Skip to content

King of Gods 526

King Of Gods

บทที่ 526 เคียงบ่าเคียงไหล่

“เอาน่า โอรสสวรรค์สามตา….ถ้าเจ้าอยากจะแก้แค้นให้บิดา ก็มาประลองกับข้าตอนนี้ได้เลย”

จ้าวเฟิงท้าทาย ความหมายที่แฝงอยู่ประโยคนั้นก็คือ ข้าเป็นคนฆ่าพ่อเจ้า หากมีปัญญาก็ฆ่าข้าสิ!

“เจ้า…” โอรสสวรรค์สามตาโกรธจนตัวสั่น ดวงตาที่สามบนหน้าผากร้อนเร่าๆ เกือบจะแผลงฤทธิ์ตรงนั้น

อย่าผลีผลามไป! ปิงเวยเซียนจื่อกัดฟันห้ามโอรสสวรรค์สามตาไว้

ในความเป็นจริง ความเกลียดชังที่นางมีต่อจ้าวเฟิงจนอยากให้เขาตายไปไม่ได้น้อยกว่าโอรสสวรรค์สามตาเท่าไหร่ เพียงแต่นางรู้ว่าโอรสสวรรค์สามตามิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิง ต่อให้นางและเขาร่วมมือกันก็อาจจะไม่สามารถชนะจ้าวเฟิงได้

“โอหังซะจริง!”

ราชินีฉวนปิงผู้อยู่กลางอากาศเอ่ยเสียงเย็น ด้วยพลังจิตของขอบเขตแก่นก่อกำเนิด นางควบคุมกลิ่นอายน้ำแข็งจากธรรมชาติพัดพาเอาไอเย็นมา

ในเสี้ยววินาทีนั้น โลหิตในร่างกายของฝูงชนในลัทธิโลหะเลือดราวกับโดนแช่แข็งแล้วหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เรือนผมสีน้ำเงินสะบัดพลิ้วอย่างรุนแรง เขาแหงนหน้ามองราชินีฉวนปิงแต่ไม่มีทีท่าของความอ่อนแอ

หลังปิดด่านฝึกตนในระยะเวลาสามสี่เดือนที่ผ่านมานี้ พลังของจ้าวเฟิงก้าวหน้าขึ้นมากจนเรียกได้ว่าก้าวกระโดด เขาเชื่อมั่นว่าต่อให้ไม่อาจประลองชนะผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ไหว

ทั้งที่เผชิญหน้ากับพลังจิตและอำนาจของผู้สูงศักดิ์ แต่จ้าวเฟิงกลับไม่ขยับเขยื้อนราวกับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“พลังวิญญาณของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” นักพรตไป๋หยุนแอบตกใจ

ราชินีฉวนปิงเองก็ย่อมมองออกเช่นกันว่าพลังวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งอย่างคาดไม่ถึง ขนาดที่ไม่หวั่นเกรงในแรงกดดันวิญญาณของผู้สูงศักดิ์เลย

จิตวิญญาณก็คือพลังแห่งวิญญาณ พลังเช่นนี้คือจุดก่อกำเนิดของฌานมนุษย์ทั้งหมด การจะไปในขั้นที่สูงขึ้นนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง

โดยปกติแล้วหากขอบเขตจิตวิญญาณยิ่งสูง ความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าพลังวิญญาณยิ่งแข็งกล้ามากเท่าไหร่ เมื่อฝึกตนขอบเขตจิตวิญญาณใดๆ ก็จะไปได้ไกลกว่าคนปกติธรรมดา

ด้วยเหตุนี้ พลังวิญญาณจึงไม่ได้มีค่าเท่ากับขอบเขตจิตวิญญาณ

จ้าวเฟิงมีขอบเขตของพลังในระดับขั้นนายเหนือแท้ แต่พลังวิญญาณกลับแข็งแกร่งใกล้เคียงกับผู้สูงศักดิ์ซึ่งผิดแผกไปจากธรรมดา

“งานชุมนุมเซียนมังกรที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงยังไม่รุนแรงมากเพียงนี้” ราชินีฉวนปิงใจเต้นรัว

ตั้งแต่ ‘มรดกนิรนาม’ ลึกลับปรากฏขึ้น พลังวิญญาณและขอบเขตพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ไปถึงระดับสูงมาก จนอัจฉริยะธรรมดาฝึกกว่าร้อยปีก็ไม่อาจกระโดดไปได้ไกลขนาดนี้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในแววตาของราชินีฉวนปิงก็ร้อนรุ่มขึ้นมา

ในความเป็นจริง การที่นางมายังลัทธิโลหะเลือดเพื่อถามทวงความผิด ออกหน้าแทนโอรสสวรรค์สามตา หรือแก้แค้นแทนลูกศิษย์ล้วนแต่เป็นหนึ่งในเหตุผลก็เท่านั้น

สิ่งที่ดึงดูดตาล่อใจที่แท้จริงคือมรดกนิรนามนั่นต่างหาก

วูบ!

