Skip to content

King of Gods 374

King Of Gods

บทที่ 374 : มุมมองของปักษา

ปิงเว่ยเซียนจื่อรับรู้ถึงการมาถึงของจ้าวหยูเฟ่ย กระตุ้นการโคจรของสายเลือดสร้างชั้นน้ำแข็งหนา ในเวลาสั้นๆ เพิ่มความเย็นในชั้นบรรยากาศจนเข้าสู่ระดับที่น่าหวาดกลัว

นางเตรียมตัวไว้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดที่จะมาช่วยเหลือก็ต้องถูกแช่แข็งไปด้วยกัน

ด้วยเหตุผลนี้ โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงเข้าไปช่วยเหลือจ้าวเฟิง

ใจกลางอาณาเขตที่หนาวเหน็บนั้น ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปยากที่จะสั่นคลอนมันได้แม้เพียงเล็กน้อย ทั้งยังมีโอกาสได้รับผลจากความหนาวเย็นของอากาศอีก

“ศิษย์น้องหยูเฟ่ย ระวัง”

พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองสีหน้าแปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน แม้ต้องการจะห้ามทว่าก็ไม่ทันเวลา

ในด้านความเร็ว จ้าวหยูเฟ่ยได้เหนือกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแดนเหนืออย่างโม่เทียนอี้ไปแล้ว

ไม่นาน

จ้าวหยูเฟ่ยได้เข้าไปในอาณาเขตที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ยิ่งเข้าใกล้เท่าใด พลังความเย็นที่ไม่อาจมองเห็นก็จะหนาแน่นขึ้นระดับหนึ่ง

ที่ใจกลางนั้น แม้จะเป็นขั้นผู้วิเศษแท้ก็ยากที่จะขยับเคลื่อนไหวได้

ผิวกายขาวใสของจ้าวหยูเฟ่ยส่องแสงสว่าง พลังความเย็นที่เข้าใกล้ร่างกลับไม่อาจที่จะแช่แข็งนางให้หยุดอยู่กับที่ได้

ทั่วทั้งร่างของนางปรากฏม่านหมอกหลากสีขึ้นในระยะหนึ่งลี้ ดึงดูดไอสวรรค์รอบด้าน ให้ความรู้สึกราวกับเป็นพลังของขั้นนายเหนือแท้

พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองมองร่างของจ้าวหยูเฟ่ยที่พุ่งเข้าไปในอาณาเขตเย็นเยียบไม่หยุดอย่างจนใจ

ในยามนี้

พลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟ่ยทำให้ร่างกายของนางพิเศษอย่างมาก ราวกับเป็นครึ่งวิญญาณ เหนือกว่าระดับของเลือดเนื้อทั่วไป ผิวกายยังคงปรากฏชั้นน้ำแข็งที่ส่งไอความเย็นออกมา

สลาย!

จ้าวหยูเฟ่ยตวาดเสียงเบา มือขาวปรากฏแสงส่องประกายหลากสี ราวกับมีดหลากสี กลับกลายเป็นเงานับร้อย ตัดผ่านชั้นน้ำแข็งเข้าไปอย่างรุนแรง

ฟุ่บ เปรี้ยง

พื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งชั้นนอกได้ปรากฏรอยแตกเล็กๆ ขึ้น บางส่วนกระทั่งแตกออก

“เป็นพลังที่รุนแรงยิ่งนัก ทุกการเคลื่อนไหวการกระทำสามารถหลอมรวมกับไอสวรรค์ได้อย่างมาก”

พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองนิ่งอึ้งไปอย่างช่วยไม่ได้

จ้าวหยูเฟ่ยมุ่งหน้าต่อไป พลังรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง

แม้ว่าขอบเขตพลังฝึกตนของจ้าวหยูเฟ่ยจะอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่ม ความสามารถในการดูดกลืนหลอมรวมไอสวรรค์กลับสามารถเทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้แล้ว

“อย่าแม้แต่จะคิด ด้วยตัวเจ้าเพียงคนเดียว จะทำลายชั้นน้ำแข็งของข้าได้หรือ?”

