Skip to content

King of Gods 469

King Of Gods

บทที่ 469 ขั้นนายเหนือแท้ (2)

สำนักดาบเมฆา

ท่ามกลางภูเขาสูงที่เต็มไปด้วยม่านหมอกโอบล้อมได้ปรากฏหอคอยสูงตั้งตระหง่าน ราวกับดาบใหญ่ที่ปักทิ่มลงพื้นพสุธา

ตำหนักดาบนั้นแม้จะดูเรียบง่ายทว่าลึกล้ำ ให้ความรู้สึกราวกับคมดาบที่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า

ในยามนี้ ‘ตำหนักดาบ’ สถานที่สำคัญของสำนักดาบเมฆากลับเต็มไปด้วยเลือดที่หลั่งไหลราวแม่น้ำ ปราณดาบเย็นเยียบตัดผ่านเมฆา

เบื้องหน้าตำหนักดาบ

“อ๊ากกกก”

ชายชรานักดาบในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา มือที่ถือดาบอยู่ร่วงหล่นลงบนพื้น โลหิตพุ่งออกมาเสริมบ่อน้ำสีเลือด

ในบ่อน้ำที่ท่วมไปด้วยเลือดนั้น นอกจากเขาแล้วยังมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีก 4-5 คน ทั้งหมดล้วนตายด้วยคมดาบ

เมื่อรวมกับคนระดับสูงและศิษย์ของสำนักดาบเมฆาที่ตายตกไป ทั้งหมดมีร่วมร้อยคน ในสถานที่สำคัญอย่างตำหนักดาบ ไม่ว่าจะเป็นคนระดับสูงหรือต่ำของสำนักต่างก็เงียบเสียงลง คนทั้งหมดล้วนตื่นตะลึงกระวนกระวาย มองไปยังยอดตำหนักที่ปรากฏร่างของสตรีในอาภรณ์สีขาวอยู่

สตรีชุดขาวผู้นั้นดูสะอาดตาไร้ซึ่งฝุ่นผง เรือนผมสีดำราวน้ำตก รูปลักษณ์งดงามเรียบเฉยให้ความรู้สึกชวนหลงใหล ทว่ากลับปรากฏกลิ่นอายดุดันโหดเหี้ยมของ ‘ประกายดาบสีแดงยาวสามฟุต’

นางยืนอยู่ที่นั้น ไร้ซึ่งฝุ่นผงกล้ำกราย รอบกายคือจิตแห่งดาบที่ไม่อาจมองเห็น ทว่าราวกับโอบล้อมไปทั่วทั้งตำหนัก

คนผู้นี้ราวกับอัจฉริยะนักดาบสตรีอันดับหนึ่งของสิบสามสำนักที่งดงาม ครั้งหนึ่งสตรีผู้นั้นเคยบดขยี้อัจฉริยะของทั้งสิบสามสำนักลงใต้ฝ่าเท้า

“ชางหยูเยว่ แม้เจ้าฆ่าคนมากเพียงนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของแคว้นเมฆาได้อยู่ดี ด้วยพลังอันเล็กจ้อยของเจ้า คิดจะต่อต้านพันธมิตรมังกรโลหะก็มีเพียงแค่รนหาที่ตายเท่านั้น”

บนยอดเขาฝั่งตรงข้ามได้ปรากฏร่างของบุรุษในชุดเกราะสีเขียว รูปลักษณ์ดุดัน

ทว่า ในการต่อสู้ บุรุษในเกราะสีเขียวกระทั่งร่วมมือกับยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายคน สร้างค่ายกลต่อสู้ร่วมมือกัน ทว่ากลับไม่อาจเอาชนะสตรีในชุดขาวได้

“ชางหยูเยว่ผู้นี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ยอดฝีมือที่ตายด้วยน้ำมือนางมีจำนวนเกินร้อยคนแล้ว”

“ใครคิดขัดขืนล้วนฆ่าจนหมดสิ้น”

