Skip to content

King of Gods 416

King Of Gods

บทที่ 416 : หนึ่งศรตัดสินผลแพ้ชนะ

“…เมืองที่มีการป้องกันแข็งแกร่ง ภายในมีสมบัติล้ำค่าอยู่ การส่งกองทัพไปไม่อาจทะลวงฝ่าได้ แต่เหล่าโจรขโมยที่ชาญฉลาดกลับได้ครอบครองสมบัตินั้นโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงนิด!”

ยามที่จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาของผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นก็ส่องประกายเจิดจ้า

นัยน์ตางดงามของเย่หยานหยูส่องประกายวูบขึ้น สายตาที่มองไปยังจ้าวเฟิงปรากฏความประหลาดใจและชื่นชมอยู่

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไม่ได้เอ่ยบอกแผนการกลยุทธ์ใดๆ ทว่าแนวทางการคิดนี้กลับสามารถทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด นับว่าตรงต่อความต้องการ

หอคอยพฤกษาปีศาจเป็นเหมือนกับเมืองที่มีการป้องกันแข็งแกร่ง

แม้อัจฉริยะจากทั้งสามสำนักจะร่วมมือกันโจมตีหอคอยพฤกษาปีศาจก็ยากที่จะทะลวงฝ่าไปได้ ทำเพียงแค่เพิ่มความสูญเสียให้มากขึ้นเท่านั้น

แต่เป้าหมายของผู้คนมีเพียงการครอบครอง ‘ผลปีศาจพฤกษา’ ไม่จำเป็นต้องฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจ

“หึ! หอคอยพฤกษาปีศาจนั่นมีพลังต่อสู้เกือบเทียบได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ผู้ใดจะสามารถรับการโจมตีของมันได้ตรงๆ กัน? ทั้งยังมาพูดคุยปรึกษาเรื่องที่จะขโมยผลปีศาจพฤกษาที่ใต้จมูกมันเช่นนี้จะต่างกับการรนหาที่ตายอย่างไร?”

หยูลั่วเค้นเสียงกลั้วหัวเราะ

พลังต่อสู้ของหอคอยพฤกษาปีศาจนับว่าน่าพรั่นพรึง บางทีอาจไม่มีอัจฉริยะคนใดที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นที่จะสามารถรับมือกับการโจมตีของมันได้ ชายหนุ่มชุดสีเลือดก่อนหน้านับว่าเป็นตัวอย่างหนึ่ง

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ไม่ทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ

ความคิดของเขานั้นแม้จะเต็มไปด้วยความเสี่ยง ทว่าเมื่อเทียบกับการโถมโจมตีหอคอยพฤกษาปีศาจแล้วยังง่ายกว่านับสิบเท่า

หยูลั่วผู้นั้นมีอคติต่อเขา จ้าวเฟิงเกียจคร้านเกินกว่าจะอธิบาย

“วิธีการนี้มีความเป็นไปได้ แม้ว่าร่างกายของหอคอยพฤกษาปีศาจและพลังต่อสู้จะเกือบเทียบเคียงได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทว่ามันไม่อาจที่จะเคลื่อนไหวได้ ทั้งขนาดยังใหญ่โต ย่อมต้องมีความเทอะทะงุ่มง่ามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง หากส่งอัจฉริยะที่เป็นยอดฝีมือในการเคลื่อนไหวเข้าไปก็นับว่ามีโอกาสสำเร็จอย่างมากจริงๆ”

เย่หยานหยูเอ่ยตอบรับพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“จริงด้วย! จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของหอคอยพฤกษาปีศาจคือขนาดที่ใหญ่โตและความงุ่มง่ามของมัน ไร้ซึ่งความคล่องตัว”

“หากหลีกเลี่ยงการปะทะกับปีศาจต้นไม้ก็ย่อมสามารถลดความเสี่ยงได้มาก ดูเหมือนว่าความคิดก่อนหน้าของเราจะไปผิดทางจริงๆ”

ความคิดของจ้าวเฟิงได้รับการยอมรับจากผู้คนอย่างรวดเร็ว

อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้าเพียงติดอยู่ในกรอบทำให้คิดไม่ถึง

ทว่าจ้าวเฟิงอยู่ในสถานะของผู้ชม ‘เฝ้าดู’ ทุกการเคลื่อนไหวการกระทำของสามยอดสำนัก ดังนั้นจึงสามารถค้นพบได้ว่าปัญหาอยู่ที่ส่วนใด