ฉับพลัน ลำแสงสีแดงหอบเอาไอสังหารจากผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของลัทธิโลหะเลือดมา ลำแสงที่รุนแรงนั้นพุ่งแทรกกลางระหว่างราชินีฉวนปิงและจ้าวเฟิง

เป็นจ้าวลัทธิหง!

“ราชินีฉวนปิง”

จ้าวลัทธิหงเอ่ยขึ้นเรียบๆ”ท่านเป็นถึงผู้สูงศักดิ์ จะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องราวความแค้นระหว่างจ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตารึ จ้าวเฟิงสังหารผู้นำตระกูลจินหยางก็เป็นเพียงแค่การปกป้องตัวเองเท่านั้น วังฉวนปิงในวันนี้ลำเอียงซะแล้วหรือ”

“ที่แท้พลังขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของจ้าวลัทธิหงคนนี้ฟื้นเต็มที่แล้ว”

สีหน้าของราชินีฉวนปิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ต่อให้ไม่มีหลักคุณธรรมบ้าบอพวกนั้น จ้าวลัทธิหงก็ยังคงทุ่มเทกำลังปกป้องจ้าวเฟิงโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา เพราะอัจฉริยะอย่างเช่นจ้าวเฟิงทั้งทวีปมิอาจหาได้อีกแล้ว หากเปลี่ยนเป็นสำนักเทียนหยวนหรือวังฉวนปิงของนางก็อาจจะทำเช่นนี้ไม่ต่างกัน

“ตัวข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย จ้าวเฟิงผู้นั้นมีความสามารถมากพอจะฆ่าผู้นำตระกูลจินหยางทั้งสองเพียงคนเดียวงั้นรึ? อนึ่งเฉิงเอ๋อร์เองก็เป็นคู่หมั้นของปิงเวย ทำไมข้าจะออกหน้าแทนเขาไม่ได้”

แววตาราชินีฉวนปิงวาววับ มุมปากยกขึ้นยิ้มเรียบๆ

คู่หมั้นของปิงเวยเซียนจื่อ?

ผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นอดตกใจไม่ได้

ข้ออ้างที่ปิงเวยเซียนจื่อตามสืบหาเรื่องนี้ถึงแม้จะพอฟังขึ้น แต่ว่าก็ดูไม่น่าเชื่ออยู่บ้าง ในเมื่อตระกูลจินหยางเริ่มลงมือก่อน ตามหลักศีลธรรมก็ไม่สามารถหาข้อแก้ตัวใดๆ มาลบล้างได้แล้ว

“องค์ราชินี ท่านสงสัยในความสามารถของข้างั้นหรือ? หากไม่เชื่อ ท่านส่งคนของวังฉวนปิงที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดให้ข้าลองสังหารดูก็ได้นะ”

จ้าวเฟิงเลียริมฝีปากด้วยท่าทียียวนไม่น้อย

ทันทีที่เอ่ยจบผู้คนก็วิจารณ์กันจอแจ น้ำเสียงอวดดีของจ้าวเฟิงถือได้ว่าเป็นการไม่เคารพและท้าทายต่อผู้สูงศักดิ์อย่างมาก

นอกเหนือไปจากความตกใจของผู้คนยังมีความสงสัยปนอยู่

จากพลังของจ้าวเฟิงที่เคยเห็นกันมาก่อน หากประลองชนะขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาก็ยังพอจะเป็นไปได้ แต่หากว่าสังหารผู้อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสองคนพร้อมกันได้ก็ออกจะน่าตกใจอยู่

“เจ้าเด็กนี่เอาความมั่นใจมาจากไหน เขาสังหารผู้อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสองได้จริงหรือ?” ความมั่นใจที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาทำให้คนในฝั่งราชินีฉวนปิงจนด้วยคำพูดและใจฝ่ออยู่หน่อยๆ

