Skip to content

King of Gods 482

King Of Gods

บทที่ 482 ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!

ท้องฟ้าเหนือปราสาทเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกสีทมิฬโอบล้อม

‘ร่างโครงกระดูก’ สีทองเงินเผชิญหน้ากับ ‘เนตรสวรรค์’ ที่ครอบครองมุมมองสูงกว่าเป็นระยะเวลาสั้นๆ

รูปลักษณ์ของเจ้าหอโครงกระดูกปรากฏให้เห็นในเงาหมอกเพียงเลือนราง เปลวเพลิงสีแดงสดในเบ้าตาลึกโบ๋ปรากฏขึ้นอย่างพร่ามัว

เขามองไปยัง ‘เนตรสวรรค์’ ที่เหนือศีรษะอย่างเฉยเมยไร้ซึ่งความหวาดกลัว

เนตรสวรรค์บนฟากฟ้าจ้องมองไปยังเจ้าหอโครงกระดูกอย่างเย็นชาอยู่ราวๆ 1-2 ลมหายใจก่อนที่เสียงเสียงหนึ่งจะดังขึ้นในอากาศ: “ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!”

ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!

เสียงนั้นดังก้องไปทั่วจิตใจของผู้คน สร้างความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้น

“นี่มันสถานการณ์อันใดกัน! อย่าได้บอกข้าเชียวว่าจ้าวเฟิงรู้จักเจ้าหอโครงกระดูกเมื่อนานมาแล้ว?”

“นั่นไม่ถูกต้อง เจ้าหอโครงกระดูกคือยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิมารจันทราชาดเมื่อหลายร้อยปีก่อน จ้าวเฟิงเพิ่งเกิดในยุคนี้ อายุยังน้อยกว่ายี่สิบปีเสียอีก”

ร่างของทั้งมิตรและศัตรูสั่นสะท้าน รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยอย่างมาก

ผู้อาวุโสไป๋ ผู้เฒ่าซู่ และคนอื่นๆ สามารถถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด

เมื่อมองไปยังฝั่งลัทธิมารจันทราชาด หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยแสดงความหวาดกลัวออกมาโดยสัญชาตญาณ ใบหน้าของจ้าวตำหนักโหยวหลงเต็มไปด้วยความหวาดผวาและกระวนกระวาย ท่าทีการกระทำของคนเหล่านี้ได้ลดความกดดันให้ทางฝ่ายของพันธมิตรสังหารมังกร

ในยามนี้ เมื่อมองไปยัง ‘เนตรสวรรค์’ ที่อยู่บนท้องนภา จิตใจของผู้อาวุโสไป๋ก็สั่นสะท้าน รับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล อย่าได้บอกข้าเชียวว่าระดับพลังวิญญาณของจ้าวเฟิงได้เหนือกว่าตัวนางไปแล้ว?

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางฟ้าสูง

“การวิวัฒนาการครั้งนี้ของดวงตาเทพเจ้าทำให้สามารถดูดกลืนพลังของแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาได้จนหมดสิ้น วิญญาณของข้าได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ”

จ้าวเฟิงรับรู้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากอดีต

ในอดีต การใช้ ‘เนตรสวรรค์’ เขาจะรู้สึกว่าพลังดวงตาถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจที่จะกระทำการได้อย่างเต็มที่ รู้สึกราวกับว่าจะสลายหายไปได้ตลอดเวลา

ทว่าเนตรสวรรค์ในยามนี้มั่นคงกว่าแต่ก่อน เข้าใกล้ความสมจริง

จ้าวเฟิงกระทั่งสามารถส่งเสียงผ่านจิตด้วยเนตรสวรรค์ได้

“เจ้ารู้จักข้า? อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเป็น…”

เปลวเพลิงสีแดงก่ำในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกส่องประกายวูบ ราวกับนึกถึงบางอย่างขึ้นได้

ใช่แล้ว จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกเคยพบกันมาก่อนจริงๆ

ในอดีต ในวิหารโบราณแห่งป่าเมฆาคล้อย ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ตรวจสอบพบกับ ‘ร่างโครงกระดูก’ ที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติและอ่อนแออย่างมาก

