บทที่ 374 : มุมมองของปักษา
ปิงเว่ยเซียนจื่อรับรู้ถึงการมาถึงของจ้าวหยูเฟ่ย กระตุ้นการโคจรของสายเลือดสร้างชั้นน้ำแข็งหนา ในเวลาสั้นๆ เพิ่มความเย็นในชั้นบรรยากาศจนเข้าสู่ระดับที่น่าหวาดกลัว
นางเตรียมตัวไว้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดที่จะมาช่วยเหลือก็ต้องถูกแช่แข็งไปด้วยกัน
ด้วยเหตุผลนี้ โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงเข้าไปช่วยเหลือจ้าวเฟิง
ใจกลางอาณาเขตที่หนาวเหน็บนั้น ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปยากที่จะสั่นคลอนมันได้แม้เพียงเล็กน้อย ทั้งยังมีโอกาสได้รับผลจากความหนาวเย็นของอากาศอีก
“ศิษย์น้องหยูเฟ่ย ระวัง”
พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองสีหน้าแปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน แม้ต้องการจะห้ามทว่าก็ไม่ทันเวลา
ในด้านความเร็ว จ้าวหยูเฟ่ยได้เหนือกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแดนเหนืออย่างโม่เทียนอี้ไปแล้ว
ไม่นาน
จ้าวหยูเฟ่ยได้เข้าไปในอาณาเขตที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ยิ่งเข้าใกล้เท่าใด พลังความเย็นที่ไม่อาจมองเห็นก็จะหนาแน่นขึ้นระดับหนึ่ง
ที่ใจกลางนั้น แม้จะเป็นขั้นผู้วิเศษแท้ก็ยากที่จะขยับเคลื่อนไหวได้
ผิวกายขาวใสของจ้าวหยูเฟ่ยส่องแสงสว่าง พลังความเย็นที่เข้าใกล้ร่างกลับไม่อาจที่จะแช่แข็งนางให้หยุดอยู่กับที่ได้
ทั่วทั้งร่างของนางปรากฏม่านหมอกหลากสีขึ้นในระยะหนึ่งลี้ ดึงดูดไอสวรรค์รอบด้าน ให้ความรู้สึกราวกับเป็นพลังของขั้นนายเหนือแท้
พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองมองร่างของจ้าวหยูเฟ่ยที่พุ่งเข้าไปในอาณาเขตเย็นเยียบไม่หยุดอย่างจนใจ
ในยามนี้
พลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟ่ยทำให้ร่างกายของนางพิเศษอย่างมาก ราวกับเป็นครึ่งวิญญาณ เหนือกว่าระดับของเลือดเนื้อทั่วไป ผิวกายยังคงปรากฏชั้นน้ำแข็งที่ส่งไอความเย็นออกมา
สลาย!
จ้าวหยูเฟ่ยตวาดเสียงเบา มือขาวปรากฏแสงส่องประกายหลากสี ราวกับมีดหลากสี กลับกลายเป็นเงานับร้อย ตัดผ่านชั้นน้ำแข็งเข้าไปอย่างรุนแรง
ฟุ่บ เปรี้ยง
พื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งชั้นนอกได้ปรากฏรอยแตกเล็กๆ ขึ้น บางส่วนกระทั่งแตกออก
“เป็นพลังที่รุนแรงยิ่งนัก ทุกการเคลื่อนไหวการกระทำสามารถหลอมรวมกับไอสวรรค์ได้อย่างมาก”
พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองนิ่งอึ้งไปอย่างช่วยไม่ได้
จ้าวหยูเฟ่ยมุ่งหน้าต่อไป พลังรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง
แม้ว่าขอบเขตพลังฝึกตนของจ้าวหยูเฟ่ยจะอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่ม ความสามารถในการดูดกลืนหลอมรวมไอสวรรค์กลับสามารถเทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้แล้ว
“อย่าแม้แต่จะคิด ด้วยตัวเจ้าเพียงคนเดียว จะทำลายชั้นน้ำแข็งของข้าได้หรือ?”