บนร่างงดงามที่ส่องประกายเย็นเยียบของปิงเว่ยเซียนจื่อส่องแสงเย็นเยียบมากขึ้น ชั้นน้ำแข็งรอบกายซ่อมแซมตนเองอย่างรวดเร็ว

ไอลมเย็นเยียบได้พุ่งตรงไปยังจ้าวหยูเฟ่ยอย่างรุนแรง

จ้าวหยูเฟ่ยอุทานออกมาครั้งหนึ่ง ใช้วิชาออกต่อต้านลมเย็นเยียบนี้ พลังความเย็นสะท้อนกลับ

ในด้านของพลังนั้น ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเทียบจ้าวหยูเฟ่ยกับปิงเว่ยเซียนจื่อ ผู้ที่นับเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ มันย่อมมีความแตกต่างอยู่

ทว่า

ปิงเว่ยเซียนจื่อได้มองข้ามสิ่งหนึ่งไป จ้าวเฟิงที่ถูกนางแช่แข็งอยู่เองก็เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนที่หก นับเป็นบุคคลในระดับเดียวกับนางอย่างสมบูรณ์

นางได้แบ่งความสนใจไปรับมือกับจ้าวหยูเฟ่ย ทำให้จ้าวเฟิงมีเวลาหายใจหายคอบ้าง

ในช่วงเวลานั้นเอง จ้าวเฟิงได้เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณบางส่วนอย่างรุนแรง ระเหยชั้นน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนร่างอย่างรวดเร็ว

“สายฟ้าเร้นลับ”

ผิวกายของจ้าวเฟิงปรากฏกลีบดอกไม้อัสนีขึ้นซ้อนทับกัน ค่อยๆ ผลิแยกและระเบิดอย่างรุนแรงต่อเนื่อง

เปรี้ยง เปรี้ยง

เสียงระเบิดรุนแรงที่สั่นคลอนฟ้าดินดังขึ้นจากชั้นน้ำแข็งโดยที่จ้าวหยูเฟ่ยสามารถ ‘เชื่อมต่อภายนอกกับภายใน’ ได้สำเร็จ

ในยามนั้น ในระยะหนึ่งร้อยลี้รอบด้านสามารถได้ยินเสียงระเบิดได้ ราวกับเกิดการถล่มของภูเขาน้ำแข็ง

พื้นที่โดยรอบที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งได้พังทลายลงชั้นแล้วชั้นเล่า

สายฟ้าเร้นลับมีแรงระเบิดที่น่าพรั่นพรึง ปิงเว่ยเซียนจื่อเป็นผู้แรกที่ได้รับผลนั้นเมื่อนางกอดจ้าวเฟิงอยู่

ระยะมันใกล้เกินไป

ร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อชาหนึบ ร่างงดงามส่องประกายเย็นเยียบกระเด็นปลิวออกไปหลายฟุต มุมปากปรากฏรอยโลหิตไหลย้อย

“การเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณนับว่าทรงพลังโดยแท้ ‘สายฟ้าเร้นลับ’ นี้ในระหว่างที่ข้าถูกแช่แข็งได้หลอมรวมแก่นแท้ของมรดกอัสนี ศิลาสายฟ้าเร้นลับ และคัมภีร์บุปผาลึกลับเข้าไป เป็นอาวุธทำลายชั้นน้ำแข็งที่ดี”

ร่างของจ้าวเฟิงสร้างคลื่นกระแสไฟฟ้ารุนแรงชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่ว่าที่ใดที่เหยียบย่าง พื้นดินจะแตกแยกไหม้เกรียมเป็นสีดำ

ราวกับว่าเด็กหนุ่มได้กลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างไป

ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่เฝ้ามองอยู่อย่างชื่อเฉิงเทียนและแฝดไท่หยุนต่างนิ่งอึ้งไป

จะอย่างไรกระบวนท่าสายฟ้าเร้นลับนั่นได้ถูกใช้ออกโดยการเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ พลังย่อมน่าหวาดกลัว

ก่อนหน้า เนื่องจากจ้าวเฟิงถูกแช่แข็ง ไม่มีทางไหลออกของพลังจึงไม่กล้าที่จะระเบิดมันออกอย่างผลีผลามด้วยกังวลว่าจะได้รับบาดเจ็บ

“พี่จ้าวเฟิง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

จ้าวหยูเฟ่ยหลอมละลายประกายแสงเย็นเยียบและคลื่นกระแสไฟฟ้ารอบด้านไปหาจ้าวเฟิง

“หยูเฟ่ย เจ้ามาพอดี”

คนทั้งสองยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เผชิญหน้ากับปิงเว่ยเซียนจื่อ

