Skip to content

King of Gods 486

King Of Gods

บทที่ 486 ผูกวิญญาณเป็นข้ารับใช้

ในเสี้ยวพริบตา เจ้าหอโครงกระดูกก็ผวาจนสมองว่างโล่ง จ้าวเฟิงกระตุ้นการเคลื่อนไหวของพลังสายเลือดอย่างเต็มที่ สองมือผลักตรงไปยังร่างของศัตรู

ฟึ่บ

กลิ่นอายลึกล้ำของ ‘เงาหอกสีฟ้าเย็น’ ในฝ่ามือของจ้าวเฟิงส่งกลิ่นอายเย็นเยียบเก่าแก่ออกมา ราวกับว่าทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นดินแดนน้ำแข็งที่ไร้ที่สิ้นสุด

อาวุธวิเศษชั้นพิภพที่แตกหัก ‘เงาหอกสีฟ้าเย็น’ สามารถสร้างการโจมตีรุนแรงสู่เจ้าหอโครงกระดูกได้อย่างง่ายดาย

ในเวลาเดียวกัน พลังความเย็นที่เกินจะทานทนก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างของเจ้าหอโครงกระดูก พื้นผิวบนร่างของฝ่ายหลังปรากฏชั้นน้ำแข็งขึ้นบางๆ การเคลื่อนไหวติดขัด

เจ้าหอโครงกระดูกหวาดกลัวหนาวเหน็บ ร่างล่าถอยไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับเชื่องช้าแข็งเกร็งอย่างมาก

“ตายซะ”

จ้าวเฟิงกระตุ้นการเคลื่อนไหวของพลังสายเลือด คงสภาพ ‘เงาหอกสีฟ้าเย็น’ และเริ่มโจมตีเป็นครั้งที่สอง พลังรุนแรงกวาดออก

ในเสี้ยววินาที กลางอากาศได้ปรากฏเงาหอกสีน้ำเงินขึ้น เต็มไปด้วยพลังเย็นเยียบสีเขียวเข้มให้ความรู้สึกเก่าแก่ พลังได้พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งแปดทิศ

“แคร่ก”

แขนที่เหลืออีกข้างของเจ้าหอโครงกระดูกพลันถูกน้ำแข็งแช่ ความเย็นเยียบทำให้มันเปราะบาง ถูกหอกจู่โจมกะเทาะจนแตกออก

“หยุด เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้”

ทั่วทั้งร่างของเจ้าหอโครงกระดูกถูกชั้นน้ำแข็งปกคลุม เปลวเพลิงในเบ้าตาเผยความหวาดกลัวออกมา กระตุ้นวิชาลับ รีดเค้นพลังชีวิตออกมาอย่างมาก

จ้าวเฟิงพยายามคงสภาพของเงาหอกสีฟ้าเย็นอย่างเต็มที่ ทว่าเงาอาวุธชั้นพิภพนั้นกลับเริ่มปรากฏความไม่มั่นคงขึ้นแล้ว

ความรู้สึกอ่อนแอนั้นชัดเจนนัก

“ด้วยพลังสายเลือดของข้าไม่อาจที่จะคงสภาพเงาอาวุธวิเศษไว้ได้จนจบ ยิ่งเวลาผ่านไป พลังในการควบคุมก็จะยิ่งด้อยลง”

จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา รั้งพลังสายเลือดกลับ ‘เงาหอกสีฟ้าเย็นเยียบ’ ที่ลอยอยู่เบื้องหน้าก็ถูกเก็บกลับไปในเสี้ยววินาที

“วายุอัสนีทลาย”

สายลมและสายฟ้าสีเขียวบนร่างของจ้าวเฟิงส่องประกายเจิดจ้า ฝ่ามือปรากฏกลุ่มแสงสายลมและสายฟ้าบิดเบี้ยวควบรวมกันจนถึงขีดสุด ใจกลางกลุ่มวายุอัสนีได้ส่องประกายสีม่วงจางที่สั่นกระเพื่อม ก่อนที่มันจะระเบิดออกเป็นรูปพัด คลื่นวายุอัสนีทำลายล้าง เสียงฟ้าผ่าดังลั่นจนอากาศสั่นสะท้าน ทำลายสิ่งที่อยู่ในระยะหลายสิบจ้างโดยรอบในเสี้ยววินาที

