Skip to content

King of Gods 422

King Of Gods

บทที่ 422 : เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง

ในพื้นที่ว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด

ที่นี่ได้ปรากฏพื้นดินขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก ให้ความรู้สึกลึกลับไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าจะสามารถติดตามไปยังโบราณกาลได้

ห่างออกไป

บนยอดเขาสูงใหญ่ที่ดูราวกับสัตว์อสูรโบราณที่ยืนหยัดอย่างทระนงท่ามกลางทะเลหมอก ครอบคลุมพื้นที่ไปหลายร้อยลี้

ยอดเขาสูงปรากฏภาพให้เห็นเพียงเลือนราง แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนเผยให้เห็นว่าบนยอดเขาได้มีพื้นที่ว่างรูปสี่เหลี่ยม ด้านบนปรากฏตำหนักงดงามหรูหราอยู่ ส่วนที่ดูโดดเด่นที่สุดคือลานประลองที่ใจกลาง ยอดเขาที่รายล้อมอยู่รอบด้านราวกับเป็นแท่นยืนขนาดยักษ์

ระดับของมัน เมื่อเทียบกับลานประลองชางกู่ที่งานชุมนุมเซียนมังกรจัดแล้วยังใหญ่กว่านับสิบเท่า

ในยามนี้

ทะเลสาบกระจกที่เผยให้เห็นภาพเงาที่เต็มไปด้วยสีสันสั่นกระเพื่อมไม่สม่ำเสมอได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าลานประลองยักษ์นี้

เงาเหล่านั้น เมื่อเทียบกับภาพมรดกในงานชุมนุมเซียนมังกรที่ปรากฏขึ้นแล้วยังใหญ่โตกว่าหลายเท่า ทั้งยังชัดเจนกว่ามาก

ความแตกต่างคือ

ที่นี่มีเงาขนาดใหญ่ลอยอยู่

นอกจากนั้น ในเงาขนาดใหญ่นั้นยังสามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนบางส่วนได้

ภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้เผยให้เห็นภาพให้หุบเขาลึกลับ โดยเฉพาะ ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ ร่างยักษ์และเงาร่าง ‘เล็กจ้อย’ อื่นๆ ที่ดูไม่ชัดเจนเท่าใด

ในงานชุมนุมนี้ได้ปรากฏกลิ่นอายทรงพลังขึ้นหลายร่าง ทว่าทั้งหมดกลับเงียบงันไร้ซึ่งเสียงใด

บนท้องฟ้า

‘สามกลิ่นอายที่ทรงพลัง’ นั้นแทบจะไม่ต้องอธิบาย ให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นเทพเจ้า ทำให้ฟ้าดินต้องสั่นสะท้าน

ไม่มีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ ไม่มีไอสวรรค์ที่สั่นสะท้าน ทว่ากลับสร้างแรงกดดันไปยังจิตวิญญาณ รวมทั้งสตินึกคิด ทำให้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ต่อหน้า ‘สามผู้ทรงอำนาจ’ นั้น กระทั่งไอสวรรค์ก็ยังราวกับจับตัวแข็ง

ร่างหลายร่างในงานชุมนุมราวกับกำลังทำความเคารพเทพเซียนอยู่ มองขึ้นไปยังแหล่งพลังทั้งสามเหนือศีรษะ

สามตัวตนอันเป็นที่สุดนั้นเป็นสองบุรุษหนึ่งสตรี

แบ่งออกเป็น

โครงกระดูกสีทองที่มีปราณมรณะเข้มข้น ครอบครองบัลลังก์กระดูกที่สร้างขึ้นจากคนตาย

สตรีในชุดสีเงินยวงราวแสงจันทราดูสูงศักดิ์ ราวกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ สายลมพัดโอบนางอย่างหนาแน่น

ผู้ฝึกตนปราณมารร่างสีดำสนิท รอบด้านปรากฏสายลมดำมืดราวกับอยู่ในหลุมดำ

สามตัวตนอันเป็นที่สุดนี้ดูคล้ายกับเทพเจ้าทั้งสามที่ลงมายังโลกมนุษย์

“การไหลออกของพลังของซากปรักหักพังสือเฉิง เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วมากกว่าหลายเท่าตัวนั้น บางส่วนของซากปรักหักพังจึงปรากฏจุดอ่อนขึ้นอย่างชัดเจน”

เสียงที่ดังขึ้นมาจากสตรีอาภรณ์สีเงินยวงฟังดูราวกับเสียงแห่งธรรมชาติที่ดังก้อง

“เฉิงเยว่เซียนกู ดูเหมือนว่าสำนักจันทร์กระจ่างของท่านจะมีความคิดในการโจมตีซากปรักหักพังสือเฉิงอยู่สินะ”

โครงกระดูกสีทองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง

“จากการสังเกตก่อนหน้า พลังวิญญาณในซากปรักหักพังสือเฉิงสามารถต่อต้านได้อีกราวๆ หนึ่งร้อยปี ดูจากภาพนี้ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายคงเหลืออย่างมากเพียงยี่สิบปี หากสามยอดสำนักของเราร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเข้าไปได้”

บุรุษร่างสีดำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว

จู่โจมซากปรักหักพังสือเฉิง

สีหน้าของสองตัวตนอันเป็นที่สุดแปรเปลี่ยนไป รู้สึกหวั่นไหวไม่น้อย ทว่ามีท่าทีหวาดกลัวอย่างชัดเจน

ด้านล่างมียอดฝีมือบางคนได้ยินบทสนาบนฟากฟ้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ หัวใจปรากฏความอึ้งตะลึง แปรเปลี่ยนสีหน้าไป

ซากปรักหักพังสือเฉิง เมื่อเทียบกับมรดกอื่นๆ แล้วยังนับว่ามีระดับค่อนข้างสูง ทั้งเจ้าของยังขาดเพียงหนึ่งก้าวก็จะสามารถบรรลุขอบเขตเทวะเร้นลับได้

สำหรับสำนักทั่วไปแล้ว การที่สามารถได้รับการยอมรับจากมรดกก็นับว่าเป็นโอกาสอันหาได้ยากแล้ว

บางทีคงมีเพียงสำนักระดับสองดาวทั้งสามที่จะมีโอกาสในการโจมตี ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้”

ซากปรักหักพังสือเฉิงนั้นเต็มไปด้วยสมบัติทรัพยากรมากมาย มีทั้งสัตว์อสูรโบราณล้ำค่า และมรดกที่ทรงพลังในระดับสุดยอด มูลค่าของพวกมันไม่อาจประเมินค่าได้

สำหรับบางสำนัก การที่สามารถควบคุม ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้นับว่าเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการ สามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด

“หากสามสำนักร่วมมือกันโจมตีซากปรักหักพังสือเฉิงไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าตราบเท่าที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงยังคงอยู่ พวกเราก็ไม่อาจผลีผลามลงมือได้”

สตรีในอาภรณ์สีเงินเผยสีหน้ายุ่งยากใจ ปรากฏความเย็นชาและเคารพนับถือปะปนกันไป

ในสามตัวตนอันเป็นที่สุด กลิ่นอายของนางทรงพลังที่สุด

นางเอ่ยอย่างเชื่องช้า”แม้ว่าพลังของเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือของเซียนจื่อเย่จะถดถอยไปกว่าเก้าในสิบส่วนในเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมา สามารถควบคุมซากปรักหักพังได้น้อยลงเรื่อยๆ ทว่ามันหลอมรวมอยู่กับแกนกลางของซากปรักหักพัง ลำบากเพียงหนึ่งความคิดก็สามารถทำลายซากปรักหักพังลงได้ ผลที่ตามมาเลวร้ายยิ่งนัก”

โครงกระดูกสีทองและบุรุษผิวดำเงียบงันลง ไม่เอ่ยปฏิเสธ

แม้ว่าทั้งสามสำนักร่วมมือกันจะสามารถทะลวงเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิงได้ ทว่าสิ่งที่ได้รับมาไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เสียไปได้

จะอย่างไร เจ้าของเศษเสี้ยววิญญาณดวงนั้นก็คือ ‘เซียนจื่อเย่’ ผู้ครอบครองสายเลือดจากรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ มีหรือที่จะยินยอมให้คนนอกเข้าไปวุ่นวาย

“นั่นคือสิ่งที่เซียนกูเห็น เช่นนั้นควรจะวางแผนเช่นไร?”

โครงกระดูกสีทองเอ่ยถาม

“แม้ว่าเราจะไม่สามารถเข้าไปได้ ทว่าก็สามารถลองพยายามทำให้การไหลออกของพลังของซากปรักหักพังเพิ่มขึ้นได้ ใช้เวลาอีกเพียงไม่กี่ปีหรือสั้นกว่านั้น เศษเสี้ยววิญญาณย่อมจางหายไป เราสามารถเข้าไปในซากปรักหักพังได้อย่างปลอดภัย”

สตรีในชุดสีเงินเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม

โครงกะดูกสีทองและชายผิวดำผงกศีรษะเล็กๆ

การเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิงนั้นไม่อาจทำได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องอดทน

เวลาหลายปีสำหรับพวกเขาอาจเป็นเพียงการปิดด่านฝึกตนสักครั้งเท่านั้น

“เพียงแต่ว่าคราวนี้ดูเหมือนเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจะรับรู้ได้ถึงขีดจำกัด จึงใช้วิธีการบางอย่างฝืนเปิดช่องทางขึ้นเชื่อมต่อไปยังสถานที่ห่างไกลอีกแห่ง”

คิ้วของสตรีในชุดสีเงินมุ่นเข้าหากัน ปรากฏความกังวลขึ้นจางๆ

“ท่านกำลังกังวลว่า… สิ่งที่ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเสียพลังไปมากคือการเลือกผู้สืบทอดหรือ?”