ในยามนั้น จ้าวเฟิงเองก็หวาดกลัว ทั้งยังจดจำถึงอีกฝ่ายได้ขึ้นใจ โดยเฉพาะ ‘ตราผี’ ที่เจ้าหอโครงกระดูกตราไว้บนร่างของเขาอย่างยาวนาน ความรู้สึกน่าขยะแขยงนั้นยังไม่จางหายไปจากจิตใจของเขา

หลังจากนั้น จ้าวเฟิงจึงยอมจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนมหาศาล กระทั่งยอมให้พลังฝึกตนถดถอยลง ดึงความช่วยเหลือจากพลังคำสาปของ ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ เพื่อทำลายตราผี

“จิจิ… น่าสนใจ บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา หลังจากผ่านมาหลายปี สุดท้ายแล้วเจ้าก็มาอยู่ตรงหน้าข้า” เจ้าหอโครงกระดูกแย้มยิ้มแปลกประหลาด นัยน์ตาส่องประกายเต็มไปด้วยจิตสังหาร

ฟึ่บ!

ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกพลันจางหายไป ผู้คนมองเห็นเพียงแค่เงาพร่าเลือนเท่านั้น

“คุกขังวิญญาณ!”

เจ้าหอโครงกระดูกตวาดออกมา

ฟึ่บ

กลุ่มเปลวเพลิงได้ก่อตัวเป็นร่างของกลุ่มภูตผีสี่กลุ่ม แต่ล่ะกลุ่มกินพื้นที่ราวหนึ่งจ้าง ส่งกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจ

ครืนนน!

เปลวเพลิงแห่งความชั่วร้ายทั้งสี่กระจายตัวออก ส่องประกายสีเขียวหม่น โอบล้อมกลายเป็นคุกรอบ ‘เนตรสวรรค์’ พอดี

“ไม่ดีแล้ว!”

คนระดับสูงบางคนของพันธมิตรสังหารมังกรอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้

เจ้าหอโครงกระดูกนั่นราวกับเตรียมพร้อมตั้งรับไว้ก่อนหน้า ใช้วิชาแปลกประหลาดบางอย่างคอยสังเกต ‘เนตรสวรรค์’ เอาไว้

กลางเวหา

กลิ่นอายของเปลวเพลิงทั้งสี่สายพุ่งทะยานขึ้นสูงอย่างน่าหวาดหวั่น แต่ล่ะส่วนล้วนมีกลิ่นอายเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้

พวกมันไม่มีเลือดเนื้อ เป็นเพียงวิญญาณ

บางทีเมื่อเทียบด้านการโจมตีทางกายภาพแล้ว กลุ่มเปลวเพลิงทั้งสี่อาจจะด้อยกว่ากระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป ทว่าในด้านของพลังจิตแล้ว พวกมันนับว่ายอดเยี่ยม

ในยามนี้ กลุ่มเปลวเพลิงทั้งสี่พุ่งทะยานเป็นเส้นตรงสร้างขึ้นเป็นที่คุมขังขนาดยักษ์กลางอากาศ ครอบคลุม ‘เนตรสวรรค์’ เอาไว้พอดี

“จิจิ… ‘คุกขังวิญญาณ’ นี้มีไว้เพื่อการโจมตีร่างวิญญาณโดยเฉพาะ มีความสามารถในการเข่นฆ่าสูง หากเป็นวิญญาณสัมภเวสีทั่วไป เมื่อถูกมันขังแล้วยากจะหลบหนีนับว่าไม่ต่างจากการที่ต้องการไขว่คว้าสวรรค์”

เจ้าหอโครงกระดูกแย้มยิ้มแปลกประหลาด

เปลวเพลิงสีสดในเบ้าตาของเขาควบรวมกัน แปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีแดงมุ่งตรงไปยังคุกขังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง

“เปิ่นซั่วจะทำให้เจ้ามาได้แต่ไม่อาจหวนคืน!”