‘ครืนน เปรี้ยง’ ร่างที่แข็งทื่อเชื่องช้าเพราะถูกน้ำแข็งแช่ของเจ้าหอโครงกระดูกถูกฝ่ามือของ ‘วายุอัสนีทลาย’ ซัดกระเด็นออกไปยังบริเวณหลุมศพ

ฝ่ามือนั้นแทบจะระเบิดร่างของเจ้าหอโครงกระดูกจนแหลกสลาย ร่างกระดูกสีทองเงินที่แตกหักจนแทบมองไม่เห็นเป็นร่างมนุษย์ของมันร่วงลงสู่พื้น

“เจ้า… อย่าได้บอกเชียวว่าเจ้าได้ครอบครองเศษเสี้ยวอาวุธชั้นพิภพอยู่…”

ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกแทบจะแหลกสลาย ร่วงลงในบริเวณหลุมศพ กระเสือกกระสนร่างของตนเองขึ้นอย่างสุดความสามารถ

ในยามนี้ ใจเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและสงสัย

เมื่อครู่ ‘เงาอาวุธชั้นพิภพ’ ในมื่อของจ้าวเฟิง หากโจมตีมาเป็นครั้งที่สามย่อมเพียงพอที่จะคร่าชีวิตของเจ้าหอโครงกระดูกได้

ทว่าจ้าวเฟิงไม่ทำเช่นนั้นและรั้งพลังสายเลือดกลับไปอย่างเฉยชา

ความจริงแล้ว หากจ้าวเฟิงพยายาม เขาก็ยังคงสามารถรักษาสภาพของ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ เอาไว้ได้ ใช้โจมตีอีกสัก 1-2 ครั้งจึงจะทำให้พลังสายเลือดของเขาเหือดแห้งลงจนหมด

ร่างของจ้าวเฟิงทะยานวูบลงบริเวณหลุมศพ ยกเท้าขึ้นเหยียบศีรษะของเจ้าหอโครงกระดูก

“ไอ้เด็กสารเลว หากจะฆ่าก็ฆ่า…”

เจ้าหอโครงกระดูกเต็มไปด้วยความอัปยศโกรธแค้น ทว่าไม่มีแรงที่จะดิ้นรนมากนัก

เขาพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิงอย่างสิ้นเชิง

ยามที่เงาอาวุธชั้นพิภพนั้นปรากฏขึ้น ผู้ที่ครอบครองชัยชนะและผู้ที่พ่ายแพ้ก็ได้ถูกตัดสินแล้ว มีเพียงแค่ยามที่ตัวเขามีพลังอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอย่างสมบูรณ์จึงจะสามารถรับมือกับพลังนั่นได้

“มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก ฮี่…”

จ้าวเฟิงหรี่ตากวาดมองร่างโครงกระดูกสีทองเงินของเจ้าหอโครงกระดูก

ความแข็งของร่างโครงกระดูกของอีกฝ่ายนั้น จ้าวเฟิงเข้าใจเป็นอย่างดี นี่คือโครงกระดูกของร่างในระดับผู้สูงศักดิ์ กระทั่งสามารถต้านทานดาบของผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่ก่อนหน้าได้

จ้าวเฟิงตัดสินใจ ต้องทำให้เจ้าหอโครงกระดูกที่มีกระดูกที่ทรงพลังเช่นนี้กลายเป็นหุ่นเชิดโครงกระดูกของตนเองให้ได้ แต่ในทางกลับกัน กองกระดูกสีทองและเงินเองก็สามารถใช้เป็นวัสดุในการเสริมความแข็งแกร่งแก่หุ่นเชิดตัวอื่นๆ ที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน

ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษชั้นพิภพจัดการอีกฝ่ายจนตาย

“เจ้าหอโครงกระดูก ยามนี้เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่ง ตายแล้วร่างของเจ้าจะกลายมาเป็นวัสดุในการเสริมพลังให้หุ่นเชิดของข้า หรือสอง ยอมศิโรราบ มาเป็นข้ารับใช้ของข้า”

จ้าวเฟิงเอ่ยตรงๆ

“เจ้า… ไอ้เด็กไร้ยางอาย…”