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า

จ้าวเฟิงไม่เอ่ยวาจา ใช้วิชาดวงตาโจมตีเผาไหม้ร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อ

จิตใจของปิงเว่ยเซียนจื่อเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กระตุ้นการโคจรของกายหยกฉวนปิง สลายพลังเพลิงอัสนีในร่างไป

“เจ้าตัวเลวร้ายนี่…”

สีหน้าของปิงเว่ยเซียนจื่อขาวซีดลงเล็กๆ ลมหายใจถี่กระชั้นจนทรวงอกขาวสะท้อนขึ้นลง

การต่อสู้ก่อนหน้า วิธีการของปิงเว่ยเซียนจื่อนับว่าทุ่มสุดตัว กระทั่งไม่ลังเลที่จะเสียศักดิ์ศรี ใช้การกอดในการแช่แข็งบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังคงล้มเหลว

ไม่เพียงเท่านั้น

ปิงเว่ยเซียนจื่อยังใช้ไอสวรรค์ไปแล้วจำนวนมาก อาการบาดเจ็บในจิตใจก็ได้ขยายกว้างขึ้น

“หนึ่งอยู่ในระดับของผู้ถูกเลือก อีกหนึ่งก็เป็นผู้ถูกเลือกโดยแท้จริง หากไม่หนียามนี้คงไม่มีโอกาส”

ปิงเว่ยเซียนจื่อเปลี่ยนแผน ร่างกลับกลายเป็นประกายแสงหนีไปในทิศตะวันตก”

จ้าวเฟิงมองตามร่างที่หายไปของปิงเว่ยเซียนจื่อโดยไม่ไล่ตามไป

เขาและจ้าวหยูเฟ่ยเพิ่งจะบรรลุขั้นไม่นาน ยังไม่ได้สร้างความสมดุล ไม่เหมาะกับการต่อสู้ยืดเยื้อ

นอกจากนั้นจ้าวเฟิงยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับปิงเว่ยเซียนจื่อได้หรือไม่ พลังสายเลือดธาตุเหมันต์ของปิงเว่ยเซียนจื่อ รวมทั้งกายหยกฉวนปิงของนางนับว่ายากที่จะรับมือจริงๆ ยากที่จะโจมตีและตามจับได้โดยง่าย

พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงสามารถต่อต้านและดูดกลืนการโจมตีธาตุน้ำแข็งของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ พลังป้องกันทรงพลัง แทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้รับผลจากการโจมตีธาตุน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย

แต่พลังของจ้าวหยูเฟ่ยได้สร้างความประหลาดใจให้แก่จ้าวเฟิง เพียงแค่ทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ ทว่ากลับมีพลังในระดับของผู้ถูกเลือกได้

เหนือแม่น้ำที่เต็มไปด้วยคลื่นลมรุนแรง

เหลือเพียงจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยที่ยืนเคียงข้างกัน ราวกับคู่ของเทพเซียนที่เหมาะสมกันจนทำให้ทุกคนอิจฉา

ปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียนได้ล่าถอยไปแล้ว

จ้าวเฟิงมองตามไปยังทิศทางที่ผู้ถูกเลือกทั้งสองหลบหนีไป มุมปากเหยียดออกท่าทีครุ่นคิด รับรู้ถึงบางสิ่งที่น่าสนุก

ปิงเว่ยเซียนจื่อเพียงหลบหนีออกไปหนึ่งร้อยลี้ ที่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ได้ปรากฏร่างของสตรีชุดสีสดใส ในมือถือแส้หลากสี ผ้าคลุมไหมพลิ้วไหวไปกับสายลม กระโปรงผ่าสูงเผยให้เห็นเรียวขายาวขาวครึ่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวอ่อนช้อย นัยน์ตาใสกระจ่างทั้งคู่บริสุทธิ์ไร้ซึ่งตำหนิ

“ตันไถ่หลันเยว่ นี่เจ้าหมายความว่าอันใดกัน?”

