Skip to content

King of Gods 461

King Of Gods

บทที่ 461 ข้ารับใช้ที่น่าหวาดกลัว

บนยอดเขา

หลังจากปรึกษากันไม่นาน คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายก็ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว

“ดี จ้าวเฟิง เจ้ามีความซื่อตรง! มีความกล้าหาญ! ในเมื่อเจ้ายอมแบกหน้ามายอมรับผิด สำนักของข้าก็ย่อมลดโทษของเจ้าให้ ผู้ใดก็ได้นำจ้าวเฟิงไปยังหน้าตำหนักกลาง” เจ้าสำนักหยุนไห่ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาพลันเย็นเยียบ วาดชายเสื้อ สิ้นเสียง

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

ยอดฝีมือจำนวนมากบนภูเขาที่มีพลังฝึกตนตั้งแต่นภาที่หก นภาที่เจ็ด ถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงพุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว จ้าวเฟิงแย้มยิ้มไม่เอ่ยคำใด แหงนศีรษะมองไปยังยอดเขาเล็กน้อย รวมทั้งบนท้องนภาท่ามกลางหมู่เมฆ

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

ร่างเหล่านั้นเพียงเตรียมที่จะเข้าไปควบคุมตัวจ้าวเฟิง แสงจากบนฟากฟ้าพลันหมองหม่น ร่วงลงมากระแทกพื้นจนสิ้นชีพ

กลิ่นอายเย็นเยียบกระหายเลือดแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในอากาศใกล้ๆ

“ผู้ใดกัน!”

คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายบนยอดเขาเปลี่ยนสีหน้า มองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า

ท่ามกลางหมู่เมฆ

บนสัตว์ตัวใหญ่ได้ปรากฏชายหนุ่มหน้าตาเรียบเฉย แต่งกายด้วยสีดำยืนอยู่

“ผู้ใดเสียมารยาทต่อนายท่าน นี่คือผล”

นัยน์ตาทั้งสองของเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยลึกล้ำ ทว่ากลับปรากฏความบิดเบี้ยวบางประการ ทำให้ผู้ที่สบตาต้องหวาดผวา

“เป็นสายเลือดดวงตาที่น่าหวาดกลัวนัก!”

ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักจันทร์สลายอดที่จะร่างสั่นสะท้านไม่ได้

ชายหนุ่มใบหน้าเรียบเฉยผู้นั้นไม่ได้มีสายเลือดดวงตาธรรมดาทั่วไป ทว่าแข็งแกร่งอย่างน่าตื่นตะลึง ทั้งกลิ่นอายพลังฝึกตนยังสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้

ควรรู้ว่า คนของสำนักจันทร์สลาย ไม่ว่าจะระดับต่ำหรือสูง นอกจากกำลังเสริมทั้งสองแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ล้วนอยู่ในขั้นมนุษย์แท้

“ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรยักษ์นั่นคอยจับตามองพวกเราอยู่เมื่อครู่หรือ”

พวกหยางก่านประหลาดใจ

เพียงแค่ไม่นานมานี้ บนหลังสัตว์อสูรนั่นได้มียอดฝีมือของสำนักจันทร์สลายหลายคนคอยจับตาดูพวกเขาทำภารกิจอยู่ ทว่าในวินาทีนี้ สัตว์อสูรนั่นกลับถูกครอบครองโดยชายหนุ่มไร้อารมณ์ผู้หนึ่ง อัจฉริยะบางคนในที่นี้พลันจับจ้องไปยังชายหนุ่มไร้อารมณ์ผู้นั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เป็นเขา…”

หัวใจของเป่ยม่อพลันกระตุกวูบ

“หลินทง!”