เจ้าหอโครงกระดูกคำรามเสียงต่ำอย่างกราดเกรี้ยว เขาเพียงพยายามจะดิ้นรน ศีรษะที่ถูกจ้าวเฟิงเหยียบอยู่อย่างหนานแน่นก็ปรากฏเสียง ‘แคร่ก แคร่ก’ ออกมาอย่างแปลกประหลาด

หากจ้าวเฟิงจะฆ่าเขา มันก็ลำบากเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ร่างโครงกระดูกของเจ้าหอโครงกระดูกแทบจะเรียกได้ว่าไม่เหลือเค้าเดิม พลังต่อสู้เหลือน้อยกว่าหนึ่งส่วน ยากที่จะต่อต้าน เขาคิดที่จะกระตุ้นใช้พลังจิตที่ตนเองเชี่ยวชาญอย่างยากลำบาก คิดจะตอบโต้เป็นครั้งสุดท้ายและหลบหนีไป

ทว่าเมื่อคิดถึงพลังสายเลือดดวงตาที่น่าหวาดกลัวของจ้าวเฟิง แทบจะไม่ได้รับผลจากการโจมตีพลังจิต เจ้าหอโครงกระดูกก็พลันรู้สึกไร้หนทาง

ดวงตาเทพเจ้าจ้องมองไปยังเจ้าหอโครงกระดูกอย่างไม่ละสายตา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิชาใดออกมา เขาเพียงต้องใช้ ‘วิชาดวงตา’ ออกไปก็สามารถจบชีวิตของอีกฝ่ายได้

เจ้าหอโครงกระดูกที่ถูกจับเอาไว้ย่อมรู้เรื่องนี้ดี

“ไอ้หนู… เปิ่นซั่วไม่เชื่อว่าหลังจากนี้เจ้าจะสามารถใช้ศพของข้าเป็นวัสดุในการเสริมหุ่นเชิดได้ อย่าได้บอกเชียวว่าเจ้ายังเชี่ยวชาญในวิชาศาสตร์แห่งซากศพด้วย?”

เจ้าหอโครงกระดูกหยุดดิ้นรน ในเบ้าตาปรากฏประกายเจ้าเล่ห์ขึ้น เขาใช้มูลค่าสุดท้ายของร่างกายเขาในการต่อรองกับจ้าวเฟิง เป็นจ้าวเฟิงที่ทำให้เขานึกขึ้นได้ แม้ว่าเจ้าหอโครงกระดูกจะตายไป อีกฝ่ายก็ยังสามารถใช้ศพของเขาได้

ในเรื่องนี้ เจ้าหอโครงกระดูกตั้งคำถามขึ้น หากอีกฝ่ายปฏิเสธ นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวย่อมไม่ฆ่าเขาง่ายๆ

หากมูลค่าไม่อาจประเมินค่าอย่างอดีตผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือคนอื่นๆ ย่อมรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

ฟึ่บ

ข้างกายของจ้าวเฟิงพลันปรากฏหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬขึ้น กลิ่นอายของพวกมันสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ นัยน์ตาของเจ้าหอโครงกระดูกสั่นระริก ดวงตาของเขาย่อมสามารถมองเห็นระดับพลังของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองนี้ได้ นอกจากนั้น ลูกประคำในมือของจ้าวเฟิงยังได้ดึงดูดความสนใจของเจ้าหอโครงกระดูก

หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองถูกนำออกมาจากประคำสีดำนั้น

“ประคำนั่น…”

หัวใจของเจ้าหอโครงกระดูกพลันกระตุกวูบ

เขาเชี่ยวชาญในวิชาศาสตร์แห่งซากศพ หรือมิเช่นนั้นคงไม่มีรูปลักษณ์เช่นในยามนี้และหลบหนีออกจาการล้อมฆ่าของสิบยอดสำนักในอดีตได้

กระทั่งในด้านของความรอบรู้ เจ้าหอโครงกระดูกก็นับว่าเป็นตัวตนที่สุดยอดในทวีปบุปผาคราม

‘ประคำหมื่นวิญญาณ’ ในมือของจ้าวเฟิงคือของศักดิ์สิทธิ์ศาสตร์แห่งภูตผีเป็นของต่างแดน มาจาก ‘มหาจักรพรรดิหมื่นพราย’ ในอดีต