โครงกระดูกสีทองเอ่ย

“ใช่แล้ว ดูจากสัญญาณในยามนี้ ราวกับว่ามีคนนอกอยู่ 1-2 คนที่เข้ามาในซากปรักหักพัง ควรจะรู้ว่าเพราะผู้ก่อตั้งของพวกเราสามสำนักมีความสัมพันธ์บางอย่างอยู่กับเซียนจื่อเย่ ทำให้มีโอกาสเข้าไปในซากปรักหักพัง”

สตรีชุดสีเงินผงกศีรษะ

“โอ้ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าอัจฉริยะในหลายปีมานี้ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเลยแม้แต่น้อย ทำให้ไม่อาจครอบครองซากปรักหักพังนี้ได้จริงๆ”

บุรุษผิวดำส่ายศีรษะ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นบ้าง

หลายรุ่นที่ผ่านมาของสามสำนัก บุตรหลานแห่งสรวงสวรรค์ปรากฏขึ้นมากหมายนับไม่ถ้วน

“มันมีคำกล่าวว่าเซียนจื่อเย่มีสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอยู่ การที่นางเลือกผู้สืบทอดบางทีคงต้องการให้มีสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอยู่เช่นกัน”

“รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ? ผายลมไร้สาระอันใดกัน สายเลือดลึกลับนั่นมาจากยุคสมัยบรรพกาล มีหรือที่จะปรากฏขึ้นได้โดยง่าย สามสำนักของเรา ในเวลาหมื่นปีเพียงแค่ได้ยินคำเล่าลือว่าปรากฏขึ้นหนึ่งคน จากนั้นก็หายไปไร้ซึ่งร่องรอย…”

“ใช่ ในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดใดก็ล้วนแล้วแต่ต่อต้านลิขิตสวรรค์ ตัวอย่างเช่นมรดกความลับสวรรค์ที่เป็นมรดกหลักของสำนักความลับสวรรค์ที่แบ่งแยกออกเป็นสาขากระจัดกระจายไปทั่ว แพร่กระจายไปทั่วดินแดนทั้งหลายในจักรวาล ตระกูลกวงที่เป็นอันดับเจ็ดในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณมีคำเล่าลือว่าสามารถเกิดใหม่ได้ ครอบครองพลังแห่งกาลเวลา ในอดีตเมื่อตระกูลกวงตายก็ได้สร้างโลกใบใหญ่ขึ้นในยุคของพวกเรา เวลาผ่านไปนับพันปี แทบจะไม่หลงเหลือสิ่งใด…”

เมื่อเอ่ยถึง ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ สามตัวตนอันเป็นที่สุด ณ ที่แห่งนั้นก็ปรากฏความสั่นไหว

กระทั่งในอดีต ‘เซียนจื่อเย่’ ยังมีสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอยู่จางๆ

ซากปรักหักพังสือเฉิง

ในหุบเขาลึกลับ อัจฉริยะจากสามสำนักกำลังปรึกษากันถึงแผนการโจมตี ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ ครั้งที่สอง

ณ ที่นั้นมีอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ปรากฏขึ้นห้าคน อัจฉริยะขั้นผู้วิเศษแท้จำนวนมากยืนเรียงกัน ดูทรงพลังอย่างมาก

ผู้ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ‘เย่หยานหยู’ และ ‘จงหว่านเอ๋อร์’ บาดเจ็บสาหัส

“หากศิษย์พี่ลู่เทียนอี้รีบมา โอกาสที่จะสามารถฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจได้จะเพิ่มขึ้น เราสามารถรอเขาหรือส่งคนออกไปหา”

เย่หยานหยูเอ่ยเสนอ

ก่อนหน้านางใช้ ‘พลังเซียน’ โจมตี เชื่อว่าด้วยพลังฝึกตนของ ‘ลู่เทียนอี้’ หากไม่อยู่ห่างไกลจนเกินไปย่อมสามารถรับรู้ได้

“หึ ในซากปรักหักพังสือเฉิง ประสาทสัมผัสได้ถูกปิดกั้นอย่างมาก ลู่เทียนอี้ผู้นั้นไม่ปรากฏตัวขึ้น ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเขาถูกมรดกใดรั้งตัวไว้อยู่หรือไม่”

“บางทีลู่เทียนอี้อาจจะเข้าไปในซากวิหารแล้ว เราไม่อาจรอได้นานนัก”

ตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราทั้งสองพลันคัดค้านในทันที

ความแข็งแกร่งของลู่เทียนอี้ไม่ธรรมดาอย่างมาก หากคนผู้นั้นมาถึง แม้ตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราร่วมมือกันก็คงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ

“เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร เราจะรอครึ่งวันก่อนเพื่อให้ผู้ที่บาดเจ็บมีโอกาสฟื้นตัว หากศิษย์พี่ลู่รับรู้ได้ถึงพลังเซียน เวลาครึ่งวันย่อมสามารถมาถึงได้ ระหว่างนั้น ศิษย์พี่หลี่หงและผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ยังสามารถหยั่งเชิงหอคอยพฤกษาปีศาจได้”

เย่หยานหยูยื่นข้อเสนอที่ประนีประนอมขึ้น

ตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราผงกศีรษะตกลง

จะอย่างไรจงหว่านเอ๋อร์และชื่อกุ้ยก็บาดเจ็บสาหัส ไอสวรรค์ได้รับความเสียหายอย่างมาก ต้องการเวลาฟื้นตัว

ในขณะที่ทั้งสามสำนักพูดคุยกัน

ในสมองของจ้าวเฟิงได้ปรากฏใบหน้าและน้ำเสียงของ ‘จ้าวหยูเฟ่ย’ ขึ้น

ในสมองของเด็กหนุ่ม ร่างงดงามของจ้าวหยูเฟ่ยได้ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“น่าเหลือเชื่อโดยแท้ เสียงและใบหน้าของเจ้าปรากฏขึ้นในสมองของข้าเสียจนได้”

จ้าวเฟิงอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้

“ฮี่ฮี่ เรื่องนี้ข้าได้รับความช่วยเหลือจากพี่สาวจื่อเย่ ทว่าน่าเสียดายที่พลังของนางอ่อนแอลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะยามที่เชื่อมต่อกับแดนบุปผาครามเป็นการฝืน ได้รับการต่อต้านจากฟ้าดินอย่างมาก ทำให้ไม่อาจควบคุมซากปรักหักพังทั้งหมดได้อีกต่อไป หรือมิเช่นนั้นนางคงลำบากเพียงหนึ่งความคิดพาพี่จ้าวเฟิงเข้ามาในซากวิหารได้แล้ว”

ยามที่จ้าวหยูเฟ่ยหัวเราะยังปรากฏความกระวนกระวายขึ้นอยู่

สถานการณ์ของซากปรักหักพังสือเฉิง จ้าวเฟิงพอล่วงรู้อยู่บ้าง

เจ้าของของซากปรักหักพังนี้ เซียนจื่อเย่ แม้ว่าจะสิ้นชีพไปแล้วยังคงหลงเหลือเจตจำนงเอาไว้ หลอมรวมเข้ากับซากปรักหักพัง หรือก็คือ ‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’ นั้น

พี่สาวจื่อเย่ที่จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยถึงนั้นคงจะเป็นเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง

“มีอันใดให้ข้าทำก็รีบเอ่ย”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเถรตรง

หากจ้าวหยูเฟ่ยสามารถเป็นผู้สืบทอดของ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ และได้ครอบครองมัน จ้าวเฟิงย่อมได้รับผลประโยชน์มหาศาล

คนทั้งสองมาจากตระกูลเดียวกัน อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก มีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม

“อย่างแรก พลังที่ไหลออกของพี่สาวจื่อเย่มากเกินไป การที่จะช่วยให้ข้ากลายเป็นผู้สืบทอดทำให้สูญเสียการควบคุมพื้นที่ซากปรักหักพังไป สิ่งเดียวที่เราได้เปรียบในยามนี้คือการสามารถมองเห็นทุกซอกมุมของซากปรักหักพังได้”

จ้าวหยูเฟ่ยบอกข้อมูลจ้าวเฟิงอย่างละเอียด

“โอ้? นั่นหมายความว่าข้าจะสามารถรู้ถึงความลับโอกาสทั้งหมดในซากปรักหักพังนี้?”

ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกาย

“ใช่แล้ว แต่เรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่านั้นคือในหุบเขาที่พี่จ้าวเฟิงอยู่มีคุณสมบัติเช่นโบราณกาล เป็นหนึ่งในแหล่งพลังของซากปรักหักพัง ในเวลาเดียวกัน มันก็ยังเป็นจุดอ่อนของซากปรักหักพังด้วย เมื่อหอคอยพฤกษาปีศาจถูกฆ่า จุดอ่อนนี้ก็จะชัดเจนยิ่งขึ้นจนเกิดช่องว่าง หากช่องว่างนั้นขยายใหญ่ขึ้น ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ด้านนอกจะสามารถเข้ามาในซากปรักหักพังได้ และส่งผลต่อการสืบทอดของข้า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version