ปิงเว่ยเซียนจื่อเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กๆ

“ฮี่ฮี่ ปิงเว่ยเซียนจื่อ เจ้าได้ลอบโจมตีสัตว์เลี้ยงของข้า ข้ายังไม่ได้เอาคืน”

แส้หลากสีในมือของตันไถ่หลันเยว่ถูกฟาดออก ใต้ฝ่าเท้าปรากฏเงาหมอกสีขาว ครอบคลุมระยะหนึ่งร้อยหลา

โฮกกกก

เสียงคำรามที่สั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณดังขึ้นจากที่ที่เด็กสาวยืนอยู่ แรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็นได้ทำให้ลมหายใจของปิงเว่ยเซียนจื่อติดขัดเล็กๆ

ในกลุ่มหมอกนั้นได้ปรากฏร่างที่ใหญ่โตราวกับภูเขาลูกเล็กๆ ขึ้น รูปลักษณ์คล้ายมังกรดิน ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเหลืองน้ำตาล เหนือศีรษะปรากฏเขาผลึกสีเหลืองขึ้น ปากกว้างลึกไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุด ใหญ่โตเสียยิ่งกว่าบ้านทั่วไป

เมื่อเทียบกับมังกรดินตัวใหญ่นั่นแล้ว ร่างของตันไถ่หลันเยว่ก็เล็กจ้อยราวกับมด

ทว่านางกลับเป็นเจ้าของของ ‘มังกรดินเขาเดียว’ ที่แข็งแกร่งนี่

“ฮี่ฮี่ ตู๋เจี่ยว เรามาจัดการเจ้าคนที่คอยซ้ำเติมคนล้มกันเถอะ”

ตันไถ่หลันเยว่เผยสีหน้ายินดีออกมา วาดแส้หลากสียืนบนร่างของมังกรดินเขาเดียว เริ่มโจมตีอีกฝ่าย

การเคลื่อนไหวนั้นราวกับภูเขาลูกหนึ่งที่ถาโถมลง บดขยี้ทุกสิ่ง

ปิงเว่ยเซียนจื่อไม่มีพลังมากมายจนสามารถดูแคลนผู้อื่นได้ทั้งหมดเช่นหยูเทียนฮ่าว ไม่มีร่างกายที่ทรงพลังเช่นชื่อเฉิงเทียน ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ รีบหลบไปด้านข้างล่าถอยอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน

ห่างออกไปหลายสิบลี้ อีกด้านหนึ่ง

การก้าวเท้าของชื่อเฉิงเทียนไม่มั่นคง ก่อนที่จะไปถึงยังภูเขาลูกหนึ่งก็พลันถูกลอบโจมตี

“สวะ… พวกเรารอเจ้ามานานแค่ไหนแล้วชื่อเฉิงเทียน”

แฝดไท่หยุนแย้มยิ้มโหดเหี้ยมบิดเบี้ยว มือจับดาบและกระบี่ ขวางทางของชื่อเฉิงเทียนไว้

ชื่อเฉิงเทียนไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าขายังได้รับบาดเจ็บ อาจกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งหนทางหลบหนี มีเพียงแต่ต้องต่อสู้เท่านั้น

แน่นอนว่าภาพเหล่านั้นได้อยู่ในสายตาของจ้าวเฟิง

ปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียน หลังจากหนีไปจากจ้าวเฟิงก็ถูกลอบโจมตีจากผู้ถูกเลือกคนอื่น

เรื่องนี้ จ้าวเฟิงไม่รู้สึกสงสารแต่อย่างใด

ไม่นาน

จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟ่ย โม่เทียนอี้ และบุรุษหน้าเหลือง คนทั้งสี่ก็ได้รวมตัวกันอีกครั้ง

โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองรู้สึกกระอักกระอวลเล็กๆ

ก่อนหน้า ยามที่จ้าวเฟิงถูกแช่แข็ง พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือ สุดท้ายแล้วเป็นจ้าวหยูเฟ่ยที่ผลีผลามเข้าไปช่วยแบบไม่คิดชีวิต

หลังจากที่อันตรายผ่านพ้นไป จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยบรรลุขั้นสำเร็จ มันอาจกล่าวได้ว่านับเป็นเรื่องน่ายินดี

จ้าวหยูเฟ่ยเพียงบรรลุขั้น ยังต้องการการสร้างสมดุลให้พลังฝึกตนอยู่

จ้าวเฟิงนั้นไม่ต้องสร้างสมดุลให้กับระดับพลังมากหนัก เพราะขอบเขตจิตวิญญาณของเขา รวมทั้งหน่อสำนึกรู้ได้พัฒนามาก่อนการบรรลุขั้นแล้ว