หยางก่านสูดลมหายใจเย็นเยียบ

หากพูดถึงคำว่า ‘หลินทง’ ในสิบสามสำนักเมื่อก่อน เขาเป็นเหมือนกับฝันร้าย

นอกจากจ้าวเฟิงและชางหยูเยว่ที่เป็นยอดอัจฉริยะแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านหนึ่งการมองของหลินทงได้

ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นหยางก่านหรือเป่ยม่อต่างก็พ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย ไม่อาจต่อต้านได้แม้หนึ่งกระบวนท่า กระทั่งหลายปีต่อมา หลินทงก็ยังคงเป็นเงาดำมืดในจิตใจของพวกเขา

ในวันนี้ หลินทงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ความรู้ความสามารถเหนือกว่าหยางก่านและเป่ยม่อไปไกล หลินทงมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม เป็นอัจฉริยะแต่กำเนิด ทั้งยังมีสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่ง อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือชั้นแนวหน้าของสิบสามแคว้น

ในยามนี้

เมื่อหลินทงมา คำพูดของเขาได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคน

“หลินทงผู้นี้ชัดเจนว่าเป็นลูกน้องของพันธมิตรมังกรโลหะ กระทั่งในลัทธิมารจันทราชาดยังเป็นสาวกหลัก เหตุใด…”

เป่ยม่อรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย

ในยามนี้ หลินทงและเขาต่างก็เป็นสมาชิกของพันธมิตรมังกรโลหะ ทว่าตำแหน่งของหลินทงสูงกว่าเป่ยม่อมาก ถูกฝึกฝนให้ความสำคัญจากลัทธิมารจันทราชาด กระทั่งมีคำบอกกล่าวว่าอีกฝ่ายได้เข้าไปใน ‘มรดกจันทราชาด’

สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตื่นตะลึงคือ

หลินทงที่แข็งแกร่งเช่นนั้นกลับกล่าวว่าจ้าวเฟิงเป็นนายท่าน

“หลินทงอย่าได้เสียมารยาท ครั้งนี้ข้าได้มาขออภัยต่อ ‘เจ้าสำนักหยุนไห่’ ด้วยใจจริง”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง เดินตรงไปยังตำหนักกลางอย่างสบายๆ หลังจากนี้ตลอดทาง ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับจ้าวเฟิงอีก

นัยน์ตาของเจ้าสำนักหยุนไห่สั่นระริก นำคนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายจำนวนมากไปยังตำหนักกลาง

จ้าวเฟิงเดินช้านัก ตลอดทางเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมากในช่องเขาครึ่งทาง

“จ้าวเฟิง! เจ้ากลับมาได้อย่างไร?”

ชายชราเคราขาวสองคนเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึ้งและงุนงง

“ผู้เฒ่ากวน ผู้เฒ่าจาง”

ใบหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏความอบอุ่นซาบซึ้งขึ้น ในใจของเขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นเจือจาง เมื่อคิดว่ายามที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักจันทร์สลาย ชายชราทั้งสองเบื้องหน้าพยายามแย่งชิงตนเองเป็นศิษย์มากเพียงใด จ้าวเฟิงได้เรียนศาสตร์แห่งการปรุงยาและศาสตร์แห่งค่ายกลจากทั้งสอง ทำให้มีพื้นฐานอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เลือกเดินไปในศาสตร์แห่งการปรุงยาและศาสตร์แห่งค่ายกล

“จ้าวเฟิง เจ้ากลับมาทำไม”

เมื่อมองไปยังจ้าวเฟิง ชายชราทั้งสองก็รู้สึกร้อนรน

ในสำนักจันทร์สลายในอดีต คนทั้งสองได้ดูแลคาดหวังในตัวจ้าวเฟิงไว้มากทว่าการกระทำในยามนี้ของจ้าวเฟิงได้ทำให้พวกเขาต้องตื่นตะลึง

ชายชราทั้งสองหวาดกลัว จ้าวเฟิงผู้มากพรสวรรค์ มีสติปัญญาราวเทพเซียนจะตายตกลงเช่นนี้หรือ?

“พวกท่านโปรดวางใจเถอะ จ้าวเฟิงจะทำให้พวกท่านผิดหวังได้อย่างไร?”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ทิ้งคำไว้ไม่กี่คำก่อนจะเดินจากไป

ผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวนสบตากันครั้งหนึ่ง เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา

พวกเขาไม่ยากที่จะเห็นว่าพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงสูงถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแล้ว ยิ่งเมื่อได้ใกล้ชิดกันเมื่อครู่ กลิ่นอายของอีกฝ่ายลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสระดับสูงคนใดในสำนักจันทร์สลายจะเทียบเคียงได้ สีหน้าของคนทั้งสองปรากฏความระมัดระวังขึ้น มองตามแผ่นหลังของจ้าวเฟิงที่เดินเข้าใกล้ตำหนักกลางไปทีล่ะก้าว

