สีหน้าของซินอู๋เหินเคร่งเครียด เข้าใจว่าคู่ต่อสู้ในยามนี้ของตนเหนือกว่าที่เคยมีมาในอดีต
ฟุบ
การเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไป ฝ่ามือหลอมรวมกับการเคลื่อนไหวร่างกาย วิชาฝ่ามือและเจตจำนงหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่ง
ในยามนั้น ซินอู๋เหินให้ความรู้สึกราวกับกลมกลืนไปกับฟ้าดินแก่ผู้มอง ความลึกล้ำแห่งธรรมชาติแห่งแม่น้ำและกระแสน้ำแห่งมหาสมุทรได้หลอมรวม
การโจมตีที่แข็งแกร่งของหยูเทียนฮ่าวได้ถูกการเคลื่อนไหวของเขาสลายลงอย่างช้าๆ
เปรี้ยง เปรี้ยง
คนทั้งสองต่อสู้กันในระยะประชิดอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น รอบกายเต็มไปด้วยลูกหลง ราวกับตกลงสู่น้ำ วนใต้หุบเหวลึก
บนที่นั่งผู้ชม หลายคนได้มองไปอย่างนิ่งอึ้ง สูดลมหายใจลึก
ที่ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่ทั้งสองปะทะกัน หินใหญ่ใต้ฝ่าเท้ายังไม่ได้พังทลายลง มีเพียงรอยเท้าปรากฏขึ้นบางส่วนเท่านั้น
ดังนั้นอาจเห็นได้ว่า การควบคุมพลังของทั้งสองนั้นเก่งกาจเพียงใด
ดาราเคลื่อนคล้อย
ซินอู๋เหินใช้วิชาฝ่ามือใหม่ หมุนวนผลักดัน สร้างคลื่นพลังเป็นระลอกไปยังการโจมตีของหยูเทียนฮ่าว
“กระบวนท่านี้น่าสนใจ”
ร่างของหยูเทียนฮ่าวพุ่งวูบ ร่างโซเซเล็กๆ เกือบจะโดนการโจมตีของซินอู๋เหินไป
รวมทั้งนี่ยังเป็นเพราะเขามีเจตจำนงที่ลึกล้ำ หากเป็นยอดอัจฉริยะผู้อื่นคงกลายเป็นเช่นสุนัขที่จมกองอุจจาระของขอทานไปแล้ว
ซินอู๋เหินไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ก้าวเท้าใช้อีกหนึ่งกระบวนท่า เสีวยนอ้าวเจตจำนงของฝ่ามือและร่างกายราวกับไหลผ่านร่างกายไปอย่างไร้สิ่งกีดขวาง เข้าสู่ท้องน้อยของหยูเทียนฮ่าว
ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีใดก็ล้วนแล้วแต่ใช้แก่นแท้ ปราณจิตวิญญาณทั้งหมด ทว่ากลับไม่ใช่การโจมตีเพียงอย่างเดียว
อุ้บ
ตั้งแต่เริ่มสู้กันมา หยูเทียนฮ่าวถูกซินอู๋เหินตอบโต้ ร่างสั่นสะท้านเป็นครั้งแรกต้องล่าถอยออกไปหลายก้าว
“ไม่ธรรมดาจริงๆ…”
โลหิตของหยูเทียนฮ่าวให้ความรู้สึกราวกับจะระเบิดออก จิตต่อสู้ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น
พลังฝึกตนของเขาค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้อย่างช่วยไม่ได้
สุดท้ายแล้วซินอู๋เหินก็เริ่มรับมือไม่ได้ ต้องล่าถอยไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ในเสี้ยววินาทีส่งแรงออกมานับพันจินนับว่ายากจะรับมือ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเจตจำนงของอีกฝ่ายลึกล้ำ เหนือกว่าจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งดาบทั่วไป
“หมื่นรากย้อนคืน”
ซินอู๋เหินถูกไล่ต้อนให้ต้องใช้ทั้งสองมือ ส่งระลอกคลื่นที่ไม่อาจมองเห็นออกมา หมุนวนไปมา มีทั้งความแข็งและความอ่อนนุ่มในเวลาเดียวกัน
สายตาของผู้คนจับจ้องไปยังฝ่ามือที่ถูกส่งออกเป็นระลอกเหล่านั้น สร้างรูปลักษณ์ลวงตาขนาดใหญ่ในอากาศ
ผู้ไร้คู่ต่อสู้ใต้ผืนฟ้า
พลังฝ่ามือของหยูเทียนฮ่าวสามารถบดขยี้ทุกสิ่งได้ ภูเขาในระยะหนึ่งร้อยหลาถูกทำลายจนกลายเป็นฝุ่นผงไป
ทว่า
มือทั้งสองของซินอู๋เหินสัมผัสอย่างแผ่วเบา ทั่วทั้งร่างปรากฏสนามพลังที่ไม่อาจมองเห็น เมื่อพลังทั้งหมดเหล่านั้นเข้าใกล้ก็ถูกดึงดูดกลืนและเปลี่ยนแปลงไป
“ด้วยพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด ทว่าสามารถหลอมละลายพลังโจมตีของขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มของข้าได้หรือ?”