จ้าวเฟิงเชื่อว่าแม้เขาจะไม่เอ่ยปาก หลังจากที่ล้มเหลวและวิเคราะห์กันใหม่ อัจฉริยะจากสามยอดสำนักก็ย่อมสามารถคิดถึงแนวทางที่ถูกต้องได้อย่างไม่ยากลำบาก

แน่นอนว่า

‘ตำหนักมารจันทรา’ ที่อยู่อีกด้านยังไม่ได้ล่าถอย ทว่ากำลังเฝ้ามองหอคอยพฤกษาปีศาจอยู่ห่างออกไป

“ศิษย์พี่จง ร่างกายของหอคอยพฤกษาปีศาจใหญ่โตยิ่งนัก เบื้องหน้ามัน มนุษย์เช่นพวกเราเป็นเหมือนมดปลวกไร้ค่า หากให้อัจฉริยะที่เชี่ยวชาญในด้านการเคลื่อนไหวลอบเร้นเข้าไป ใช้ความคล่องแคล่วฉกฉวยเอา ‘ผลปีศาจพฤกษา’ มาได้ก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ”

บุรุษร่างผอมจากตำหนักมารจันทราเอ่ยเสนอขึ้นอย่างนอบน้อม

“ความคิดนี้เป็นไปได้ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่ในระดับหนึ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับการปะทะกับมันตรงๆ แล้วยังง่ายดายกว่านับสิบเท่า”

จงหว่านเอ๋อร์ผงกศีรษะตอบรับในทันที

ในป่า

หลังจากที่สามยอดสำนักล่าถอยห่างออกไปก็เริ่มปรึกษาหารือกันเพื่อจะโจมตีอีกครั้ง

ไม่นาน

ห้าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้จากสามสำนักก็รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อพูดคุยถึงแผนรับมือ

“การลอบเร้นผ่านหอคอยพฤกษาปีศาจแล้วขโมย ‘ผลปีศาจพฤกษา’ มาจำต้องเป็นอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้จึงจะมีโอกาสมาก ในเรื่องนี้ พวกเราแต่ล่ะฝ่ายส่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่เชี่ยวชาญในด้านการเคลื่อนไหวออกมาหนึ่งคน คนที่เหลือล้อมรอบคอยโจมตีเบี่ยงเบนความสนใจของหอคอยพฤกษาปีศาจ”

จงหว่านเอ๋อร์เอ่ยเสนอขึ้น

อัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ทั้งห้าที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด

สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างส่ง ‘เย่หยานหยู’ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นพลังฝึกตนหรือความเร็วการเคลื่อนไหวของนางก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่สุด

ตำหนักผาดำส่ง ‘ชื่อกุ้ย’ ออกมา พลังของเขาแม้จะด้อยกว่าผู้เป็นศิษย์พี่อย่างโม่ก่าน ทว่าในด้านความเร็วการเคลื่อนไหวอาจกล่าวได้ว่ารวดเร็วยิ่งกว่า

ตำหนักมารจันทรามีเพียง ‘จงหว่านเอ๋อร์’ ที่มีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ และแม้ว่าชายหนุ่มชุดสีเลือดจะไม่ตาย ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือความเร็วการเคลื่อนไหวของนางก็อยู่ในระดับเดียวกับเย่หยานหยู เหนือกว่าอีกฝ่าย

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทะยานร่างออกไปในทิศทางที่แตกต่างกันสู่ป่า มุ่งหน้าสู่หอคอยพฤกษาปีศาจ

ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อีกสองคน รวมทั้งอัจฉริยะอีกจำนวนมากได้เริ่มโจมตีไปยังรอบด้าน ดึงดูดความสนใจของหอคอยพฤกษาปีศาจเอาไว้

เปรี้ยง ตูม ตูม

หอคอยพฤกษาปีศาจวาดกิ่งไม้ของมัน กำลังมหาศาลถูกฟาดออก พื้นดินสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง รอบด้านเต็มไปด้วยดินหินที่สาดกระจาย สายลมรุนแรงกรีดเสียงคำราม

ทว่าในยามนี้

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ไม่ได้เข้าไปปะทะกับหอคอยพฤกษาปีศาจตรงๆ ใช้ความเร็วสูงสุดของตนเองสร้างเงาแสงพร่าเลือน

