บทที่ 421 : เสียงของจ้าวหยูเฟ่ย
ในยามนี้
หลี่หงแสดงท่าทีมุ่งร้ายอย่างชัดเจนไม่มีปิดบัง แรงกดดันของขั้นนายเหนือแท้แพร่กระจายไปทั่ว ไอสวรรค์ธาตุน้ำและสายฟ้าสั่นสะท้าน คลื่นวารีอัสนีสีฟ้าหม่นรวมตัวกันราวกับม่านหมอก ท่าทีดุดัน
เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับแรงกดดันของขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงตรงๆ แรงกดดันของอีกฝ่ายมหาศาลยิ่งนัก
ก่อนหน้าเขาได้ประมือกับเย่หยานหยูสั้นๆ แต่เป็นเพราะพลังแตกต่างกันเกินไป จ้าวเฟิงจึงทำเพียงแสดงละครแค่ ‘ครึ่งๆ กลางๆ’
ภายใต้แรงกดดันนี้ จ้าวเฟิงได้ผงะไปเล็กๆ เด็กหนุ่มเหลือบมองไปยังเย่หยานหยู ตามข้อตกลงแล้ว อีกฝ่ายต้องยืนยันในความปลอดภัยของเขาให้
แต่ในยามนี้ สตรีผู้นั้นราวกับไม่รับรู้ถึงความนัยที่สื่อไปว่า ‘ช่วยเหลือ’ เลยแม้แต่น้อย
เย่หยานหยูลอบคิดอยู่ในใจ
หนึ่ง นางต้องการยืมมือหลี่หงทดสอบพลังของจ้าวเฟิง
สอง เย่หยานหยูรู้สึกว่านางไม่อาจควบคุมจ้าวเฟิงได้อย่างแท้จริง ไม่อาจมองอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่ง
ชัดเจนว่าจ้าวเฟิงยอมร่วมมือกับนางเพราะการบีบบังคับ มักจะแสดงท่าทีเฉยเมยไม่สนใจอยู่ตลอด แต่กลับสามารถฉกฉวยช่องว่างของสามสำนักคว้าสิ่งที่ตนเองต้องการ เด็กนี่ไม่เพียงได้ประโยชน์ไปมาก ทว่ายังได้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับนางและตำหนักผาดำไปพร้อมกัน แทรกซึมเข้ามาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกของเย่หยานหยูที่มีต่อจ้าวเฟิงนั้นเหมือนกับไม่อาจควบคุมได้แม้แต่น้อย
โดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้ จ้าวเฟิงได้ครอบครองผลปีศาจพฤกษาอย่างง่ายดาย พลังฝึกตนบรรลุขั้น ทั้งยังฆ่าหยูลั่วไปอย่างอ้อมๆ เสียอีก
จ้าวเฟิงคาดเดาความคิดของเย่หยานหยูได้ไม่ยาก
ในเมื่อสตรีผู้นี้ทำเพียงยืนมองอยู่ข้างๆ เขาก็ทำได้เพียงพึ่งพาตนเองในการแก้ไขวิกฤตนี้
การเข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงครานี้ศัตรูแข็งแกร่งเกินกว่าที่จินตนาการ เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวพึ่งพาสติปัญญาเสียเป็นส่วนมากจึงสามารถแทรกซึมเข้ามาในสามยอดสำนักเพื่อหาผลประโยชน์ของตนเองได้
“ฮี่ฮี่ อัจฉริยะของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างไร้ความสามารถเพียงนี้เลยหรือ?”
เสียงหัวเราะคิกคักของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ไร้ความสามารถ?
ตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำที่เฝ้ามองละครฉากนี้อยู่อดที่จะอึ้งไปไม่ได้
หากแม้แต่อัจฉริยะของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างยังสามารถเรียกได้ว่า ‘ไร้ความสามารถ’ นี่ทำให้ตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราที่ถูกสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเอาชนะได้อยู่เรื่อยๆ รู้สึกเศร้าสร้อยไม่น้อย
“ไร้ความสามารถ? ไอ้เด็กบ้านนอก อย่าได้อวดดีนัก”
“เจ้า หากเจ้าไม่บอกเหตุผลมา แม้ว่าศิษย์พี่หลี่หงจะไม่ลงมือ พวกเราก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
คำของจ้าวเฟิงพลันสร้างความไม่พอใจให้กับอัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างทุกคน ณ ที่นั้นทันที
ทุกคนล้วนไม่พอใจ
จ้าวเฟิงพูดเพียงไม่กี่คำ ทว่ากลับสามารถหาเรื่องศิษย์จากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างทุกคนได้
“หึ ข้าขอถามพวกเจ้า ผู้ใดคือฆาตกรที่แท้จริงที่ฆ่าหยูลั่ว?”
จ้าวเฟิงเหยียดยิ้ม
ฆาตกรที่แท้จริง?
อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างชะงักไปชั่วครู่
จากนั้น สายตาของทุกคนก็มองไปยังหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ห่างออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เป็นปีศาจต้นไม้”
ใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านหลี่หงที่เคารพและสหายรักทั้งสองของข้า ในเมื่อฆาตกรอยู่ใกล้มือเพียงนี้ แต่พวกเจ้าไม่เพียงไม่ฆ่าต้นไม้ปีศาจเพื่อแก้แค้นให้พี่น้องที่รัก แต่กระทั่งมาหาเรื่องเหยื่ออย่างข้าอีก?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความสมเพชเยาะเย้ย
เขาจงใจเน้นคำว่า ‘ฆาตกร’ และ ‘เหยื่อ’ อย่างหนักแน่น
ฆาตกรคือหอคอยพฤกษาปีศาจ
นี่คือความจริง
จ้าวเฟิงเองก็ถูกหยูลั่วไล่ล่าจริงๆ
การที่เขาเป็นเหยื่อก็คือความจริงเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่นับว่าเป็นการชมชอบรังแกผู้อ่อนแอและหวาดกลัวผู้แข็งแกร่งโดยแท้ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างจะไร้ความสามารถเพียงนั้นจริงๆ”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงดังทิ้งท้าย
“เจ้า เจ้า…”
หลี่หงพลันพูดจาติดขัด ศิษย์ทั้งสองคนก่อนหน้าที่พยายามจะจัดการจ้าวเฟิงใบหน้าแดงซ่าน
การพูดเช่นนั้น
กระทั่งศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างยังหน้าแดงก่ำ
ฆาตกรอยู่ตรงหน้าไม่พยายามจัดการ ทว่ากลับไปมองหาเรื่อง ‘เหยื่อ’ อีกคนหนึ่งแทน
นี่จะไม่เรียกว่าเป็นการชมชอบรังแกผู้อ่อนแอและหวาดกลัวผู้แข็งแกร่งกว่าได้อย่างไร
จะอย่างไร สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างก็คือสำนักฝ่ายธรรมะที่เลื่องชื่อ สำหรับสำนักที่เดินในเส้นทางสายธรรมะแล้วจำต้องมีการกระทำที่ถูกต้องเถรตรง
เป็นเพราะจุดนี้ทำให้จ้าวเฟิงร่วมมือกับสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง ไม่เคยเหลือบแลไปทางตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำตั้งแต่ต้น
“ฮ่าฮ่า สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างน่าขายหน้ายิ่งนัก เป็นเพียงพวกปากว่าตาขยิบ กลุ้มรุมกันรังแกคนอ่อนแอ”