เบื้องหน้าตำหนักกลาง

เจ้าสำนักหยุนไห่ ผู้อาวุโสคุมกฎ และผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ ยืนเรียงกัน ค่อยๆ ทยอยมาถึง

ท้องฟ้าเหนือตำหนักกลางเต็มไปด้วยประกายกระแสไฟฟ้าล้อมรอบ ‘ตำหนักยอดนภา’ สายฟ้าส่องสว่างวาบ

“ตำหนักยอดนภา ไม่เจอกันนาน”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มผงกศีรษะ

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้น ตำหนักยอดนภาราวกับรับรู้ได้ สั่นสะท้านดัง ‘ครืน’ สายฟ้าพลันรุนแรงขึ้นหลายส่วน ราวกับกำลังต้อนรับสหายอันดี

คนระดับสูงจำนวนมากของสำนักจันทร์สลายเบื้องหน้าตำหนักกลางสีหน้าปรากฏความอับอายขึ้น

ตำหนักยอดนภาคือมรดกแกนกลางของสำนักจันทร์สลาย เป็นฐานที่ใช้ก่อสร้างสำนักขึ้น ทว่าในยามนี้ ‘ตำหนักยอดนภา’ ได้ส่งสัญญาณตอบรับ มันหมายความว่าอันใดกัน?

“ฮ่า… ไอ้เด็กจองหอง กล้าที่จะเดินเข้ามาในกับดักที่ไร้ทางถอยเพียงผู้เดียว”

น้ำเสียงดังสนั่นชัดเจนสั่นสะท้านไปถึงก้อนเมฆดังขึ้นจากเทือกเขาห่างออกไป

เห็นเพียงร่างขุ่นมัวสีม่วงแดงเดินมาในอากาศ รอบกายเต็มไปด้วยเสียงระเบิดหวีดหวิวของสายลม กลิ่นอายของบุรุษร่างสีม่วงแดงรุนแรงชัดเจน ร่างกายให้ความรู้สึกราวกับจะสามารถบดขยี้ภูผาได้ กระทั่งผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังสั่นสะท้านอยู่ในใจ

“ขั้นผู้วิเศษแท้!”

“บางทีอาจเป็นขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด!”

ผู้อาวุโสคุมกฎ แม่เฒ่าหลิวเยว่ และผู้อาวุโสคนอื่นๆ จำนวนมากอดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปไม่ได้

“ผู้อาวุโสหลักเจ็ด!”

สีหน้าของเจ้าสำนักหยุนไห่เต็มไปด้วยความยินดี รีบเดินไปต้อนรับอย่างเร่งรีบ

ผู้มาใหม่คือหนึ่งในสองกำลังเสริมที่เจ้าสำนักหยุนไห่เชิญมา

วันแรกที่เจ้าสำนักหยุนไห่ได้ข่าวการกลับมาอันทรงพลังของจ้าวเฟิง ในใจก็ปรากฏความกระวนกระวาย จะอย่างไร ปาฏิหารย์เรื่องน่าหวาดกลัวจำนวนมากที่จ้าวเฟิงได้สร้างเอาไว้ในอดีตก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งสิบสามแคว้น ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าผู้อาวุโสหนึ่งได้เตรียมทางหนีแบบใดไว้ให้จ้าวเฟิง อีกฝ่ายอาจจะกระทั่งสามารถเชิญกำลังเสริมที่ทรงพลังจากแคว้นใหญ่หรืออาณาจักรมาได้ก็เป็นได้

ดังนั้นแล้ว เจ้าสำนักหยุนไห่จึงขอกำลังเสริมไปยัง ‘พันธมิตรมังกรโลหะ’

บังเอิญว่ายามนั้น สองผู้อาวุโสหลักของพันธมิตรมังกรโลหะได้ถูกฆ่าโดยจ้าวเฟิง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะส่งผู้อาวุโสหลักมา ครั้งนี้เป็นผู้อาวุโสที่ครองลำดับเจ็ด ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหลักคนใดในพันธมิตรมังกรโลหะ สำหรับเจ้าสำนักหยุนไห่ก็นับว่าเป็นตัวตนที่ไม่อาจเอื้อมถึง ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจะส่งผู้อาวุโสหลักเจ็ดมา