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ทุกครั้งที่ลำต้นและกิ่งไม้ของต้นไม้ปีศาจโจมตีออกก็จะฟาดโดนเพียงเงาร่างที่หลงเหลือของทั้งสามเท่านั้น

มันก็เหมือนกับสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่โตที่พยายามใช้พัดอันใหญ่ในการกวาดพัดเหล่ายุงและแมลงวันที่มายุ่มย่ามอยู่รอบกาย

ทว่าแม้จะดูเหมือนเรียบง่าย ในใจของสามผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้กลับบีบรัดแน่น ทุกการโจมตีได้ทำให้พวกเขาหวาดผวายิ่งนัก

หากถูกต้นไม้ปีศาจตบเขาสักที แม้จะเป็นผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ก็ย่อมกลายเป็นเพียงกองเนื้อบี้แบน ไม่อาจที่จะมีชีวิตรอดไปได้

เหล่าอัจฉริยะจากสามสำนักที่รับผิดชอบการเบี่ยงเบนความสนใจอยู่ห่างออกไปต่างลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา

“ทั้งความคิดและวิธีการนั้นง่ายที่จะพูด ทว่าการจะลงมือทำกลับยากเย็นยิ่งนัก อย่างน้อยก็ต้องมีพลังในขั้นนายเหนือแท้จึงจะมีโอกาสทดลอง หรือมิเช่นนั้น ด้วยพลังลมรุนแรงและแรงกดดันนั้น ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงย่อมไม่อาจเข้าไปใกล้ร่างของมันได้ ทั้งการโจมตีของต้นไม้ปีศาจนั้นยังเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงต้องร่างสั่นสะท้านเคลื่อนไหวติดขัดแล้ว”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน เฝ้ามองสถานการณ์ของสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้

แม้ว่าจะเข้าใจถึงความและวิธีการ จ้าวเฟิงกลับไม่ต้องการที่จะลงมือ

แรงลมรอบกายของต้นไม้ปีศาจยักษ์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไม่อาจต่อต้านได้ หรือแม้จะสามารถต้านทานได้ ความเร็วการเคลื่อนไหว รวมทั้งความคล่องแคล่วย่อมด้อยลง

พลังของสามยอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้แข็งแกร่ง ยอดเยี่ยมในการเคลื่อนไหว จึงมีความมั่นใจในการทดลอง

เวลาผ่านไปเล็กน้อย

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้เข้าใกล้ร่างของต้นไม้ปีศาจยักษ์ขึ้นเล็กน้อยอย่างยากลำบากและหวาดผวา

ในระยะทางที่น้อยกว่าหนึ่งร้อยจ้างกลับดูห่างไกลยิ่งนัก ทุกๆ ย่างก้าวต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของพุ่มไม้หนา

แต่ด้วยการหลบเลี่ยงไปเบื้องหน้า ทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายดูขัดเคืองอยู่บ้างราวกับถูกมัดมือมัดเท้า หลายครั้งยังโจมตีถูกลำต้นและพุ่มไม้ของตนเองเสียอีก

“มาถึงแล้ว!”

นัยน์ตาของเย่หยานหยูเยือกเย็น อยู่ในสถานะสมบูรณ์พร้อมที่สุด หลบหลีกการโจมตีของพุ่มไม้ใกล้ๆ อย่างต่อเนื่อง

‘ผลปีศาจพฤกษา’ ในสายตาของนางห่างออกไปเพียงไม่กี่ฟุต

ทว่าระยะห่างเพียงไม่กี่ฟุตนี้กลับถูกป้องกันด้วยพุ่มไม้หนาแน่นของหอคอยพฤกษาปีศาจ เหลือช่องว่างเพียงเล็กน้อย

เย่หยานหยูจำต้องคำนวณเส้นทางที่แม่นยำเพื่อฉกฉวยเอา ‘ผลปีศาจพฤกษา’ มาแล้วจึงล่าถอยออกไปได้อย่างปลอดภัย

“เก้าจันทร์เสี้ยวพิฆาต!”

ในมือของเย่หยานหยูปรากฏดาบล้ำค่าที่โปร่งใสส่องประกายขึ้น สร้างเงาดาบแสงจันทร์ขึ้นเจ็ดแปดเสี้ยวแยกกระจายออกไปรอบกาย แสงส่องประกายเจิดจ้าราวกับควบรวมเอาแสงจันทรามาไว้ที่เดียว

เงาดาบแสงจันทร์เหล่านั้นได้ปรากฏซ้อนทับกันเป็นชั้น แสงจันทร์ส่องกระจายไปทั่วบริเวณ ประกายดาบส่องสว่างถึงฟากฟ้า พลังอำนาจไร้ที่ติ หลังจากที่ใช้ออกไปสามสี่ดาบ เย่หยานหยูก็สามารถทำลายพุ่มไม้เล็กๆ ได้ เข้าใกล้ผลปีศาจพฤกษาเข้าไปอีก

เมี้ยว เมี้ยว!