หยูเทียนฮ่าวเปลี่ยนแปลงสีหน้าไปเป็นตื่นตะลึง
แน่นอนว่าซินอู๋เหินสามารถสลายการโจมตีที่รุนแรงของเขาได้ นับว่าแข็งแกร่งในการป้องกัน ทว่าก็ไม่อาจที่จะคุกคามหยูเทียนฮ่าวที่พลังฝึกตนเพิ่มเป็นขั้นผู้วิเศษแท้ได้
นอกจากนั้น ซินอู๋เหินยังต้องใช้ทั้งสองมือในการต่อสู้
ในอดีต การเผชิญหน้ากับคนในระดับเดียวกัน หรือคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าในขั้นเล็กๆ ซินอู๋เหินจะใช้มือเพียงข้างเดียว
บนแท่นสูง
ผู้สูงศักดิ์หลายคนอุทานออกมาด้วยความตกใจกับการต่อสู้ระหว่างซินอู๋เหินและหยูเทียนฮ่าว
“พวกเจ้าคงจะมองออกว่าตั้งแต่ซินอู๋เหินเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรมาก็ได้ปกปิดพลังฝึกตนอยู่ตลอด พลังฝึกตนในยามนี้ของเขาอยู่ที่ขั้นผู้วิเศษแท้ ทว่าสิ่งที่ผิดปกติคือเขามีเพียงพรสวรรค์ที่ธรรมดาดาษดื่นและไม่มีพลังสายเลือด”
รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวทองแดงเอ่ยขึ้น
“ซินอู๋เหินผู้นี้บนร่างต้องมีความลับบางอย่างอยู่แน่นอน”
ผู้สูงศักดิ์ไป๋หยุนเอ่ยชื่นชมขึ้น พลันตระหนักถึงบางสิ่งได้
เมื่อเห็นว่าความสนใจของผู้คนเปลี่ยนไปที่ซินอู๋เหินแทนจ้าวหยูเฟ่ย ชายชราก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กๆ
“เขาให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเขาเต็มไปด้วยประสบการณ์และมีเจตจำนงที่ลึกล้ำ เสวียนอ้าวที่หลอมรวมเข้ากับการโจมตีของเขานั้นอยู่ในระดับที่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของพวกเราที่จะสามารถทำได้”
หยูซิงเฉินมุ่นคิ้วเล็กๆ จ้องมองไปยังซินอู๋เหินอย่างตั้งใจ
ซินอู๋เหินผู้นี้มิคาดในสถานการณ์ที่ปกปิดพลังฝึกตนอยู่ยังสามารถรับมือกับหยูเทียนฮ่าวได้ แม้ว่าฝ่ายหลังจะใช้เพียงพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มก็ตาม”
“สิ่งที่มีโอกาสเป็นไปได้นั้นคือ หากเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่เข้าใจในเคล็ดลับหัวใจแห่งวิชา มีประสบการณ์การฝึกตนมากมายและเจตจำนงในการเข้าใจหยินหยางแห่งขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หากให้เขาฝึกฝนใหม่ตั้งแต่แรก แม้ว่าจะไม่มีพรสวรรค์และพลังสายเลือด จะนับว่าธรรมดาสามัญได้หรือ?”
ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนเอ่ยวิเคราะห์ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
“นี่นับเป็นข้อสันนิษฐานที่ดี ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เป็นที่สุด พรสวรรค์ สายเลือด แม้ว่าจะยิ่งใหญ่ ทว่าก็ไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งสำคัญคือโอกาสครั้งใหญ่ ก่อนหน้ามิใช่ว่าผู้นำลัทธิมารจันทราชาดก็มีพรสวรรค์ธรรมดาและไม่มีพลังสายเลือดหรือ?”