นอกจากนั้น เพื่อความปลอดภัย ผู้อาวุโสหยุนไห่ยังใช้เงินจำนวนมากไปเชิญมิตรที่แข็งแกร่งมาอีกคน

“ฮี่ฮี่! เจ้าสำนักหยุนไห่ อย่าได้กังวลเลย”

ห่างไกลออกไปได้ปรากฏเสียงหัวเราะสดใสขึ้น

ผู้มาใหม่คือชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดบัณฑิตสีเงินสว่าง บนไหล่ปรากฏดาบไม้ไผ่สีฟ้าใส

“เป็นเซียงหยุนจื่อ!”

“เจ้าสำนักหยุนไห่กระทั่งสามารถนำเขามาได้ ‘เซียงหยุนจื่อ’ ผู้นี้ไร้สำนัก ไร้ฝักฝ่าย เป็นนามของผู้ฝึกตนพเนจรที่เลื่องชื่อที่สุดของสิบสามแคว้น” ผู้อาวุโสระดับสูงบางคนของสำนักจันทร์สลายรับรู้ถึงตัวตนของบุรุษวัยกลางคน

ในยุทธภพยอดฝีมือจำนวนมากมักจะมาจากสำนักหรือตระกูล ทว่ายังคงมีกรณียกเว้นบางส่วนที่จะเกิดยอดฝีมือที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แม้ว่าจะมีโอกาสน้อยนิดก็ตาม

‘เซียงหยุนจื่อ’ ผู้นี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น มีเส้นสายที่ดี มีความสัมพันธ์อันดีต่อสำนักตระกูลจำนวนมากในสิบสามแคว้น ในสถานการณ์ปกติ เซียงหยุนจื่อในสิบสามแคว้นเมฆาก็เหมือนกับมีสถานะ ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ น้อยนักที่จะเข้าร่วมในความขัดแย้งของสองฝ่าย

ทว่าจ้าวสำนักหยุนไห่ยังสามารถเชิญยอดฝีมือพเนจรเช่นนั้นมาอยู่ฝ่ายสำนักได้ อำนาจย่อมไม่น้อย ทั้งสิ่งที่จ่ายไปก็ย่อมไม่น้อยเช่นกัน

เบื้องหน้าตำหนักกลาง

การปรากฏตัวขึ้นของผู้อาวุโสหลักเจ็ดและเซียงหยุนจื่อได้ทำให้บรรยากาศปรากฏความกดดันขึ้น

ทว่าเมื่อเทียบกับจิตสังหารความไม่เป็นมิตรของ ‘ผู้อาวุโสหลักเจ็ด’ แล้ว ‘เซียงหยุนจื่อ’ ดูจะเป็นมิตรกว่า

เซียงหยุนจื่อแย้มยิ้มเจิดจ้า เอ่ยขึ้นอย่างร่าเริงว่า “หลานชายจ้าว อาจารย์ของเจ้า ‘ซื่อถูม่อ’ นับว่าความความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ กัน วันนี้เจ้ากลับมาขอโทษสำนักจันทร์สลายอย่างจริงใจแล้ว หวังว่าคงไม่ต้องทำร้ายมิตรสหายกัน”

จ้าวเฟิงราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งใด ยังคงก้าวเดินไปยังตำหนักกลาง

เป้าหมายของเขามีเพียงคนเดียว เจ้าสำนักหยุนไห่

“ไอ้หนู! สุราคารวะไม่ดื่ม พาลดื่มสุราจับกรอก ให้ผู้อาวุโสผู้นี้จัดการเจ้าแล้ว”

ร่างสีม่วงแดงของผู้อาวุโสหลักเจ็ดปรากฏลวดลายสีม่วงแดงร้อนฉ่าขึ้น คล้ายกับภูเขาไฟขนาดเล็กที่ส่งกลิ่นอายเดือดพล่าน ในเสี้ยววินาทีต่อมาอาจระเบิดออกทำลายหมู่บ้านเล็กๆ ได้

ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักจันทร์สลายจิตใจสั่นสะท้าน

ผู้อาวุโสหลักทั้งสามสิบหกของพันธมิตรมังกรโลหะล้วนอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ทว่าสิบอันดับแรก แต่ละคนล้วนมีพลังต่อสู้ที่น่าพรั่นพรึงเทียบเท่าขั้นนายเหนือแท้

‘บุรุษร่างสีม่วงแดง’ ผู้นี้ครองอันดับเจ็ด เป็นผู้ฝึกฝนกายาที่หายาก เพียงแค่ร่างกายก็สามารถฉีกกระชากผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ในระดับเดียวกันเป็นชิ้นๆ ได้แล้ว

หากต่อสู้กันในระยะประชิด กระทั่งขั้นนายเหนือแท้ก็อาจจะถูกคุกคามอย่างมาก

เปรี้ยง!

บุรุษร่างสีม่วงแดงเป็นราวกับสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์ นำพาคลื่นความร้อนที่น่าหวาดกลัวตรงไปยังจ้าวเฟิง

“เพลงดาบผ่าเมฆนภา!”

นัยน์ตาของเซียงหยุนจื่อส่องประกายวาบ

ดาบไม้ไผ่ที่แผ่นหลังส่องประกายสว่างจ้า ราวกับกลุ่มหมอกของสายลมและเมฆกระแสไฟฟ้า ทะยานไปยังจ้าวเฟิง

ทันใดนั้น

สองยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ก็ลงมือพร้อมกัน

ทว่า ร่างของบุรุษร่างสีม่วงแดงและเซียงหยุนจื่อเพิ่งจะขยับ จิตใจพลันกระตุกวูบ รับรู้ถึงความกระวนกระวายไม่สงบของดวงวิญญาณกลางอากาศ บนหลังของสัตว์อสูรยักษ์

“เนตรมารจันทรา!”

สีดำอมแดงในดวงตาทั้งสองของหลินทงบิดเบี้ยว กลับกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีแดงสดขึ้นอีกครั้ง

ฟึ่บ ฟึ่บ

จันทร์เสี้ยวสีแดงเต็มไปด้วยพลังงานดำมืด ทั้งเย็นเยียบหดหู่และกระหายเลือด ทะลวงผ่านก้อนเมฆทะลวงผ่านร่างของ ‘บุรุษร่างสีม่วงแดง’ และ ‘เซียงหยุนจื่อ’ ราวกับสายฟ้าฟาด ร่างของเซียงหยุนจื่อและบุรุษร่างสีม่วงแดงสะท้านเฮือก กระอักเลือดออกมาพร้อมกัน สีหน้าของคนทั้งสองตื่นตะลึง แหงนศีรษะขึ้นมองไปยังชายหนุ่มชุดดำสีหน้าเรียบเฉยที่พวกเขาเพิกเฉย

อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สายเลือดน่าพรั่นพรึงที่สุดของสิบสามแคว้นในอดีตได้แสดงอำนาจของเขาออกมาอีกครั้งในสองปีให้หลัง

“เป็นวิชาดวงตาที่น่าหวาดกลัวนัก!”

“หนึ่งการมองกลับสามารถสร้างอาการบาดเจ็บให้กับสองยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ได้ เมื่อเทียบกับในอดีต หลินทงผู้นี้แข็งแกร่งกว่านับสิบนับร้อยเท่า”

ทุกคนล้วนอึ้งตะลึง โดยเฉพาะอัจฉริยะที่เคยเข้าร่วมงานสิบสามสำนักพันธมิตรในอดีต

เป่ยม่อที่ยืนอยู่เบื้องหลังไม่อาจทำจิตใจให้สงบลงได้

“หลินทงผู้นี้ได้เข้าไปใน ‘มรดกจันทราชาด’ จริงๆ น่ากลัวว่าเขาคงได้ครอบครองพลังที่ผู้ที่มีพลังต่ำกว่า ‘ขั้นนายเหนือแท้’ ไม่อาจต่อกรได้ไปแล้ว”

มันยากจะคาดคิดนักว่าอัจฉริยะที่น่าหวาดผวาในระดับนั้น กลับกลายมาเป็นข้ารับใช้ของจ้าวเฟิงได้อย่างไร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version