ในเวลาเดียวกัน แมวขโมยตัวน้อยก็ได้หายไปจากที่เดิม ใช้การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วรวดเร็วอย่างยากจะเทียบเคียงกระโจนขึ้นไปบนร่างของหอคอยพฤกษาปีศาจ

“แมวนี่ไม่ธรรมดาเลย!”

อัจฉริยะหลายคนตื่นตะลึง อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้

ขนาดร่างกายของแมวขโมยตัวน้อยเล็กเกินไป ลำต้นและพุ่มไม้ของสัตว์ประหลาดไม่อาจขัดขวางมันไว้ได้

ในด้านของความคล่องแคล่วการเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อเทียบกับสามผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้แล้วยังเหนือกว่า กระทั่งสามารถฉกฉวยช่องว่างเล็กๆ ระหว่างพุ่มไม้เข้าไปแย่งของได้

ฟุ่บ!

แมวขโมยตัวน้อยไปถึงก่อนสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ คว้าเอา ‘ผลปีศาจพฤกษา’ ไปผลหนึ่ง อ้าปากกว้างกลืนเข้าไป

‘ผลปีศาจพฤกษา’ นั้นมีขนาดเท่ากับแตงโมผลหนึ่ง ใหญ่กว่าร่างกายของแมวขโมยตัวน้อย

ทว่ามันกลับสามารถกลืนเข้าไปได้ทั้งลูก

ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเฟิงหรือเย่หยานหยูก็ไม่แปลกใจ

“แมวขโมยตัวน้อย ‘ผลปีศาจพฤกษา’ นั่นให้เจ้า เจ้าช่วยข้าขโมยมาสัก 1-2 ผลที”

เย่หยานหยูพุ่งกายไปยังเป้าหมายอื่น

“ผลปีศาจพฤกษานั่นถูกกินไปโดยแมวขโมยตัวน้อยจริงๆ”

จ้าวเฟิงที่อยู่ห่างออกไปเห็นอย่างชัดเจน

ในกระบวนการเติบโตของแมวขโมยตัวน้อย มันได้กลืนกินสมบัติล้ำค่าเข้าไปมากมาย ทรัพยากรที่มันใช้ไปนั้น เมื่อเทียบกับผู้เป็นนายอย่างจ้าวเฟิงแล้วยังมากมายกว่า

“เรื่องนี้คงไม่อาจยืมมือแมวขโมยตัวน้อยได้อีกเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เย่หยานหยูสงสัย”

จ้าวเฟิงตัดสินใจแยกตัวออกจากกลุ่ม ทะยานร่างตรงไปยังต้นไม้ปีศาจตรงๆ

ฟุ่บ!

ร่างของเด็กหนุ่มกลับกลายเป็นเงาอัสนีพร่าเลือน เขานั่งอยู่บนสามปทุม ความเร็วการเคลื่อนไหวไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้มากนัก

“ไอ้หนู! เจ้าคิดจะทำอันใด?”

อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเห็นการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

เด็กสาวคนหนึ่งแม้อยากจะขัดขวาง ทว่าก็ไม่ทันกาล

จ้าวเฟิงไม่เอ่ยคำพูดใด ทว่าลงมือทำในทันที

“ไอ้เด็กนี่อยากตายหรือไง?”

หยูลั่วลอบหัวเราะกับตนเอง

“ศิษย์พี่หยูลั่ว ท่านรีบไปขวางเขาเร็วเข้า”

เด็กสาวที่เคยพูดคุยกับจ้าวเฟิงรู้สึกร้อนรนอยู่ในใจ

หยูลั่วเตรียมตัวจะปฏิเสธ ทว่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนความคิด ผงกศีรษะตอบรับ”ได้ ข้าทำได้เพียงสนับสนุน ทำเช่นนี้ก็คงพอช่วยเหลือเย่หยานหยูได้บ้าง”

ฟุ่บ!