น้ำเสียงแหบต่ำดังก้องไปทั่วทั้งปราสาทเก่าแก่

‘เนตรสวรรค์’ หยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางที่คุมขังกลางอากาศ

เปลวเพลิงสีแดงใสที่โอบล้อมเป็นที่คุมขังอยู่กลางอากาศจากเจ้าหอโครงกระดูกได้หดตัวเข้าหา ‘เนตรสวรรค์’ อย่างรวดเร็ว

“สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนับว่าทำให้คนต้องชื่นชมโดยแท้ ทว่าน่าเสียดายที่เจ้าหอโครงกระดูกนี้เป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญใน ‘ศาสตร์แห่งวิญญาณ’ ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ยังเป็นถึงผู้สูงศักดิ์”

ห่างออกไป หลินทงที่กำลังเฝ้ามองหมากกระดานนี้อย่างสงบนิ่งก็เผยท่าทีเศร้าหมองออกมา แม้ว่าเขาจะยอมศิโรราบให้แก่จ้าวเฟิงและชื่นชมอีกฝ่ายในด้านพลังในการควบคุม ทว่าในยามนี้ หลินทงต้องยอมรับว่าจ้าวเฟิงได้เดินเตะตะปูเข้าแล้ว

“เจ้าหอโครงกระดูกนี้มิคาดว่าจะมีความรู้ในด้านของศาสตร์แห่งวิญญาณอยู่บ้างเล็กน้อย”

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางคุกที่ให้ความรู้สึกเย็นเยียบหดหู่ ไม่สบายใจ โดยเฉพาะเปลวเพลิงสีแดงที่มีพลังในการแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณอย่างน่าพรั่นพรึง ในสถานการณ์นี้ จ้าวเฟิงก็ยังไม่ตื่นตระหนก ราวกับว่าตนเองไม่ได้เสียเปรียบอยู่แม้แต่น้อย

“ท่านเจ้าหอแข็งแกร่งไร้เทียมทาน!”

จ้าวตำหนักโหยวหลงอดที่จะยินดีไม่ได้ รู้สึกราวกับปลดภาระหนักอึ้งออกจากตัว ก่อนหน้าที่พวกเขาสู้กันทำให้จ้าวตำหนักโหยวหลงรู้สึกหวาดกลัวจ้าวเฟิง ในยามนี้ เนตรสวรรค์ที่เพิ่งจะมาถึงได้ทำให้ผู้ที่มีพลังฝึกตนถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอย่างเขาต้องรู้สึกหวาดผวากระวนกระวาย

“จ้าวเฟิง! ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ไร้เทียมทานเพียงใด ถึงจะได้รับการเรียกขานเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ วันนี้ ในยามนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่ในระดับของเจ้าหอแห่งลัทธิมารจันทราชาด เจ้าก็นับว่าโชคร้ายแล้ว”

จ้าวตำหนักโหยวหลงและคนอื่นๆ หัวใจวูบโหวง

สถานการณ์ในยามนี้ได้ทำให้ฝ่ายลัทธิมารจันทราชาดรู้สึกตื่นเต้น

ตั้งแต่ที่เด็กนั่นกลับมายังแคว้นเมฆาก็ราวกับเทพเจ้าผู้เหนือทุกคน ไล่ต้อนลัทธิมารจันทราชาดจนมาถึงยังสถานที่ห่างไกลนี้

ในยามนี้ อีกฝ่ายที่เป็นเช่นฝันร้ายเงามืดในจิตใจจะถูกทำลายจนสลายหายไปในที่สุด

“ไอ้หนู! จะใช้เพียงแค่วิชาข้ามผ่านระยะทางมาเช่นนี้ต้องการที่จะก่อกวนแผนของเปิ่นซั่ว ก่อนที่จะตาย เจ้ามีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่”

เจ้าหอโครงกระดูกแย้มยิ้ม ท่าทีพึงพอใจ

การวางแผนชั้นแล้วชั้นเล่าของเขาเพื่อที่จะจับคนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรในครั้งเดียว เขาย่อมไม่ลืมเลือนจ้าวเฟิง

‘ตราเนตรแห่งเทพ’ บนร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลง เจ้าหอโครงกระดูกได้ค้นพบอยู่ก่อนแล้ว ทว่าไม่ได้ลงมือทำลายมัน

เพียงแต่

เนตรสววรค์ที่ลอยสูงอยู่บนฟ้ายังคงมีท่าทีเฉยเมย เผยความรู้สึกครุ่นคิดออกมาเล็กๆ

“หืม?”