“พี่โม่ พวกท่านไปป้องกันจ้าวหยูเฟ่ยก่อนเถอะ เดี๋ยวข้ามา”

จ้าวเฟิงเอ่ยเพียงไม่กี่คำก่อนจะทิ้งเงาร่างพร่าเลือนไว้เบื้องหลัง ร่างจริงจางหายไปกับอากาศ

จ้าวเฟิงไม่ได้ไล่ตามปิงเว่ยเซียนจื่อ และไม่ได้ไล่ตามชื่อเฉิงเทียน

เด็กหนุ่มไปยังยอดเขาใกล้ๆ ใช้ดวงตาเทพเจ้ามองไปยังหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป

ในหุบเขา

หยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินมือเท้าปะทะกัน ออกกระบวนท่าโจมตีที่สั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณ

การโจมตีของทั้งสองรุนแรงอย่างมาก ในขอบเขตระยะกว่าร้อยหลาเต็มไปด้วยหลุมกว้างหลายแห่ง

“ซินอู๋เหินผู้นี้ปกปิดพลังไว้ลึกยิ่งนัก”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังซินอู๋เหินอย่างวิเคราะห์

เจตจำนงลึกล้ำจำนวนมากบนร่างของซินอู๋เหินราวกับพึ่งพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของฟ้าดิน แก่นแท้ พลังปราณ จิตวิญญาณ ร่างกาย และรูปแบบการเคลื่อนไหวล้วนหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์

ทุกกระบวนท่า ทุกการเคลื่อนไหวล้วนละเอียดอ่อน รีดเค้นพลังทั่วทั้งร่างของซินอู๋เหินออกมา

ไอสวรรค์รอบกายราวกับกลายเป็นพลังของเขา

คู่ต่อสู้ของเขา หยูเทียนฮ่าวมีพลังมหาศาล เพียงความมั่นใจก็เหนือกว่าผู้ใด ราวกับพลังที่มองไม่เห็นของจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งดาบ ตัดผ่านความว่างเปล่า ส่งพลังโจมตีที่น่าหวาดกลัวออกไป

หากให้จ้าวเฟิงเลือกว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่า มันย่อมเป็นหยูเทียนฮ่าวที่มีพลังไร้เทียมทานในงานชุมนุมเซียนมังกร

ทว่าหากจะเอ่ยว่าผู้ใดลึกล้ำกว่า มันย่อมเป็นซินอู๋เหินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

สิบกระบวนท่า… ห้าสิบกระบวนท่า… หนึ่งร้อยกระบวนท่า

จังหวะการต่อสู้ของคนทั้งสอง บางครั้งก็เชื่องช้า บางครั้งก็รวดเร็ว ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสับสนได้อย่างง่ายดาย

ผู้ที่มองการประลองของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเฟิงหรือผู้ที่เฝ้ามองอยู่ในลานประลองชางกู่ต่างก็ตื่นตะลึงอยู่ในใจ

ความแตกต่างคือ

จ้าวเฟิงไม่ได้เฝ้ามองการต่อสู้จากมุมเดียว ดวงตาเทพเจ้าของเขาเปิดออกจนถึงขีดสุด เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างชัดเจน

ภาพที่เขาเห็นบางส่วนนั้นได้ถูกคัดลอกเป็นของตนเองตรงๆ ทำความเข้าใจซ้ำๆ

ดังนั้นแล้ว ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุดนั้นเพียงเพื่อการ ‘คัดลอก’ บางสิ่ง

ในบางครั้ง สตินึกคิดของเขาราวกับหลุดลอยออกจากร่างกาย

ฟุบ

มุมมองสายตาของจ้าวเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลงไป

เขามองลงมาจากเหนือชั้นเมฆ จับจ้องไปยังหยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินที่ต่อสู้กันด้วยมุมมองของปักษา

หยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินรู้สึกราวกับว่ามีสายตาเย็นเยียบคู่หนึ่งมองลงมาจากสวรรค์เบื้องบน

แต่เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองกลับไม่พบสิ่งใด

กระทั่งเมื่อถึงสองร้อยกระบวนท่า การต่อสู้ของทั้งสองก็ได้ตัดสินแพ้ชนะอย่างกะทันหัน

อั่ก

ร่างร่างหนึ่งกระเด็นลอยพลิกตลบ ร่างกระแทกเข้ากับเทือกเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version