บทที่ 444 สาวกลัทธิมาร
เมื่อได้ยินชื่อ ‘จอมเชือดเคียวโลหิต’ คนจากราชวงศ์สมบัตินภา 7-8 คนก็หมองคล้ำลงราวกับตายมาแล้วหลายปี
เบื้องหน้าปักษีสีโลหิตได้ปรากฏร่างผอมแห้งของบุรุษผู้หนึ่งขึ้น ในมือของเขาถือเคียวสีแดงก่ำ เหมือนกับยมทูตแห่งความตาย ทั่วทั้งร่างปรากฏลวดลายโลหิต กลิ่นอายกระหายเลือดเข้มข้นที่แพร่กระจายออกร่างของเขานับว่าน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก
“ดันมาเจอจอมเชือดนี่เสียได้ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าวันนี้จำต้องเป็นวันตายของข้า…”
ร่างกายและจิตใจขององค์ชายสามสั่นสะท้าน ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ในยามนี้ ‘พันธมิตรมังกรโลหะ’ คือผู้ปกครอง แคว้นเมฆานับว่าเต็มไปด้วยความระส่ำระส่าย หลายสำนักหลายแคว้นได้ยอมไปอยู่ใต้ปกครองของมันภายใต้แส้โลหิต แม้จะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี ทว่าก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยวาจาออกไป
ทั้งหมดนั้น
จอมเชือดเคียวโลหิตผู้นี้คือเพชฌฆาตแห่งพันธมิตรมังกรโลหะ เป็นที่เลื่องชื่อในความกระหายเลือด หากขัดขืนแม้เพียงนิดก็อาจลงมือฆ่าล้างทั้งเมืองหรือทั้งสำนัก
ในกลุ่มคน มีเพียงสีหน้าของจ้าวเฟิงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไป เด็กหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ดวงตาซ้ายอย่างเกียจคร้าน
“การวิวัฒนาการของดวงตาเทพเจ้า ดันมาเริ่มตอนข้ากลับมาที่แคว้นเมฆา…”
ความรู้สึกเจ็บปวดในมิติในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าตามเวลาที่ผ่านไป ความเจ็บปวดนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้ใช้ดวงตาเทพเจ้าก็ยังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเล็กๆ
สำหรับ ‘จอมเชือดเคียวโลหิต’ ที่พลิ้วกายลงมาจากชั้นเมฆและคนอื่นๆ นั้น เขาไม่แม้แต่จะชายตามอง ท่าทีไม่ใส่ใจของจ้าวเฟิงถูกสังเกตเห็นโดยผู้เฒ่าเจียง นัยน์ตาของชายชราปรากฏความประหลาดใจพาดผ่าน เต็มไปด้วยความตกใจ ก่อนหน้าที่ต่อสู้กับอีกฝ่าย ผู้เฒ่าเจียงคาดเดาไว้ว่าจ้าวเฟิงมีพลังฝึกตนอยู่ในชั้นผู้วิเศษแท้เป็นอย่างน้อย
แต่จะอย่างไรมันก็เป็นเพียงการคาดเดา
แต่หากการคาดเดานั้นถูกต้อง ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงยินยอมลงมือ อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถป้องกันตนเองได้
“พลังฝึกตนของจอมเชือดเคียวโลหิตแม้ว่าจะแข็งแกร่ง ทั้งยังเคยปะทะกับผู้ฝึกตนชั้นผู้วิเศษแท้มาซึ่งๆ หน้าแล้วตามบันทึก ทว่าจะอย่างไรก็ยังไม่บรรลุสู่ชั้นผู้วิเศษแท้อย่างสมบูรณ์”
ผู้เฒ่าเจียงหัวใจสั่นไหว สีหน้าเผยความคาดหวังขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
สิ่งเดียวที่เขากังวลคือจ้าวเฟิงจะลงมือหรือไม่
เพราะแคว้นเมฆาในยามนี้คือโลกของพันธมิตรมังกรโลหะ
หากจ้าวเฟิงลงมือ นั่นหมายความว่ากำลังเขาต่อต้านพันธมิตรมังกรโลหะ ยักษ์ใหญ่ที่สามารถนำหนึ่งฝ่ามือปิดฟ้าได้ตรงๆ
แม้ว่าผู้ฝึกตนชั้นผู้วิเศษแท้จะแข็งแกร่ง ทว่าหากต้องการจะต่อต้านกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างพันธมิตรมังกรโลหะ มันก็ไม่ต่างจากตั๊กแตนพยายามที่จะหยุดนกกระจอก
“ให้เวลาพวกเจ้าสิบลมหายใจ จะยอมแพ้หรือถูกฆ่าทั้งหมด”
จอมเชือดเคียวโลหิตพลิ้วกายลงมาจากนกยักษ์สีแดงเลือดอย่างเชื่องช้า
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
ร่างอื่นๆ อีกหลายร่างเหมือนกับอาวุธวิเศษที่ร่วงหล่น ใช้วิชาที่เชี่ยวชาญโอบล้อมคนของราชวงศ์สมบัตินภาเอาไว้