บนร่างงดงามที่ส่องประกายเย็นเยียบของปิงเว่ยเซียนจื่อส่องแสงเย็นเยียบมากขึ้น ชั้นน้ำแข็งรอบกายซ่อมแซมตนเองอย่างรวดเร็ว
ไอลมเย็นเยียบได้พุ่งตรงไปยังจ้าวหยูเฟ่ยอย่างรุนแรง
จ้าวหยูเฟ่ยอุทานออกมาครั้งหนึ่ง ใช้วิชาออกต่อต้านลมเย็นเยียบนี้ พลังความเย็นสะท้อนกลับ
ในด้านของพลังนั้น ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเทียบจ้าวหยูเฟ่ยกับปิงเว่ยเซียนจื่อ ผู้ที่นับเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ มันย่อมมีความแตกต่างอยู่
ทว่า
ปิงเว่ยเซียนจื่อได้มองข้ามสิ่งหนึ่งไป จ้าวเฟิงที่ถูกนางแช่แข็งอยู่เองก็เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนที่หก นับเป็นบุคคลในระดับเดียวกับนางอย่างสมบูรณ์
นางได้แบ่งความสนใจไปรับมือกับจ้าวหยูเฟ่ย ทำให้จ้าวเฟิงมีเวลาหายใจหายคอบ้าง
ในช่วงเวลานั้นเอง จ้าวเฟิงได้เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณบางส่วนอย่างรุนแรง ระเหยชั้นน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนร่างอย่างรวดเร็ว
“สายฟ้าเร้นลับ”
ผิวกายของจ้าวเฟิงปรากฏกลีบดอกไม้อัสนีขึ้นซ้อนทับกัน ค่อยๆ ผลิแยกและระเบิดอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
เปรี้ยง เปรี้ยง
เสียงระเบิดรุนแรงที่สั่นคลอนฟ้าดินดังขึ้นจากชั้นน้ำแข็งโดยที่จ้าวหยูเฟ่ยสามารถ ‘เชื่อมต่อภายนอกกับภายใน’ ได้สำเร็จ
ในยามนั้น ในระยะหนึ่งร้อยลี้รอบด้านสามารถได้ยินเสียงระเบิดได้ ราวกับเกิดการถล่มของภูเขาน้ำแข็ง
พื้นที่โดยรอบที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งได้พังทลายลงชั้นแล้วชั้นเล่า
สายฟ้าเร้นลับมีแรงระเบิดที่น่าพรั่นพรึง ปิงเว่ยเซียนจื่อเป็นผู้แรกที่ได้รับผลนั้นเมื่อนางกอดจ้าวเฟิงอยู่
ระยะมันใกล้เกินไป
ร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อชาหนึบ ร่างงดงามส่องประกายเย็นเยียบกระเด็นปลิวออกไปหลายฟุต มุมปากปรากฏรอยโลหิตไหลย้อย
“การเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณนับว่าทรงพลังโดยแท้ ‘สายฟ้าเร้นลับ’ นี้ในระหว่างที่ข้าถูกแช่แข็งได้หลอมรวมแก่นแท้ของมรดกอัสนี ศิลาสายฟ้าเร้นลับ และคัมภีร์บุปผาลึกลับเข้าไป เป็นอาวุธทำลายชั้นน้ำแข็งที่ดี”
ร่างของจ้าวเฟิงสร้างคลื่นกระแสไฟฟ้ารุนแรงชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่ว่าที่ใดที่เหยียบย่าง พื้นดินจะแตกแยกไหม้เกรียมเป็นสีดำ
ราวกับว่าเด็กหนุ่มได้กลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างไป
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่เฝ้ามองอยู่อย่างชื่อเฉิงเทียนและแฝดไท่หยุนต่างนิ่งอึ้งไป
จะอย่างไรกระบวนท่าสายฟ้าเร้นลับนั่นได้ถูกใช้ออกโดยการเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ พลังย่อมน่าหวาดกลัว
ก่อนหน้า เนื่องจากจ้าวเฟิงถูกแช่แข็ง ไม่มีทางไหลออกของพลังจึงไม่กล้าที่จะระเบิดมันออกอย่างผลีผลามด้วยกังวลว่าจะได้รับบาดเจ็บ
“พี่จ้าวเฟิง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
จ้าวหยูเฟ่ยหลอมละลายประกายแสงเย็นเยียบและคลื่นกระแสไฟฟ้ารอบด้านไปหาจ้าวเฟิง