เจ้าหอโครงกระดูกพลันรับรู้ถึงบางอย่างได้ ทันใดนั้น เนตรสวรรค์ไร้ซึ่งการดิ้นรน ราวกับไร้ซึ่งความข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอย่าง ‘คุกขังวิญญาณ’ ดวงตาสีเขียวส่องประกายวูบ

ฟึ่บ!

‘เนตรสวรรค์’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันส่องประกายสีเขียวเย็นเยียบมุ่งตรงลงไปยังเบื้องล่าง

ฉัวะ! ฉัวะ!

คมมีดสายลมสีเขียวสว่างราวกับคมมีดอากาศที่มีความเร็วราวสายฟ้าฟาด มุ่งตรงไปยังประตูปราสาทอย่างรวดเร็ว

“อ๊ากกก”

สองร่างใหญ่โตใกล้ประตูปราสาทปรากฎหยาดเลือดสาดกระจายออกจากร่าง

ตุบ! ตุบ!

ร่างทั้งสองถูกตัดออกเป็นสองส่วน สร้างบ่อน้ำเลือดขึ้น

“อันใดกัน… เป็นไปได้อย่างไร…”

ร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลงถูกผ่าครึ่ง ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เต็มใจ

ทว่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอีกคน บนใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง เขายังไม่ทันเห็นวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงอย่างชัดเจนก็ตายตกอย่างไร้ความยุติธรรมเสียก่อนแล้ว

การเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึงนี้ได้ทำให้ผู้คนสะท้านเฮือก คนหลายคนพลันสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป

“เสี้ยววินาทีก็ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงสองคนได้? พลังสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงผู้นี้มิคาดว่าจะพัฒนาขึ้นถึงระดับนี้”

บนใบหน้าของหลินทงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เบิกตากว้างจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า

ท้องฟ้าเหนือปราสาท สีหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกแข็งค้าง เอ่ยขึ้นอย่างติดขัดว่า “เพิกเฉยต่อ ‘คุกขังวิญญาณ’ ไปเช่นนี้ได้อย่างไร? ดวงตานั่นอย่าได้บอกข้าเชียวว่ามันมิใช่รูปลักษณ์หนึ่งของดวงวิญญาณ?”

ในเสี้ยววินาที เนตรสวรรค์ก็ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ไปแล้วสองคน ทำให้ตัวเขาต้องสั่นสะท้าน ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาไร้ซึ่งหนทางคือ ‘เนตรสวรรค์’ นั่นมิรู้ว่าถูกสร้างขึ้นจากสิ่งใด?

ดวงตานั่นราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ราวกับเป็นเพียง ‘ภาพ’ ที่ข้ามผ่านระยะทางมา ตัวตนที่แท้จริงของมันไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน

เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า!

ดวงตาใหญ่โตกลางอากาศพลันกลับกลายเป็นสีเขียวคราม ส่องประกายสร้างเปลวเพลิงวายุอัสนีสีเขียวเข้มขึ้น

ตูม!

หนึ่งในสี่เพลิงวิญญาณระเบิดออกในเสี้ยววินาทีจากการโจมตีของดวงตา มันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่การโจมตีนั้นทะลวงผ่านเปลวเพลิงส่วนหนึ่งไป มันยังลามไปยังกายเนื้อที่อยู่บริเวณปราสาทเก่าแก่ด้วย

ตูม ครืนนน

ส่วนลึกส่วนหนึ่งของปราสาทเก่าแก่ได้ระเบิดขึ้น

ในเวลาเดียวกัน ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ ที่ครอบคลุมอยู่รอบปราสาทเก่าแก่ก็สั่นสะท้านเล็กๆ พร้อมหม่นแสงลง แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงอย่างมาก

“ไม่ดีแล้ว! แกนกลางค่ายกลถูกทำลาย”

เจ้าหอโครงกระดูกเผยความตื่นตะลึงออกมาในที่สุด

เมื่อ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ พังลง เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการรุมโจมตีของกองทัพยอดฝีมือหลายพันคนจากพันธมิตรสังหารมังกร นอกจากนั้น ฐานที่มั่นเล็กๆ ของหอแห่งลัทธิมารจันทราชาดที่เขาใช้เวลาหลายปีสร้างขึ้นก็จะถูกทำลายลง

ฟึ่บ!