ผู้เฒ่าเจียงรู้สึกผวาและกระวนกระวาย องค์ชายสามและคนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัว คนส่วนมากสองขากระทั่งสั่นสะท้าน
ชื่อเสียงอันเลื่องลือของจอมเชือดเคียวโลหิต ผู้คนล้วนเคยได้ยินมา
เวลาสิบลมหายใจในการพิจารณา นี่คือรูปแบบของจอมเชือดเคียวโลหิต
ยอมแพ้หรือถูกฆ่า
จอมเชือดเคียวโลหิตเลียริมฝีปาก เขาชื่นชอบการที่ศัตรูดิ้นรนอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวอันไร้ที่สิ้นสุด
สายตาของเขากวาดมองผู้คนพร้อมผงกศีรษะเล็กๆ
หืม?
สายตาของจอมเชือดเคียวโลหิตพลันเพ่งมองไปยังคนผู้หนึ่ง
ในกลุ่มคนของราชวงศ์สมบัตินภาได้มีเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้า ท่าทีเกียจคร้านไม่ใส่ใจอยู่ ดูแตกต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มผู้นี้นัยน์ตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว ราวกับว่าไม่ล่วงรู้ถึงสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่
หากเป็นคนทั่วไปมันก็เท่านั้น
ทว่าบนร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นอายที่ลึกล้ำราวกับบ่อน้ำที่ไร้ก้น ทั้งเรือนผมราวเส้นไหมนั้นยังให้ความรู้สึกเย็นเยียบออกมา
“เป็น… ชั้นผู้วิเศษแท้จริงๆ?”
หัวใจของจอมเชือดเคียวโลหิตสั่นสะท้าน รู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาอยู่บ้าง สีหน้าเป็นต่อได้แปรเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดี
เมื่อคำว่า ‘ชั้นผู้วิเศษแท้’ ถูกเอ่ยออกจากปากของจอมเชือดเคียวโลหิต ผู้เฒ่าเจียงก็รู้สึกโล่งใจไปกึ่งหนึ่ง จะอย่างไรพลังฝึกตนของจอมเชือดเคียวโลหิตก็สูงถึงชั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสหนึ่งของสำนักจันทร์สลายแล้วยังแข็งแกร่งกว่า พลังของจอมเชือดเคียวโลหิตในบรรดาผู้ฝึกตนชั้นมนุษย์แท้นับว่าโดดเด่นยิ่งนัก เขากระทั่งมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับผู้ฝึกตนชั้นผู้วิเศษแท้สัญชาตญาณของเขาย่อมไม่ผิดพลาด
เฮ้อ
ฝุ่นทรายในบริเวณนั้นฟุ้งลอยขึ้นเล็กๆ
ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน
“ข้อมูลผิดพลาด… ในเศษเดนของราชวงศ์สมบัตินภามีผู้ฝึกตนชั้นผู้วิเศษแท้อยู่ด้วย”
จอมเชือดเคียวโลหิตเผยสีหน้าตื่นตะลึง สีหน้าเลวร้าย หน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ
คนจากพันธมิตรมังกรโลหะที่รับหน้าที่ล้อมกลับพลันแข็งค้าง
ในแคว้นเมฆา ชั้นนายเหนือแท้นับเป็นผู้ปกครองอันไร้ทางต่อกร สามารถพลิกฝ่ามือย้ายเมฆา พลิกอีกคราเรียกลมฝนได้ นับเป็นบุคคลในโชคชะตา
ในทั่วทั้งพันธมิตรมังกรโลหะมีผู้ฝึกตนชั้นนายเหนือแท้อยู่เพียงไม่กี่คน
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าในแคว้นเมฆา ในสถานที่ห่างไกลอย่างแคว้นใหญ่สมบัตินภา ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนชั้นนายเหนือแท้คนใดก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสมดุลของแคว้นใหญ่
ในแคว้นเมฆา ชั้นนายเหนือแท้กระทั่งน่าหวาดกลัวกว่า ยากที่จะเอื้อมถึงได้
ดังนั้นแล้ว ผู้ฝึกตนในระดับที่ต่ำกว่าชั้นนายเหนือแท้ ‘ชั้นผู้วิเศษแท้’ ผู้ที่มีความแข็งแกร่งรองลงมาจึงสามารถสร้างความหวาดกลัวได้อย่างง่ายดาย
ยากที่จะจินตนาการว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ยังคงเยาว์วัยจะเป็นระดับยอดฝีมือชั้นแนวหน้าของแคว้นเมฆา
“ข้าบังอาจถามชื่อของท่านได้หรือไม่ เหตุใดท่านจึงช่วยเหลือราชวงศ์สมบัตินภา?”