“หยูเฟ่ย เจ้ามาพอดี”
คนทั้งสองยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เผชิญหน้ากับปิงเว่ยเซียนจื่อ
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า
จ้าวเฟิงไม่เอ่ยวาจา ใช้วิชาดวงตาโจมตีเผาไหม้ร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อ
จิตใจของปิงเว่ยเซียนจื่อเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กระตุ้นการโคจรของกายหยกฉวนปิง สลายพลังเพลิงอัสนีในร่างไป
“เจ้าตัวเลวร้ายนี่…”
สีหน้าของปิงเว่ยเซียนจื่อขาวซีดลงเล็กๆ ลมหายใจถี่กระชั้นจนทรวงอกขาวสะท้อนขึ้นลง
การต่อสู้ก่อนหน้า วิธีการของปิงเว่ยเซียนจื่อนับว่าทุ่มสุดตัว กระทั่งไม่ลังเลที่จะเสียศักดิ์ศรี ใช้การกอดในการแช่แข็งบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังคงล้มเหลว
ไม่เพียงเท่านั้น
ปิงเว่ยเซียนจื่อยังใช้ไอสวรรค์ไปแล้วจำนวนมาก อาการบาดเจ็บในจิตใจก็ได้ขยายกว้างขึ้น
“หนึ่งอยู่ในระดับของผู้ถูกเลือก อีกหนึ่งก็เป็นผู้ถูกเลือกโดยแท้จริง หากไม่หนียามนี้คงไม่มีโอกาส”
ปิงเว่ยเซียนจื่อเปลี่ยนแผน ร่างกลับกลายเป็นประกายแสงหนีไปในทิศตะวันตก”
จ้าวเฟิงมองตามร่างที่หายไปของปิงเว่ยเซียนจื่อโดยไม่ไล่ตามไป
เขาและจ้าวหยูเฟ่ยเพิ่งจะบรรลุขั้นไม่นาน ยังไม่ได้สร้างความสมดุล ไม่เหมาะกับการต่อสู้ยืดเยื้อ
นอกจากนั้นจ้าวเฟิงยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับปิงเว่ยเซียนจื่อได้หรือไม่ พลังสายเลือดธาตุเหมันต์ของปิงเว่ยเซียนจื่อ รวมทั้งกายหยกฉวนปิงของนางนับว่ายากที่จะรับมือจริงๆ ยากที่จะโจมตีและตามจับได้โดยง่าย
พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงสามารถต่อต้านและดูดกลืนการโจมตีธาตุน้ำแข็งของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ พลังป้องกันทรงพลัง แทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้รับผลจากการโจมตีธาตุน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย
แต่พลังของจ้าวหยูเฟ่ยได้สร้างความประหลาดใจให้แก่จ้าวเฟิง เพียงแค่ทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ ทว่ากลับมีพลังในระดับของผู้ถูกเลือกได้
เหนือแม่น้ำที่เต็มไปด้วยคลื่นลมรุนแรง
เหลือเพียงจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยที่ยืนเคียงข้างกัน ราวกับคู่ของเทพเซียนที่เหมาะสมกันจนทำให้ทุกคนอิจฉา
ปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียนได้ล่าถอยไปแล้ว
จ้าวเฟิงมองตามไปยังทิศทางที่ผู้ถูกเลือกทั้งสองหลบหนีไป มุมปากเหยียดออกท่าทีครุ่นคิด รับรู้ถึงบางสิ่งที่น่าสนุก
ปิงเว่ยเซียนจื่อเพียงหลบหนีออกไปหนึ่งร้อยลี้ ที่ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ได้ปรากฏร่างของสตรีชุดสีสดใส ในมือถือแส้หลากสี ผ้าคลุมไหมพลิ้วไหวไปกับสายลม กระโปรงผ่าสูงเผยให้เห็นเรียวขายาวขาวครึ่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวอ่อนช้อย นัยน์ตาใสกระจ่างทั้งคู่บริสุทธิ์ไร้ซึ่งตำหนิ
“ตันไถ่หลันเยว่ นี่เจ้าหมายความว่าอันใดกัน?”