สมาชิกของสำนักที่อยู่บริเวณตำหนักดาบหวาดกลัว ทว่าไม่กล้าที่จะหลบหนีออกไป

“หึ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือน ข้า ชางหยูเยว่ ก็จะทำลายรังของพันธมิตรมังกรโลหะ”

ใบหน้าของชางหยูเยว่เย็นชา

หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกร เมื่อออกมาจากมรดกต่างแคว้น รูปแบบวิชาดาบของชางหยูเยว่ก็คล่องแคล่วดุดันกว่าเดิม ความอันตรายมากกว่าเดิมนับร้อยเท่า

เมื่อนึกถึงประสบการณ์ใน ‘มรดกเจ็ดดาบ’ ที่นางปะทะกับอัจฉริยะต่างแดนโดยเอาชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้าย ชางหยูเยว่เองก็รู้สึกผวาขึ้นเล็กๆ

หากนางอ่อนแอและไม่โหดเหี้ยม นางย่อมถูกฝังอยู่ใน ‘มรดกเจ็ดดาบ’ ไปแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าไม่หวาดกลัวที่จะผายลม วันหนึ่งข้าจะทำลายเจ้าให้สิ้นซาก…”

บุรุษในเกราะสีเขียวเผยท่าทีโหดเหี้ยม แหงนศีรษะคำรามเสียงดัง ใบหน้างดงามของชางหยูเยว่เย็นเยียบ ในมือได้ปรากฏ ‘ดาบสีแดงยาวสามฟุต’ ขึ้นพร้อมกับวาดออก ส่งคมดาบมุ่งหน้าตัดอากาศไป

หนี

สีหน้าของบุรุษในเกราะสีเขียวแปรเปลี่ยนไป ร่างระเบิดสายลมสีเขียวออกมา ความเร็วอยู่ในระดับที่น่าตื่นตะลึง วิชาฝึกตนของเขามีเสวียนอ้าวของธาตุลม ทั้งยังอยู่ในระดับสูงสุด ในด้านความเร็ว เขาแทบจะเทียบกับขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปได้

ดังนั้นแล้ว เขาจึงยังสามารถต่อกรกับชางหยูเยว่ได้จนถึงยามนี้

ตาย

ดาบสีแดงยาวสามฟุตในมือของชางหยูเยว่จางหายไป

เช้ง

โดยไม่รู้ตัว ในมือของนางได้ปรากฏดาบทองแดงเขียวโบราณที่แตกหัก ส่งกลิ่นอายเย็นเยียบหม่นหมองของจิตแห่งดาบเก่าแก่ออกมา มันเต็มไปด้วยความดื้อดึง ไม่ต้องการที่จะจางหายไป จิตแห่งดาบที่เย็นเยียบหม่นหมองนั้นราวกับทิ่มแทงเข้าไปยังร่างกายและดวงวิญญาณ มุ่งตรงไปยังบุรุษในเกราะสีเขียวในเสี้ยววินาที

ครืนนน ฟึ่บ

ชางหยูเยว่วาดมือออก คมดาบสีแดงเย็นเยียบบางเบาราวใยแมงมุมพุ่งแหวกอากาศออกไป ดูเชื่องช้า ทว่าความจริงแล้วไปถึงในเสี้ยวพริบตา สร้างความรู้สึกปั่นป่วนแปลกประหลาดขึ้นในจิตใจ

ฉัวะ

ร่างของบุรุษในชุดเกราะสีเขียวร่วงหล่นจากท้องฟ้า เลือดจากบริเวณศีรษะพุ่งกระฉูด ร่างถูกแบ่งออกเป็นสองซีก

ตำหนักดาบ

สมาชิกทั้งระดับสูงต่ำจำนวนมากของสำนักอดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปไม่ได้ มองไปยังนักดาบสตรีในตำนานผู้กลับมาจากงานชุมนุมเซียนมังกรและมรดกเจ็ดดาบ

“ผู้อาวุโสไป๋”