ในเวลาเดียวกัน ศิษย์ของตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราก็เริ่มหัวเราะก่อกวนขึ้น
ในฐานะของศัตรู พวกเขาไม่ลำบากใจที่จะทำให้สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างกลายเป็นตัวตลก
สีหน้าของศิษย์จากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเต็มไปด้วยความอับอาย
เย่หยานหยูเองก็มุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กๆ รู้สึกเสียหน้าไม่น้อย”ศิษย์พี่หลี่หง ข้ากับจ้าวเฟิงมีข้อตกลงกันอยู่ สำหรับเรื่องของคนผู้นี้ หลังจากที่ซากปรักหักพังสิ้นสุดค่อยพิจารณา”
หลี่หงรู้สึกเสียหน้าอย่างมากต่อหน้าทุกคน ใบหน้ามืดทะมึน เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้หนู เห็นแก่หน้าของศิษย์น้องเย่ ข้าจะโจมตีเจ้าเพียงกระบวนท่าเดียว”
สิ้นเสียงของหลี่หง ชายหนุ่มก็ขยับกายวูบไปด้านข้างจ้าวเฟิงพร้อมกับฝ่ามือที่ฟาดออก
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทำให้สีหน้าของเย่หยานหยูแปรเปลี่ยนไป แม้จะคิดเข้าไปขัดขวางก็ไม่ทันกาล
หลี่หงเสียหน้าต่อหน้าผู้คน ชัดเจนว่าคิดจะใช้หนึ่งกระบวนท่าสั่งสอนจ้าวเฟิง กระทั่งด้วยความกราดเกรี้ยวหมายจะจัดการเด็กหนุ่ม
ครืนนน
ฝ่ามือของหลี่หงส่องประกายสีฟ้าหม่นพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่ไหวกระเพื่อม ไม่เพียงมีความยืดหยุ่นแปรเปลี่ยนของสายน้ำ ทว่ายังมีพลังทำลายอันทรงพลังของสายฟ้าอยู่ด้วย อ่อนและแข็งหลอมรวม อาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ
เพราะใกล้ๆ ยังมีคนอื่นอยู่ พลังโจมตีของหลี่หงจึงถูกควบคุมอย่างระมัดระวังไม่ให้ส่งผลต่อระยะเกินหนึ่งจ้าง
“พลังของฝ่ามือนี้สามารถลบตัวตนในขั้นนายเหนือแท้ออกไปได้แน่ๆ”
หากจ้าวเฟิงคิดวิธีรับมือขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ใช้พลังฝึกตน สามปทุม และพลังสายเลือดร่วมกันจะสามารถป้องกันได้อย่างกล้ำกลืน
ทว่า
เด็กหนุ่มตัดสินใจใช้วิธีที่รุนแรงกว่านั้น
“เข้ามา!”
จ้าวเฟิงตวาด ร่างกายพลันปรากฏกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงปะทุขึ้นอย่างไร้สัญญาณ
ในวินาทีนั้น ร่างกายของเขาก็ได้รับพลังมหาศาลจากการเผาไหม้ ‘แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่’ ไปหนึ่งในสิบในเสี้ยววินาที
การเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน
หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไป การเผาไหม้แหล่งกำเนิดพลังย่อมสามารถมอบพลังให้ได้มหาศาล แต่หากขอบเขตจิตวิญญาณสูงไม่เพียงพอก็จะไม่อาจควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงได้
ทว่าจุดสำคัญคือ ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ
เขาสามารถควบคุมพลังอันบ้าคลั่งจากการเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณได้ เมื่อรวมกับร่างกายของเขาที่ได้รับการเสริมพลังจาก ‘ผลปีศาจพฤกษา’ และ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ เทียบกับขั้นนายเหนือแท้แล้วไม่แตกต่างไปมากนัก
เปรี้ยง ครืนนน
จ้าวเฟิงวาดฝ่ามือออก ดูราวกับมีบุปผานับร้อยผลิบานและมอดไหม้อย่างกะทันหัน ให้ความรู้สึกราวกับดอกไม้ไฟ
“การเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ ไม่ดีแล้ว ทุกคนระวังด้วย”
เย่หยานหยูพลันขยับไปข้างๆ มือขาวคว้าจับบางอย่างแล้ววาดออกเป็นเยื่อแสงจันทร์ทรงกลม แยกส่วนที่เกิดการต่อสู้ของพวกจ้าวเฟิงทั้งสองออกไป
ครืนนน เปรี้ยง
บริเวณนั้นหลงเหลือเพียงหลุมขนาดยักษ์ที่ไม่อาจมองเห็นก้นกว้างกว่าสิบจ้าง ในหนึ่งลมหายใจพลังกว่าครึ่งได้ถูกสลายไปโดยเย่หยานหยู
นี่คือพลังที่ถูกควบคุมไปบางแล้ว หรือมิเช่นนั้นระยะหนึ่งลี้โดยรอบคงถูกทำลายจนราบ
ศิษย์หลายคนของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างถูกแรงลมทรงพลังพัดกระจายออกไป
ในม่านฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เงาร่างที่ปรากฏประกายกระแสไฟฟ้าพุ่งวูบ เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มพลิ้วกายลงข้างเย่หยานหยู
“ไอ้เด็กเวร ตายซะ!”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวบ้าคลั่งของหลี่หงดังขึ้นจากในม่านฝุ่น
สภาพของหลี่หงที่ทะยานร่างออกมาดูยับเยินเล็กๆ เรือนผมยุ่งเหยิงปรากฏฝุ่นเกาะอยู่บางส่วน
ศิษย์จากทั้งสามสำนักอึ้งตะลึง
ดูเหมือนว่าการปะทะฝ่ามือเมื่อครู่จ้าวเฟิงจะได้เปรียบ
ดูจากการที่แม้ว่าหลี่หงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าก็ยังมีสภาพยับเยินเล็กๆ ราวกับไปคลุกฝุ่นมา
“หยุด”
เย่หยานหยูตวาดเสียงเย็น มือขาวยกขึ้น ประกายแสงจันทร์ส่องวูบสั่นสะท้านร่างของหลี่หงที่อยู่ห่างออกไปหลายฟุต
“ศิษย์น้องเย่ มิคาดว่าเจ้าจะอยู่ข้างไอ้คนนอกนั่น”
ดวงตาของหลี่หงแดงก่ำ กัดฟันกรอดอย่างเกลียดชังไปยังจ้าวเฟิง
ทว่าเขาหวาดกลัวพลังของเย่หยานหยูอย่างมาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บอยู่และไม่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อมก็ตาม
จ้าวเฟิงยืนอยู่ข้างกายของเย่หยานหยูอย่างสบายใจ มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ยืนอยู่เฉยๆ
อย่างแรก เย่หยานหยูได้เอ่ยเตือนหลี่หงไปแล้วว่านางมีข้อตกลงกับจ้าวเฟิง
การที่หลี่หงลงมือกับจ้าวเฟิงก็นับว่าไม่ไว้หน้าหญิงสาวแล้ว
สอง หลี่หงบอกว่าจะลงมือเพียง ‘หนึ่งกระบวนท่า’ ทว่ายังทำท่าจะไม่รักษาสัญญา ทำให้สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างต้องเสียหน้าอีกครั้ง
อาจกล่าวได้ว่า
ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาที สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างก็เสียหน้าจนไม่เหลือสิ่งใด แม้จะเป็นเย่หยานหยูที่ใจเย็นอยู่เสมอก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน
“ยังเสียหน้าไม่พออีกหรือ”
เย่หยานหยูดึงหน้าเย็นชา
“ข้า…”
หลี่หงราวกับเพิ่งรู้สึกตัว
เขาได้สัญญาว่าจะลงมือกับจ้าวเฟิงเพียงหนึ่งกระบวนท่าจริงๆ ทั้งยังเป็นการขัดคำสั่งของเย่หยานหยูลงมือ
ในยามนี้ ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเต็มไปด้วยความอับอายละอายใจ
ในใจของหลี่หงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรจะหาทางจัดการหอคอยพฤกษาปีศาจ ทั้งสามารถแก้แค้นให้ศิษย์พี่หยูลั่วและได้รับผลประโยชน์อย่างมากไปพร้อมกัน”