ปิงเว่ยเซียนจื่อเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กๆ
“ฮี่ฮี่ ปิงเว่ยเซียนจื่อ เจ้าได้ลอบโจมตีสัตว์เลี้ยงของข้า ข้ายังไม่ได้เอาคืน”
แส้หลากสีในมือของตันไถ่หลันเยว่ถูกฟาดออก ใต้ฝ่าเท้าปรากฏเงาหมอกสีขาว ครอบคลุมระยะหนึ่งร้อยหลา
โฮกกกก
เสียงคำรามที่สั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณดังขึ้นจากที่ที่เด็กสาวยืนอยู่ แรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็นได้ทำให้ลมหายใจของปิงเว่ยเซียนจื่อติดขัดเล็กๆ
ในกลุ่มหมอกนั้นได้ปรากฏร่างที่ใหญ่โตราวกับภูเขาลูกเล็กๆ ขึ้น รูปลักษณ์คล้ายมังกรดิน ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเหลืองน้ำตาล เหนือศีรษะปรากฏเขาผลึกสีเหลืองขึ้น ปากกว้างลึกไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุด ใหญ่โตเสียยิ่งกว่าบ้านทั่วไป
เมื่อเทียบกับมังกรดินตัวใหญ่นั่นแล้ว ร่างของตันไถ่หลันเยว่ก็เล็กจ้อยราวกับมด
ทว่านางกลับเป็นเจ้าของของ ‘มังกรดินเขาเดียว’ ที่แข็งแกร่งนี่
“ฮี่ฮี่ ตู๋เจี่ยว เรามาจัดการเจ้าคนที่คอยซ้ำเติมคนล้มกันเถอะ”
ตันไถ่หลันเยว่เผยสีหน้ายินดีออกมา วาดแส้หลากสียืนบนร่างของมังกรดินเขาเดียว เริ่มโจมตีอีกฝ่าย
การเคลื่อนไหวนั้นราวกับภูเขาลูกหนึ่งที่ถาโถมลง บดขยี้ทุกสิ่ง
ปิงเว่ยเซียนจื่อไม่มีพลังมากมายจนสามารถดูแคลนผู้อื่นได้ทั้งหมดเช่นหยูเทียนฮ่าว ไม่มีร่างกายที่ทรงพลังเช่นชื่อเฉิงเทียน ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ รีบหลบไปด้านข้างล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน
ห่างออกไปหลายสิบลี้ อีกด้านหนึ่ง
การก้าวเท้าของชื่อเฉิงเทียนไม่มั่นคง ก่อนที่จะไปถึงยังภูเขาลูกหนึ่งก็พลันถูกลอบโจมตี
“สวะ… พวกเรารอเจ้ามานานแค่ไหนแล้วชื่อเฉิงเทียน”
แฝดไท่หยุนแย้มยิ้มโหดเหี้ยมบิดเบี้ยว มือจับดาบและกระบี่ ขวางทางของชื่อเฉิงเทียนไว้
ชื่อเฉิงเทียนไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าขายังได้รับบาดเจ็บ อาจกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งหนทางหลบหนี มีเพียงแต่ต้องต่อสู้เท่านั้น
แน่นอนว่าภาพเหล่านั้นได้อยู่ในสายตาของจ้าวเฟิง
ปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียน หลังจากหนีไปจากจ้าวเฟิงก็ถูกลอบโจมตีจากผู้ถูกเลือกคนอื่น
เรื่องนี้ จ้าวเฟิงไม่รู้สึกสงสารแต่อย่างใด
ไม่นาน
จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟ่ย โม่เทียนอี้ และบุรุษหน้าเหลือง คนทั้งสี่ก็ได้รวมตัวกันอีกครั้ง
โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองรู้สึกกระอักกระอวลเล็กๆ
ก่อนหน้า ยามที่จ้าวเฟิงถูกแช่แข็ง พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือ สุดท้ายแล้วเป็นจ้าวหยูเฟ่ยที่ผลีผลามเข้าไปช่วยแบบไม่คิดชีวิต
หลังจากที่อันตรายผ่านพ้นไป จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยบรรลุขั้นสำเร็จ มันอาจกล่าวได้ว่านับเป็นเรื่องน่ายินดี
จ้าวหยูเฟ่ยเพียงบรรลุขั้น ยังต้องการการสร้างสมดุลให้พลังฝึกตนอยู่
จ้าวเฟิงนั้นไม่ต้องสร้างสมดุลให้กับระดับพลังมากหนัก เพราะขอบเขตจิตวิญญาณของเขา รวมทั้งหน่อสำนึกรู้ได้พัฒนามาก่อนการบรรลุขั้นแล้ว
“พี่โม่ พวกท่านไปป้องกันจ้าวหยูเฟ่ยก่อนเถอะ เดี๋ยวข้ามา”