ชางหยูเยว่คารวะอีกฝ่าย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ

สตรีงดงามในชุดสีขาวเบื้องหน้าผู้นี้มีกลิ่นอายพลังฝึกตนที่ลึกล้ำ เมื่อเทียบกับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดแล้วไม่รู้ว่าผู้ใดเหนือกว่า

“หยูเยว่ กลับมาจากมรดกเจ็ดดาบครั้งนี้ ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเจ้าได้ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจแล้ว แม้ว่าเจ้าจะมีพลังฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง ทว่าการโจมตีด้วยวิชาดาบของเจ้ากลับสามารถคุกคามขั้นนายเหนือแท้ได้”

ผู้อาวุโสไป๋ซางอุทาน ท่าทีชื่นชมอย่างมาก

ผู้ฝึกดาบโดดเด่นในด้านการโจมตี ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าชางหยูเยว่ ยอดอัจฉริยะในระดับนี้สามารถสร้างจิตแห่งดาบ ทั้งยังได้ครอบครองมรดกของมรดกเจ็ดดาบอีกด้วย

“น่าเสียดาย เมื่อเทียบกับหยูเทียนฮ่าว จ้าวเฟิง ซินอู๋เหิน และคนอื่นๆ ข้ายังคงห่างไกลนัก”

ใบหน้าของชางหยูเยว่ไร้ซึ่งความภูมิใจ ทว่าเมื่อเทียบกับ ‘ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้’ ในงานชุมนุมเซียนมังกรแล้ว นางยังปรากฏความแตกต่างอย่างชัดเจน

“ฮี่ฮี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องยกผู้อื่นให้สูงส่ง ด้วยความสามารถการทำความเข้าใจของเจ้า เจ้าไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเท่าใด หากไม่พ่ายแพ้ในจุดเริ่มต้น เจ้าก็ไม่จำเป็นว่าจะไม่สามารถยืนเคียงข้างระดับของผู้ถูกเลือกในงานชุมนุมเซียนมังกรได้”

ผู้อาวุโสไป๋ซางเอ่ยปลอบด้วยรอยยิ้ม

ชางหยูเยว่ผงกศีรษะเล็กๆ มั่นใจในความก้าวหน้าของตนเอง

ทว่านางกลับมายังแคว้นเมฆาเพื่อที่จะช่วยเหลือสำนักของตนเองในอดีต

ในยามนี้ โชคชะตาของสำนักดาบเมฆาได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะชางหยูเยว่เพียงผู้เดียว

“สถานการณ์ของสิบสามสำนักในยามนี้ ได้ยินมาว่าจ้าวเฟิงได้กลับมาแล้วหรือ?”

ชางหยูเยว่เอ่ยถาม

ชั่วขณะต่อมา สีหน้าของชางหยูเยว่ก็เลวร้ายลง

ผู้คนค้นพบว่านางสนใจในสถานการณ์ปัจจุบันของ ‘จ้าวเฟิง’

คนของสำนักดาบเมฆาบางคนรู้ว่าในงานสิบสามสำนักพันธมิตรในอดีต ชางหยูเยว่ได้พ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิงในกระบวนท่าเดียว

ยามนี้ เมื่อกลับมายังแคว้นเมฆา บางทีอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสิบสามสำนักในอดีตอาจจะท้าประลองเพื่อทวงคืนเกียรติยศของตนเอง

“ด้วยพลังของตนผู้เดียว เอาชนะสามจ้าวตำหนักในขั้นนายเหนือแท้?”