ผู้สูงศักดิ์หลายคนเห็นด้วย
เมื่อมองไปยังประวัติศาสตร์ของทวีป กรณีพิเศษเช่นซินอู๋เหินก็ใช่ว่าจะไม่มี
ในแม่น้ำ
ใจกลางดินแดนน้ำแข็ง
จ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อยืนกอดกันอยู่ที่เดิม
ยิ่งเวลาผ่านไป ปิงเว่ยเซียนจื่อก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น ปราณจิตวิญญาณในร่างของจ้าวเฟิงทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้วที่จ้าวเฟิงเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเป็นการเผาไหม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
การเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ พลังของมันย่อมมากมาย มีพลังในการหลอมละลายการแช่แข็งอย่างมาก
และ
พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงยังกลืนกินเปลี่ยนแปลงพลังความเย็นของปิงเว่ยเซียนจื่ออย่างต่อเนื่อง มรดกสายเลือดนั้นราวกับได้รับพลังเพิ่มขึ้น
“สตรีน่ารังเกียจผู้นี้ไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการไร้ยางอายในการแช่แข็งข้า”
จ้าวเฟิงไม่เคยตกต่ำถึงเพียงนี้ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง
ถูกสตรีน้ำแข็งผู้นี้กอดและต้องหลอมละลายน้ำแข็งมาเป็นเวลานาน เขาก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้ว
เพียงแต่ ร่างกายของเขาถูกแช่แข็ง ทำให้พลังไม่มีทางออก จึงไม่กล้าที่จะเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณตรงๆ เลย
เปรี้ยง ตูม
ใกล้บริเวณแม่น้ำ พื้นดินได้สั่นสะท้านพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
น้ำในแม่น้ำส่องแสงหลากสี พุ่งสูงขึ้นไปร้อยหลา ดรุณีงดงาม ผิวกายขาวใสในอาภรณ์สีม่วงสวยลอยอยู่กลางอากาศ ผ้าคลุมไหมพลิ้วไหว ดูสูงส่งเจริญตา
“หยูเฟย เหตุใดเจ้าจึงออกมาจากการปิดด่านฝึกตนเร็วนัก”
โม่เทียนอี้ตกใจ
“พี่จ้าวเฟิงอยู่ที่ใด?”
นัยน์ตาใสกระจ่างของจ้าวหยูเฟ่ยส่องประกายสว่างเจิดจ้า
ทันใดนั้นนางก็รับรู้ได้ มองไปยังดินแดนอันหนาวเหน็บ อากาศเย็นเยียบเข้มข้น
ใจกลางของดินแดนน้ำแข็งนั้น จ้าวเฟิงได้กอดกับสตรีงดงามเย็นชาผู้หนึ่ง ถูกแช่แข็งอยู่ด้วยกัน
ภาพนั้นได้ทำให้หัวใจของนางหนาวเยือกและหล่นวูบอย่างไม่อาจอธิบาย
“ปล่อยพี่จ้าวเฟิงนะ”
หลังจากที่เห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน นัยน์ตาของเด็กสาวก็เย็นเยียบ ร่างพุ่งวูบกลายเป็นแสงหลากสี มุ่งตรงไปยังใจกลางดินแดนแห่งความหนาวเหน็บ
ฟุ่บ ครืนนน
ระหว่างการบินของจ้าวหยูเฟ่ยได้ปรากฏพลังปราณจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลขึ้น บนท้องฟ้าปรากฏม่านหมอกหลากสีขึ้นในระยะหนึ่งร้อยลี้ อัจฉริยะในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายคนรับรู้ได้ รู้สึกหวาดกลัวขึ้น
“เป็นกลิ่นอายที่แข็งแกร่งนัก ราวกับการเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ของขั้นนายเหนือแท้”
ปิงเว่ยเซียนจื่อที่รัดร่างของจ้าวเฟิงแน่นกัดฟันขาวแน่น พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งได้ถูกแสงสีฟ้าเย็นเยียบไหลผ่าน พลังความเย็นในอาณาเขตเหมันต์เพิ่มขึ้นอีกครั้ง