จ้าวเฟิงเอ่ยเพียงไม่กี่คำก่อนจะทิ้งเงาร่างพร่าเลือนไว้เบื้องหลัง ร่างจริงจางหายไปกับอากาศ
จ้าวเฟิงไม่ได้ไล่ตามปิงเว่ยเซียนจื่อ และไม่ได้ไล่ตามชื่อเฉิงเทียน
เด็กหนุ่มไปยังยอดเขาใกล้ๆ ใช้ดวงตาเทพเจ้ามองไปยังหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป
ในหุบเขา
หยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินมือเท้าปะทะกัน ออกกระบวนท่าโจมตีที่สั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณ
การโจมตีของทั้งสองรุนแรงอย่างมาก ในขอบเขตระยะกว่าร้อยหลาเต็มไปด้วยหลุมกว้างหลายแห่ง
“ซินอู๋เหินผู้นี้ปกปิดพลังไว้ลึกยิ่งนัก”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังซินอู๋เหินอย่างวิเคราะห์
เจตจำนงลึกล้ำจำนวนมากบนร่างของซินอู๋เหินราวกับพึ่งพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของฟ้าดิน แก่นแท้ พลังปราณ จิตวิญญาณ ร่างกาย และรูปแบบการเคลื่อนไหวล้วนหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์
ทุกกระบวนท่า ทุกการเคลื่อนไหวล้วนละเอียดอ่อน รีดเค้นพลังทั่วทั้งร่างของซินอู๋เหินออกมา
ไอสวรรค์รอบกายราวกับกลายเป็นพลังของเขา
คู่ต่อสู้ของเขา หยูเทียนฮ่าวมีพลังมหาศาล เพียงความมั่นใจก็เหนือกว่าผู้ใด ราวกับพลังที่มองไม่เห็นของจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งดาบ ตัดผ่านความว่างเปล่า ส่งพลังโจมตีที่น่าหวาดกลัวออกไป
หากให้จ้าวเฟิงเลือกว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่า มันย่อมเป็นหยูเทียนฮ่าวที่มีพลังไร้เทียมทานในงานชุมนุมเซียนมังกร
ทว่าหากจะเอ่ยว่าผู้ใดลึกล้ำกว่า มันย่อมเป็นซินอู๋เหินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
สิบกระบวนท่า… ห้าสิบกระบวนท่า… หนึ่งร้อยกระบวนท่า
จังหวะการต่อสู้ของคนทั้งสอง บางครั้งก็เชื่องช้า บางครั้งก็รวดเร็ว ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสับสนได้อย่างง่ายดาย
ผู้ที่มองการประลองของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเฟิงหรือผู้ที่เฝ้ามองอยู่ในลานประลองชางกู่ต่างก็ตื่นตะลึงอยู่ในใจ
ความแตกต่างคือ
จ้าวเฟิงไม่ได้เฝ้ามองการต่อสู้จากมุมเดียว ดวงตาเทพเจ้าของเขาเปิดออกจนถึงขีดสุด เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างชัดเจน
ภาพที่เขาเห็นบางส่วนนั้นได้ถูกคัดลอกเป็นของตนเองตรงๆ ทำความเข้าใจซ้ำๆ
ดังนั้นแล้ว ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุดนั้นเพียงเพื่อการ ‘คัดลอก’ บางสิ่ง
ในบางครั้ง สตินึกคิดของเขาราวกับหลุดลอยออกจากร่างกาย
ฟุบ
มุมมองสายตาของจ้าวเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
เขามองลงมาจากเหนือชั้นเมฆ จับจ้องไปยังหยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินที่ต่อสู้กันด้วยมุมมองของปักษา
หยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินรู้สึกราวกับว่ามีสายตาเย็นเยียบคู่หนึ่งมองลงมาจากสวรรค์เบื้องบน
แต่เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองกลับไม่พบสิ่งใด
กระทั่งเมื่อถึงสองร้อยกระบวนท่า การต่อสู้ของทั้งสองก็ได้ตัดสินแพ้ชนะอย่างกะทันหัน
อั่ก
ร่างร่างหนึ่งกระเด็นลอยพลิกตลบ ร่างกระแทกเข้ากับเทือกเขา