“จ้าวเฟิงผู้นี้… เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”

ยิ่งได้ยินเท่าใด หัวใจของชางหยูเยว่ก็ยิ่งสั่นสะท้าน กระทั่งผู้อาวุโสไป๋ซางที่อยู่ข้างๆ ยังเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ผู้อาวุโสไป๋ซางได้ไปดูงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ ครั้งนั้นระยะห่างระหว่างจ้าวเฟิงกับขั้นนายเหนือแท้ยังมากอยู่

“ควรค่าแล้วที่เป็นผู้ถูกเลือกชั้นแนวหน้าของงานชุมนุมเซียนมังกร บางทีอัจฉริยะในรุ่นนี้ของทวีปคงมีเพียงหยูเทียนฮ่าวที่สามารถรับมือกับเขาได้”

ผู้อาวุโสไป๋ซางอดที่จะสะเทือนใจไม่ได้

โดยเฉพาะ ‘หยูเทียนฮ่าว’ และ ‘จ้าวเฟิง’ ที่ได้รับการยกย่องเป็นราชาแห่งผู้ถูกเลือก

“ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก่อนที่จะออกจากแคว้นเมฆา ข้าต้องท้าเขาประลอง” นัยน์ตางดงามราบเรียบของชางหยูเยว่ปรากฏความเด็ดขาดขึ้น จิตแห่งดาบที่ทรงพลังแพร่กระจาย

ราวกับว่าได้รับการกระตุ้นจากแรงกดดันของ ‘จ้าวเฟิง’ คู่ต่อสู้ผู้นี้ จิตแห่งดาบบนร่างของชางหยูเยว่แหลมคมขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ให้ความรู้สึกราวกับว่ามันจะเพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ผู้อาวุโสไป๋ซางอดที่จะลอบผงกศีรษะไม่ได้ นักดาบจำเป็นต้องมีจิตตั้งมั่นที่ไม่สั่นคลอน ต่อสู้กับคน ต่อสู้กับฟ้าดิน พัฒนาขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง

สิบสามแคว้นเมฆา

ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือน สถานการณ์ของสิบสามสำนักได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนถึงยามนี้ สำนักเกือบครึ่งได้แยกตัวออกจากการควบคุมของ ‘พันธมิตรมังกรโลหะ’ แล้ว

ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือสำนักจันทร์สลาย

จ้าวเฟิงเอาชนะสามจ้าวตำหนัก ทำให้นายเหนือเซียวเหยายอมศิโรราบ ทั้งยังได้ทำลายพันธะสัญญาโลหิตในอดีต

ก่อนที่จะปิดด่านฝึกตน จ้าวเฟิงได้สั่งการให้หลินทงนำยอดฝีมือไปจัดการช่วยเหลือ ‘สามสำนักจันทรา’ ที่เหลืออีกสองสำนัก: สำนักจันทร์กระจ่างและสำนักจันทร์เงิน

ก่อนที่จะออกจาก ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ จ้าวหยูเฟ่ยเคยขอให้จ้าวเฟิงช่วยสำนักจันทร์กระจ่างแทนนาง

สำนักจันทร์สลาย สำนักจันทร์กระจ่าง สำนักจันทร์เงิน และสำนักดาบเมฆา…สำนักเหล่านี้ได้หลุดออกจากการควบคุมของพันธมิตรมังกรโลหะ กลับมาปกครองตนเองอีกครั้ง

‘ผู้เฒ่าซู่’ แห่งพันธมิตรสังหารมังกรนำยอดฝีมือจากเจ็ดสำนักแห่งสมบัตินภาในอดีตมากบดานยังสิบสามแคว้นเมฆา

ใช้ ‘สำนักจันทร์สลาย’ เป็นศูนย์กลาง สิบสามแคว้นได้กลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายที่หลุดออกจากการควบคุม ของพันธมิตรมังกรโลหะ

ผู้เฒ่าซู่ตั้งกองทัพขึ้น ช่วยเหลือสำนักอื่นๆ ให้ได้รับอิสระกลับคืนมา ในทางกลับกันก็เริ่มทำความสะอาด ไล่ล่าคนของพันธมิตรมังกรโลหะในบริเวณสิบสามแคว้น

เหมือนเช่นที่จ้าวเฟิงและผู้เฒ่าซู่ ‘ตกลง’ กันไว้ พันธมิตรสังหารมังกรรับผิดชอบเพียงแค่การรวบรวมข้อมูลและเก็บกวาดเรื่องที่ตามมาอยู่เบื้องหลัง