จอมเชือดเคียวโลหิตเองก็เป็นยอดคนที่ผ่านลมฝนมามาก สามารถรักษาความเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของเขาสั่นระริกเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดกลัว เพ่งตามองไปยังเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าที่มีท่าทีไม่ใส่ใจ
จอมเชือดเคียวโลหิตคาดเดาว่าอีกฝ่ายยังเยาว์ แม้จะบรรลุสู่ชั้นผู้วิเศษแท้แล้ว แต่คงไม่นานมากนัก เช่นนั้นด้วยพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งของเขาอย่างน้อยคงสามารถรับมือได้ ไม่ได้มีความเสียเปรียบแต่อย่างใด
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเขาต้องหยั่งเชิงอีกฝ่ายก่อน
จ้าวเฟิงที่รู้สึกไม่สบายตัวเท่าใดเงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก “ให้เวลาพวกเจ้าสิบลมหายใจ ยอมแพ้หรือตายทั้งหมด”
คำของจอมเชือดเคียวโลหิตถูกจ้าวเฟิงย้อนคืน
“เจ้า… อย่าได้บอกเชียวว่าเจ้าต้องการจะเป็นศัตรูกับพันธมิตรมังกรโลหะ?”
สีหน้าของจอมเชือดเคียวโลหิตปรากฏความอับอายขึ้นบ้าง หากไม่ใช่เพราะระดับของคู่ต่อสู้สูงกว่าเขา อยู่ในชั้นผู้วิเศษแท้ บางทีด้วยความกระหายเลือดของจอมเชือดเคียวโลหิตคงจะลงมือจนอีกฝ่ายถึงตายไปแล้ว มีหรือจะอดทนจนถึงเพียงนี้
ทว่าการหาเรื่องกับผู้ฝึกตนชั้นผู้วิเศษแท้นั้น ตัวเขาไม่มีโอกาสชนะได้
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าอีกฝ่ายยังมีผู้เฒ่าเจียง ยอดฝีมือชั้นมนุษย์แท้อยู่
“สิบ… เก้า…”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ดูราวกับกำลังบีบคั้นอีกฝ่าย ทำให้คนฝั่งจอมเชือดเคียวโลหิตรู้สึกหวาดกลัว
ผู้เฒ่าเจียง รวมทั้งองค์ชายสามและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจและยินดีขึ้นพร้อมกัน
ไม่คาดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงมาลงเอยเช่นนี้
ก่อนหน้า พวกเขายังเป็นผู้ที่ต้องเลือกว่าจะยอมแพ้หรือรอความตายแต่ชั่วขณะต่อมา จ้าวเฟิงก็พลิกโต๊ะไปอย่างเหนือกว่า ทั้งกลิ่นอายเขตแดนปราณที่ไม่อาจมองเห็นของจ้าวเฟิงยังทรงพลังยิ่งนัก
พูดตามตรง จอมเชือดเคียวโลหิตที่เห็นฉากอันตระการตานี้ไม่ควรที่จะร่างสั่นสะท้านไปด้วยคำพูดของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะบรรลุสู่ชั้นผู้วิเศษแท้คนหนึ่ง
แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ จอมเชือดเคียวโลหิตกลับรับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายหวาดหวั่นจากดวงวิญญาณ
แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือชั้นผู้วิเศษแท้ที่เขาคุ้นเคยด้วย ยังมีคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่สามารถสร้างแรงกดดันในระดับนี้ให้แก่เขาได้
เขตแดนปราณนั้นมาจากพลังภายใน ความมั่นใจ ขอบเขตจิตวิญญาณ และด้านอื่นๆ ผสมกัน ทำให้ผู้คนรู้สึกด้อยกว่าอย่างไม่อาจล่วงรู้