หยูลั่วทะยานร่างออกไป ในฉากหน้าดูเหมือนไปช่วยเหลือจ้าวเฟิง ทว่าความจริงคือพยายามไม่เร่งความเร็วมากนัก

“ข้าอยากรู้นักว่าไอ้เด็กนี่จะเล่นกลอันใดอีก”

หยูลั่วกำลังเร่งรีบวางแผนให้จ้าวเฟิงตกลงสู่กับดัก

หากจ้าวเฟิงเจ้าไปในระยะของหอคอยพฤกษาปีศาจแล้ว หยูลั่วมั่นใจว่าอีกฝ่ายยากที่จะมีชีวิตรอดไปได้ มีสิบชีวิตก็ตายสิ้นทั้งสิบ

“ไป ไป…”

มุมปากของหยูลั่วปรากฏรอยยิ้มยโสขึ้น

ทว่า

จ้าวเฟิงได้หยุดอยู่เหนือระยะการโจมตีของหอคอยพฤกษาปีศาจ ไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าอีก

เด็กหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเคลื่อนไหว

ฟุ่บ!

จ้าวเฟิงใช้ดวงตาเทพเจ้า นัยน์ตาซ้ายสีฟ้าหม่นหมองราวกับเป็นภาพลวงตา แพร่ขยายออกอย่างไร้จุดสิ้นสุด ราวกับโลกทั้งใบเป็นเพียงแผนที่ ในวินาทีนั้น จ้าวเฟิงก็รับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของลำต้น พุ่มไม้ ใบไม้ ราก รวมทั้งกิ่งก้านของหอคอยพฤกษาปีศาจ ไอสวรรค์ที่ส่งถ่ายของมันล้วนอยู่ในการรับรู้ของเขา

ทุกรายละเอียดจ้าวเฟิงไม่พลาด ทุกการเคลื่อนไหวล้วนอยู่ในสายตา

“สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ผ่านเข้าไปเบี่ยงเบนความสนใจของปีศาจต้นไม้แล้ว การลงมือของข้าย่อมง่ายดายขึ้น”

ในยามนี้ บนร่างของจ้าวเฟิงได้ปรากฏความเยือกเย็นและมั่นใจขึ้นอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้

ฟุ่บ

ในมือของเด็กหนุ่มพลันปรากฏ ‘คันศรหลัวซุย’ ขึ้นพร้อมกับศรดอกหนึ่งที่พุ่งออกจากแล่งเด็ดขาดรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด

ทิศทางของศรดอกนั้นได้ถูกควบคุมโดยดวงตาเทพเจ้าอย่างละเอียด ความแม่นยำของมันอาจกล่าวได้ว่าไร้ที่ติ

ในสายตาปรากฏเพียงภาพของลูกธนูที่รวดเร็วราวสายฟ้า ยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งทะลวงไปยังหอคอยพฤกษาปีศาจก่อนจะถูกสายลมรุนแรงลดทอนกำลังของมันลง ทะลวงผ่านช่องว่างของพุ่มไม้ใบไม้ไป

เปรี้ยง ฟุ่บ!

ศรหลัวซุยมุ่งตรงไปยังลำต้นขนาดยักษ์ เข้าไปยังศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยพลังรุนแรงโดยที่แทบไม่เบี่ยงไปจากทิศทางเดิม! หลังจากที่ทะลวงผ่านการป้องกันไปชั้นแล้วชั้นเล่า ศรหลัวซุยที่มีพลังสายฟ้าไหลเวียนดอกนั้นได้ ‘เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี’ ซ้ำๆ ราวกับเรือกระดาษท่ามกลางทะเลคลั่ง หากถูกสัมผัสแม้เพียงเล็กน้อยก็พร้อมที่จะพังทลายลง

ฟุ่บ!

ศรหลัวซุยข้ามผ่านม่านป้องกันหลายชั้น พลังถูกลดทอนถดถอยจนถึงขีดสุด ประกายสายฟ้าที่ส่องสว่างได้มืดดับลง

ฉึก!

เมื่อกระแสไฟฟ้าหายไปจนหมด ศรหลัวซุยก็ได้แทงเข้าไปใน ‘ผลปีศาจพฤกษา’ หนึ่งผลพอดี ทั้งยังไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อพลังงานในผลเลยแม้แต่น้อย

“นี่… มันเป็นไปได้อย่างไร?”

อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง รวมทั้งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ หยูลั่ว เบิกตากว้างมองภาพนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version