ในวันนี้ ในหุบเขาของสำนักจันทร์สลาย

พลังอำนาจของขั้นนายเหนือแท้สีเขียวอมดำได้ปรากฏขึ้นมาจากสถานที่ห่างไกล มาถึงยังท้องฟ้าเหนือหุบเขานภาจันทร์

“ผู้ใดกัน”

นายเหนือเซียวเหยาที่ป้องกันประตูเข้าหุบเขาพลันชะงักไป ตวาดออกมาเสียงดัง

“นายเหนือเซียวเหยา ไม่เจอกันนาน”

ชายชราคิ้วขาวในชุดสีเขียวลอยมายังสำนักจันทร์สลายพร้อมด้วยปราณจิตวิญญาณ สีแดงอมน้ำเงิน

“ตาแก่ประหลาดซู่ เป็นเจ้าหรือ?”

นายเหนือเซียวเหยาสีหน้าย่ำแย่

กระทั่งก่อนที่ลัทธิมารจันทราชาดจะเข้ามายังแคว้นเมฆา สองแคว้นใหญ่ทั้งสองก็ได้เป็นศัตรูกันอยู่แล้ว

“ข้ามีข่าวสำคัญที่ต้องพูดคุยกับเขาต่อหน้า”

ผู้เฒ่าซู่เอ่ยเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว

หากเป็นยอดฝีมือทั่วไปต้องการเข้าพบจ้าวเฟิง แม้แต่จะเข้าไปในหุบเขายังยาก

ทว่านายเหนือเซียวเหยาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าไปได้ง่ายๆ

“อย่าได้บอกว่าเจ้าไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงกำลังปิดด่านฝึกตนอยู่ ไม่รับแขก”

นายเหนือเซียวเหยาดึงหน้าเย็นชา

“ข่าวนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของแคว้นเมฆาอย่างมาก”

ผู้เฒ่าซู่ปรากฏความกระวนกระวายอยู่บ้าง นายเหนือเซียวเหยาท่าทีนิ่งเฉย ทว่ายกมือขึ้นข้างหนึ่งชี้ไปยังตำหนักที่อยู่ห่างไกลไปในหุบเขา

หืม

ผู้เฒ่าซู่รับรู้ถึงไอสวรรค์ที่โลดแล่นตื่นตัวในบริเวณนี้

โดยเฉพาะท้องฟ้าเหนือตำหนักนั้นที่ปรากฏ ‘กลุ่มหมอกวายุอัสนี’ สีเขียวเข้ม ทั้งยังมักจะปรากฏเมฆาดำพายุฝนขึ้น สายลมพัดกระโชกรุนแรง

ครืนนน

บรรยากาศส่งเสียงครืนคราง สายลมสายฟ้าตอบสนอง ราวกับกำลังเปลี่ยนแปลงวายุและอัสนีเป็นม่านหมอก

หลังจากครึ่งวัน

‘กลุ่มหมอกวายุอัสนี’ ในสายตาก็ควบรวมกันด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เผยรูปลักษณ์ราวน้ำวนขึ้น รอบด้านสร้างสายลมสีเขียวและคลื่นกระแสไฟฟ้าขึ้น

“ช่วงสุดท้าย?”

นายเหนือเซียวเหยาสังเกตอย่างใกล้ชิด ทุกวันนี้ เขาได้มองสถานการณ์ของการปิดด่านของจ้าวเฟิงอยู่

“เขากำลังอยู่ในช่วงการทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้จริงๆ?”

สีหน้าของผู้เฒ่าซู่แปลกประหลาด

ไอสวรรค์วายุอัสนีที่สั่นกระเพื่อมอยู่ในอากาศมาพร้อมกับกลิ่นอายทำลายล้างที่รุนแรงดุดัน ทำให้ปราณจิตวิญญาณของสองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ต้องสั่นไหวกระวนกระวาย ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version