ประคำหมื่นวิญญาณนี้ได้มีกลิ่นอายวิญญาณแผ่ออกมาเล็กๆ ทำให้หัวใจของเจ้าหอโครงกระดูกเต้นอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้การสังเกตอย่างละเอียด พลังวิญญาณในร่างของเขาก็สั่นสะท้านกระเพื่อมไหวอีกครั้ง รู้สึกราวกับว่าต้องค้อมลงคารวะ

“ความอดทนของข้ามีจำกัด ตาย หรือว่าเป็นข้ารับใช้ของข้า”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างหมดความอดทน

สีหน้าของเด็กหนุ่มเผยความไม่พอใจออกมา ปัญหาในอนาคตของแคว้นเมฆาจำต้องจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาจึงสามารถไปยังอาณาจักรนภาได้อย่างสบายใจ

สีหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกมืดทะมึนลังเล สายตามองสลับไปมาระหว่างดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงกับประคำหมื่นวิญญาณ

ดวงตาเทพเจ้าทำให้เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกหวาดผวา ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ประคำหมื่นวิญญาณทำให้เขารู้สึกราวกับถูกล่อลวง

“หากไม่ยอมเป็นข้ารับใช้ ข้าคงต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย หากยอมแพ้ไปก่อน อย่างน้อยในอนาคตก็ยังมีโอกาสที่จะแก้แค้น หากสำเร็จ ประคำนั่นก็จะเป็นของข้า…”

หลังจากที่เจ้าหอโครงกระดูกชั่งใจก็กัดฟันแน่น ตัดสินใจได้ในที่สุด

‘ประคำหมื่นวิญญาณ’ ในมือของจ้าวเฟิงดึงดูดความสนใจของเจ้าหอโครงกระดูกอย่างมหาศาล

ในประสบการณ์ชีวิตหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในระดับนี้ของศาสตร์แห่งซากศพเลยแม้แต่ชิ้นเดียว บางทีทั่วทั้งทวีปอาจไม่มีชิ้นที่สองแล้ว

หากเขาสามารถตอบโต้ได้สำเร็จ สิ่งที่เขาได้ย่อมเป็นวัสดุที่ไม่อาจคาดประเมินได้

“ข้ายอมเป็นข้ารับใช้เจ้า แต่ในเวลาเดียวกัน เจ้าต้องสัญญาว่าจะคงสติปัญญาของข้าเอาไว้”

สีหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกหม่นหมอง เอ่ยสัญญาขึ้น

“ได้”

จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบรับคำขอของเจ้าหอโครงกระดูก

วิธีการจับเจ้าหอโครงกระดูกมีอยู่สองวิธี

อย่างแรกคือการชำระล้างให้กลายเป็นหุ่นเชิด มันจะไม่มีสติปัญญา สูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเองอย่างสมบูรณ์

อย่างที่สองคือการใช้วิชาพิเศษควบคุมเจ้าหอโครงกระดูก ทว่าอีกฝ่ายจะมีสติปัญญาเป็นของตนเอง ทว่าสิทธิ์ในชีวิตของมันจะเป็นของจ้าวเฟิง

และวิธีการแรกเป็นสิ่งที่เจ้าหอโครงกระดูกไม่อาจยอมรับได้ ยินยอมที่จะตายเสียดีกว่า

หากกลายไปเป็นหุ่นเชิดของจ้าวเฟิง เขาย่อมไร้ซึ่งสติปัญญา เลวร้ายเสียยิ่งกว่าตาย ทว่าวิธีการที่สอง อย่างน้อยเจ้าหอโครงกระดูกก็ยังคงมีโอกาสอันน้อยนิด

ตัวอย่างเช่น หากจ้าวเฟิงตาย เจ้าหอโครงกระดูกก็จะได้รับอิสระกลับคืนมา

ดังนั้นแล้ว สำหรับวิธีการที่สองจึงนับเป็นความเสี่ยงสำหรับผู้เป็นนายในระดับหนึ่ง จำเป็นต้องมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าและสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้