เมื่อทำทั้งหมดเสร็จสิ้น ‘เนตรสวรรค์’ ก็หม่นแสงลงเล็กน้อย จางหายไปจากฟากฟ้า

เจ้าหอโครงกระดูกถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่การใช้เนตรสวรรค์ต้องใช้พลังค่อนข้างมาก อีกฝ่ายจึงไม่อาจที่จะโจมตีอย่างต่อเนื่องได้

ฟึ่บ!

เจ้าหอโครงกระดูกกลับไปยังปราสาท วาดธงในมือฟื้นฟูแกนกลางของค่ายกล

“โอกาสดี! ทุกคนร่วมมือกันทะลวงค่ายกลนี่”

ดวงตาของผู้เฒ่าซู่ส่องประกายเจิดจ้า ตวาดเสียงเบา เขามั่นใจในสถานการณ์ยามนี้อย่างมาก ในตอนนี้ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ ไม่เสถียรและอ่อนแอลง นับเป็นโอกาสในการทะลวงฝ่าออกไปที่ง่ายที่สุด

รวมทั้ง จ้าวเฟิงยังลงมือฆ่าสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงไปสองคน ทว่าไม่ได้ทำลายกำแพงสามมิติ ดูเหมือนว่าจะมีความตั้งใจเช่นนี้

จ้าวเฟิงไม่ช่วยให้พันธมิตรสังหารมังกรล่าถอย ทว่าช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถจู่โจมได้

เป็นเรื่องดีที่ศัตรูที่มีพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงถูกกำจัดไปแล้ว การป้องกันบริเวณประตูปราสาทจึงเหลืออยู่เพียง ‘หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย’ ที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมา ผู้คนรวมตัวกันจู่โจม คว้าเอาความได้เปรียบมาในทันที

“ฆ่า!”

“โจมตีปราสาท ทำลายค่ายกล”

ผู้อาวุโสไป๋ ชางหยูเยว่ และยอดฝีมือนักดาบคนอื่นๆ ส่งการจู่โจมที่ดุดันออกไป

เคร้ง!

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยวาดขวานเหล็กยักษ์ พยายามที่จะป้องกัน ยอดฝีมือจากฝ่ายเดียวกันตกตายราวใบไม้ร่วง

โชคดีที่ระหว่างที่เจ้าหอโครงกระดูกำลังซ่อมแซมค่ายกลก็ยังสามารถให้การสนับสนุนบริเวณนี้ได้บ้าง หรือมิเช่นนั้นหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยคงไม่อาจต่อต้านได้ถึงสิบลมหายใจ

ในเวลาเดียวกัน

ห่างออกไปหลายพันลี้ บนนกสีเขียวทอง

ฟึ่บ!

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกลับมายังร่าง เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

“หัวหน้าสาขาจ้าว เมื่อครู่มันเกิดอันใดขึ้นกัน?”

เตี๋ยเย่เอ่ยถามอย่างสงสัย

ไม่กี่ลมหายใจก่อนหน้า ร่างกายของจ้าวเฟิงได้อยู่ในสภาวะพิเศษ ส่งแรงกดดันจิตวิญญาณออกมาเจือจาง ทำให้คนทั้งสองรู้สึกหวาดเกรง

วิชาเนตรสวรรค์ของจ้าวเฟิงใช้ได้อย่างดีในซากปรักหักพังสือเฉิง พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองจึงไม่เข้าใจ

“เทียบกับที่คิดแล้วยังเลวร้ายกว่า… ยักษ์ใหญ่ในระดับเจ้าหอของลัทธิมารจันทราชาด ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์เป็นถึงผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ข้าจะไปก่อน!”

อันใดนะ!

เจ้าหอลัทธิมารจันทราชาด?

ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด!

พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองตื่นตะลึงจนสติล่องลอย ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจทำใจรับเรื่องน่าผวานี้ได้

ฟึ่บ!

สิ้นเสียง ประกายกระแสไฟฟ้าพร่าเลือนก็ได้จางหายไปที่เส้นขอบฟ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version