ความเหนือกว่าเช่นนั้น แม้ตัวคนอาจจะไม่มีพลังแข็งแกร่งมากมาย ทว่าความเย่อหยิ่งและท่าทีสูงศักดิ์ก็ยังคงสร้างแรงกดดันได้อยู่ดี
ร่างของจ้าวเฟิงเองก็มีเขตแดนปราณที่คล้ายคลึงกับมัน
เมื่อคิดถึงก่อนหน้า ในซากปรักหักพังสือเฉิง อัจฉริยะชั้นผู้วิเศษแท้ที่ตายด้วยน้ำมือเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมมีมากมาย ทั้งผู้ที่อยู่ในชั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดยังมีนับสิบ
กระทั่งชั้นนายเหนือแท้ที่อ่อนแอหน่อยยังไม่มีพลังเพียงพอจะต่อต้านเขา
“แปด… เจ็ด… หก…”
ในสายตาของจ้าวเฟิง จอมเชือดเคียวโลหิตเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กจ้อย สีหน้าไม่ใส่ใจ
“ถอย… ถอย”
จอมเชือดเคียวโลหิตพลันตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณ ที่เขาสั่งถอยอย่างเด็ดขาดมีเหตุผลอยู่สองอย่าง หนึ่ง อีกฝ่ายมีผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคน ทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ฝึกตนในสวรรค์ที่สอง ชั้นผู้วิเศษแท้ ทำให้โอกาสสำเร็จมีน้อยกว่าสามส่วน สอง เด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าผู้นั้นได้สร้างความรู้สึกกระวนกระวายอย่างมากแก่เขา
ในฐานะของจอมเชือด เขามีประสาทสัมผัสรับรู้กลิ่นของวิกฤตได้ในระดับที่คนทั่วไปไม่อาจเอื้อมถึง
ถอย
จอมเชือดเคียวโลหิตเอ่ยสั่ง สมาชิกพันธมิตรมังกรโลหะพลันทำตามคำสั่งนั้น ราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ
“งั้นก็ตาย…”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ
วงแหวนอัสนี
เด็กหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นวาดไปในอากาศอย่างนุ่มนวล
ในเสี้ยวพริบตา โซ่กระแสไฟฟ้าสีเขียวครามราวกับอสรพิษที่มีสติปัญญาก็ปรากฏขึ้น โอบล้อมไปในระยะหลายสิบจ้าง
อสรพิษกระแสไฟฟ้าเหล่านั้นราวกับมีชีวิต อ้อมร่างของพวกองค์ชายสามอย่างแม่นยำ มุ่งตรงไปกัดคนจากพันธมิตรมังกรโลหะ
“อ๊ากกกกกก”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตุบ
เมื่อประกายแสงของกระแสไฟฟ้าผละจากไป ร่างของคนจากพันธมิตรมังกรโลหะรอบด้านที่ถูกโซ่กระแสไฟฟ้าเหล่านั้นโจมตีรัดพันก็กลับกลายเป็นเพียงศพไหม้ดำ ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ นอกจาก ‘จอมเชือดเคียวโลหิต’ แล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ล้วนตายตกลง
“หนึ่งกระบวนท่าทำลายล้าง…”
หัวใจของจอมเชือดเคียวโลหิตกระตุกวูบ ตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด
ผู้เฒ่าเจียง องค์ชายสาม และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างจ้าวเฟิงเองก็ยืนแข็งอยู่กับที่ ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวภายใต้กลิ่นอายกระแสไฟฟ้าที่น่าพรั่นพรึงนั้น พวกเขาคิดว่ากระบวนท่าสังหารเมื่อครู่ของจ้าวเฟิงจะรวบเอาพวกเขาไปด้วย