จะอย่างไร ในยามรุ่งโรจน์ เจ้าหอโครงกระดูกก็เป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ล่วงรู้เล่ห์กลมากมาย นับว่าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจยิ่งนัก หากเป็นยอดฝีมือทั่วไปพยายามจับตัวเขา อีกฝ่ายย่อมตายจากการลอบโจมตีตอบโต้ในไม่กี่นาทีอย่างแน่นอน

“วิธีการที่สอง แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ทว่าข้ารับใช้ที่มีสติปัญญา เมื่อเทียบกับหุ่นเชิดในระดับเดียวกัน ความสามารถก็มีมากกว่า”

จ้าวเฟิงเข้าใจถึงความทรงพลังนั้นดี

ทว่าเด็กหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอบตกลงคำขอนั้น

พลังและการเติบโตของตนเอง จ้าวเฟิงมั่นใจยิ่งนัก เขามีความมั่นใจในการควบคุมเจ้าหอโครงกระดูก

พักผ่อน

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าศีรษะของเจ้าหอโครงกระดูก ฟื้นฟูพลังดวงตาและพลังวิญญาณ แมวขโมยตัวน้อยนั่งอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่ม คอยเฝ้ามองเจ้าหอโครงกระดูกเอาไว้

หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองก็ยังคงยืนอยู่ข้างร่างของเจ้าหอโครงกระดูก

เปลวเพลิงสีแดงในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกหม่นลง ลอบทอดถอนใจ เด็กนี่เองก็ไม่ได้ระมัดระวังตัวอย่างธรรมดา

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

‘เมล็ดใจทมิฬ’ ได้ถูกจ้าวเฟิงฝังลงไปในส่วนลึกของดวงวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูกได้สำเร็จ เมล็ดใจทมิฬในยามนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในร่างของหลินทงก่อนหน้านับว่าแตกต่างอย่างมาก

ครั้งก่อนที่จ้าวเฟิงบังคับฝัง ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ลงไปในร่างของหลินทงไม่ได้ทำอย่างละเอียด ทั้งยังได้รับการต่อต้านอย่างมาก อาจทำให้ดวงวิญญาณของเป้าหมายแตกสลายได้

แต่ในยามนี้ เจ้าหอโครงกระดูกจำต้องให้ความร่วมมือ ยอมให้ ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ฝังลงไปในส่วนลึกของดวงวิญญาณด้วยตนเอง

นอกจากนั้น

ในยามนี้ ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ยังพัฒนาขึ้นไปกว่าก่อนหน้า พลังดวงตาและพลังวิญญาณที่จ้าวเฟิงต้องใช้มากมายกว่าครั้งก่อนหลายสิบเท่า ความแข็งแกร่งของมันย่อมเพิ่มขึ้นตามไปอีกเป็นเท่าตัว

“วิธีการควบคุมจิตใจเช่นนี้ ฝังลงไปในดวงวิญญาณ เกี่ยวเนื่องกับศาสตร์แห่งดวงวิญญาณ ทั้งยังใช้พลังสายเลือด อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเป็น ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’…”

เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกอ่อนล้าอยู่ในใจ ทว่าก็ไม่ต่อต้าน ให้ความร่วมมือกับจ้าวเฟิงในการฝังเมล็ดใจทมิฬลงในดวงวิญญาณ

พลังของ ‘เมล็ดใจทมิฬ’ แข็งแกร่งเพียงใด เจ้าหอโครงกระดูกเข้าใจเป็นอย่างดี ในดวงวิญญาณของเขาราวกับมีระเบิดเวลาที่สามารถจะคร่าชีวิตของตัวเขาไปได้ทุกขณะอยู่

“ดี”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

พลังในการควบคุมของ ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ในยามนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งยังใช้ผ่านดวงตาเทพเจ้า ลำบากเพียงแค่คิดก็สามารถคร่าชีวิต ทำลายดวงวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูกได้แล้ว

“แม้ข้าจะกลับไปมีพลังในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสุดเช่นเดิม ทว่าหากต้องการทำสลายวิชาศาสตร์แห่งวิญญาณต้องห้ามเช่นนี้ โอกาสสำเร็จมีน้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วน”

เจ้าหอโครงกระดูกที่ร่างกระจัดกระจายไปทั่วสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหดหู่อัปยศ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version