เย่หยานหยูกลับไปเยือกเย็น เอ่ยโน้มน้าว
“ศิษย์น้องเย่เอ่ยได้ถูกต้อง เรื่องเร่งด่วนคือการที่ข้าต้องจัดการฆาตกรที่แท้จริง ส่วนไอ้เด็กนี่ หลังจากที่เสร็จสิ้นเรื่องในซากปรักหักพังค่อยจัดการ
หลี่หงสงบลงในที่สุด
“เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นั้น… ไม่ธรรมดายิ่งนัก”
จงหว่านเอ๋อร์จากตำหนักมารจันทราจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มข้างกายเย่หยานหยูที่ยังคงมีท่าทีเรียบเฉยสบายใจอยู่
เย่หยานหยูเองก็เหลือบมองจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่จ้าวเฟิงเผาไหม้เมื่อครู่กับปราณจิตวิญญาณของเขาแตกต่างกันอย่างชัดเจน
การลงมือของหลี่หงมีประโยชน์ อย่างน้อยก็สามารถเผยไพ่สำคัญใบหนึ่งในมือของจ้าวเฟิงได้
ในร่างของจ้าวเฟิงมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณอีกหนึ่งปรากฏอยู่อย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าจะไม่ใช่แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในขั้นนายเหนือแท้ ทว่าก็อยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด
หากจ้าวเฟิงทุ่มสุดตัวเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนี้ย่อมสามารถสร้างปัญหาให้กับผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างแน่นอน
“ก่อนหน้าข้าเคยบอกแล้วว่าเด็กนี่ไม่ธรรมดา ไม่แปลกใจเลยว่าเขาจะมั่นใจว่าปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนกับเรา”
สีหน้าของชื่อกุ้ยเลวร้ายลง กระทั่งปรากฏความหวาดกลัวขึ้นบางส่วน ยินดีที่ในยามนั้นตนเองไม่ลงมือกับอีกฝ่าย
“เมื่อครู่โจมตีหลี่หงได้โดยบังเอิญ ไม่เคยทดลองมาก่อน การตอบโต้รุนแรงของข้าเองก็ไม่ชัดเจน”
จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างชัดเจน
ไม่นาน
อัจฉริยะจากสามสำนักก็รวมตัวกัน เริ่มพูดคุยกันถึงวิธีการรับมือกับหอคอยพฤกษาปีศาจ
หอคอยพฤกษาปีศาจได้รับบาดเจ็บจาก ‘พลังเซียน’ ทำให้เกิดจุดอ่อนขึ้นอย่างชัดเจน
ในสถานการณ์เช่นนี้ การฆ่าต้นไม้ปีศาจนี้ย่อมง่ายดายขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้า
จ้าวเฟิงหาวออกมาครั้งหนึ่ง แสดงท่าทีไม่สนใจอย่างชัดเจน
แม้ว่าจะฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจลงได้ก็ยากนักที่เขาจะได้ครอบครองแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา เว้นเสียแต่เขาจะยอมเป็นศัตรูกับอัจฉริยะของสามยอดสำนักเท่านั้น
ในยามนี้
“พี่จ้าวเฟิง”
น้ำเสียงใสกระจ่างน่าฟังของเด็กสาวดังขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง
ผู้ใดกัน?
จ้าวเฟิงผวาไป ก่อนจะรู้สึกว่าเสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยนัก เหมือนว่าจะเป็น… จ้าวหยูเฟ่ย
แต่เสียงของจ้าวหยูเฟ่ยจะดังขึ้นในสมองของเขาได้อย่างไร?
จากนั้น
ในสมองของจ้าวเฟิงก็ปรากฏภาพของสตรีงดงามสง่าขึ้นผู้หนึ่ง เป็นจ้าวหยูเฟ่ย
จ้าวหยูเฟ่ยที่ปรากฏขึ้นแย้มรอยยิ้มบาง”พี่จ้าวเฟิง ยามนี้ข้าได้เป็นผู้สืบทอดที่ถูกเลือกของซากปรักหักพังสือเฉิง แต่การที่จะสามารถควบคุมสถานที่แห่งนี้ได้อย่างแท้จริง บางทีคงต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า”