ทว่าการโจมตีของจ้าวเฟิงเคลื่อนไหวไปมาระหว่างศัตรูและพวกเขา ไม่ฆ่าคนฝ่ายเดียวกัน ทำลายเพียงศัตรู
พลังในการควบคุมนี้ ผู้เฒ่าเจียงทำได้แค่ชื่นชมนับถือเท่านั้น
จอมเชือดเคียวโลหิตครุ่นคิดว่าเหมือนจะไม่มีหวัง ตระหนักขึ้นได้เล็กๆ ว่าจ้าวเฟิงอาจไม่ใช่ผู้ฝึกตนชั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไป
“หนี”
ในใจของจอมเชือดเคียวโลหิตเหลือเพียงความคิดเดียว
ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงเมื่อเทียบกับที่เขาคิดแล้วยังน่ากลัวกว่ามาก หากเผชิญหน้าด้วยตรงๆ โอกาสที่เขาจะชนะมีน้อยกว่าสามส่วน ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ายังมีผู้เฒ่าเจียงอยู่ด้วย
ร่างของจอมเชือดเคียวโลหิตระเบิดแสงสีแดงเลือดออกมา เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ เริ่มใช้วิชาลับหลบหนีหายไป
ไม่รู้ว่าจอมเชือดเคียวโลหิตใช้วิธีการใด ความเร็วของมันจึงได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ในชั้นผู้วิเศษแท้ในระยะเวลาสั้นๆ
“วิชาฝึกตนของจอมเชือดเคียวโลหิตนี่ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับตำหนักมารจันทรา”
เมื่อมองไปยังปราณสีแดงสดราวกับโลหิตที่กำลังเคลื่อนไหวห่างออกไป หัวใจจ้าวเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กๆ เด็กหนุ่มอดที่จะหรี่ตาเพ่งมองตามร่างของจอมเชือดเคียวโลหิตที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่ได้
ผู้เฒ่าเจียงรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง ชัดเจนว่าจอมเชือดเคียวโลหิตนั่นหวาดกลัวจ้าวเฟิง หากจ้าวเฟิงไล่ตามไป ย่อมมีโอกาสที่จะสามารถจัดการจอมเชือดเคียวโลหิตได้ แต่เมื่อปล่อยให้จอมเชือดเคียวโลหิตหนีไป บางทีสิ่งที่ตามมาอาจจะเป็นวิกฤตที่เลวร้ายกว่าเดิม
“ผู้เฒ่าเจียง จอมเชือดเคียวโลหิตนี่มาจากที่ใดกัน?”
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
“ในพันธมิตรมังกรโลหะยามนี้ สมาชิกหลายคนมาจากคนในแคว้นเมฆา ตัวอย่างเช่นสองแคว้นใหญ่และสิบสามแคว้นเล็ก ทว่าเบื้องหลังพันธมิตรมังกรโลหะมีลัทธิมารจันทราชาดคอยเติมเชื้อเพลิงให้กองไฟ สมาชิกหลักหลายคนมาจากลัทธิมารนี้ จอมเชือดเคียวโลหิตนั่นไม่ได้มาจากแคว้นเมฆา น่าจะเป็นสาวกของลัทธิมารจันทราชาดเสียส่วนมาก”
ผู้เฒ่าเจียงเอ่ยอย่างลังเล
“ลัทธิมารจันทราชาด… ตำหนักมารจันทรา…”
จ้าวเฟิงกระซิบอยู่ในใจ
เพื่อที่จะยืนยันการคาดเดาของตนเอง เด็กหนุ่มจึงกระตุ้นการเคลื่อนไหวของ ‘ดวงตาเทพเจ้า’ โดยไม่รู้ตัว ต้องการที่จะตรวจสอบวิชาฝึกตนภายในร่างของจอมเชือดเคียวโลหิต
แต่เพียงเด็กหนุ่มกระตุ้นการเคลื่อนไหวของพลังดวงตา ดวงตาเทพเจ้าก็ส่งความเจ็บปวดรุนแรงกลับมา