ถ้าหากไม่เชื่อก็ลองดู! จ้าวเฟิงไม่กลัวโดนทดสอบหรือท้าประลองแม้แต่น้อย

แต่ถึงแม้จะเป็นวังฉวนปิงหรือสำนักเทียนหยวน สำนักทั้งหลายเหล่านี้ก็มิบังอาจนำชีวิตของผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสองมาล้อเล่น

“เอาเถอะ ท่านทั้งหลาย จ้าวเฟิงเป็นผู้ที่ลงมือสังหารผู้นำตระกูลจินหยางจริง แต่นี่เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับตระกูลจินหยาง หากผู้ใดสอดมือเข้ามายุ่ง ข้าจะไม่ยืนดูอยู่เฉยๆ แน่”

เสียงของจ้าวลัทธิหงดังขึ้น สีหน้าของราชินีฉวนปิงเปลี่ยนไปมา ทันใดนั้นก็คิดแผนการออกอย่างรวดเร็ว สายตาจึงมองไปยังนักพรตไป๋หยุน

“ท่านนักพรตไป๋หยุน ทั้งท่านและข้าล้วนแต่มีเรื่องต้องถามจ้าวเฟิง ในเมื่อมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่สู้ร่วมมือกันบีบบังคับจ้าวลัทธิหงให้ส่งตัวจ้าวเฟิงมาให้พวกเราดีกว่าหรือ”

คนทั้งสองสบตากันแล้วติดต่อกันทางประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ

นักพรตไป๋หยุนมองไปยังราชินีฉวนปิงอย่างมีความนัยแอบแฝง แต่ทว่าไม่ได้ตอบกลับในทันที

อันที่จริงตอนนี้ ‘ความจริง’ ก็ได้ปรากฏออกมาแล้ว ทว่าราชินีฉวนปิงยังคงมีข้อสงสัยที่ต้องการถามจ้าวเฟิง นั่นแปลว่าเจตนาของนางไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่

เมื่อได้เผชิญหน้ากับวิชา ‘มรดกนิรนาม’ ที่ลึกลับและแข็งกล้านั่น ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย จะอย่างไรก็ต้องสนใจมันเป็นอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าการดื่มเหล้าของนางมิใช่เพื่อให้มึนเมาแต่เพื่อชมจันทร์ (หมายถึงมีเจตนาที่แท้จริงแอบซ่อนอยู่)

ตอนที่นักพรตไป๋หยุนและราชินีฉวนปิงสบตากันแล้วติดต่อกันด้วยประสาทสัมผัสวิญญาณ ไม่อาจเล็ดลอดสายตาจ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวไปได้

“ผู้ที่มาเยือนด้วยเจตนาร้ายคือนางนี่เอง ราชินีฉวนปิง” จ้าวลัทธิหงใจหายวูบ

เวลาผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ นักพรตไป๋หยุนและราชินีฉวนปิงแลกเปลี่ยนสายตากันแล้ว ร่างกายก็ขยับวูบไหว

ขวับ ขวับ!

ร่างของผู้สูงศักดิ์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองพุ่งเข้าหาจ้าวเฟิงและจ้าวลัทธิหงผู้อยู่ตรงกลางพร้อมกัน

“นักพรตไป๋หยุน นี่พวกท่านหมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าจ้าวลัทธิหงเปลี่ยนไป

นักพรตไป๋หยุนเอ่ยยิ้มๆ ด้วยแววตาสงบ”ข้าเพียงแค่อยากจะรู้รายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับหยูเฟ่ยจากจ้าวเฟิงก็เท่านั้น มิได้มีเจตนาร้ายใด”

มุมปากของราชินีฉวนปิงยกขึ้นยิ้มเย็น

นางแทบจะให้ความช่วยเหลือนักพรตไป๋หยุนอย่างไร้เงื่อนไขเพื่อเป็นพันธมิตรกัน อีกฝ่ายจะปฏิเสธได้อย่างไร?

ฝั่งหนึ่งคือลัทธิโลหะเลือดที่เริ่มกลับมารุ่งเรือง ส่วนอีกฝั่งเป็นวังฉวนปิงที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบยอดสำนักของทวีป นักพรตไป๋หยุนต้องไม่ยอมมีปัญหากับฝ่ายหลังแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ราชินีฉวนปิงและนักพรตไป๋หยุนล้วนแต่ต้องการจะสืบสวนจ้าวเฟิง

ในสถานการณ์เช่นนี้ คนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดราวกับพบศัตรูตัวฉกาจในฉับพลัน ทั้งจ้าวลัทธิหงและชายผมแดงเถี่ยหมัวใจร้อนรุ่มราวเปลวเพลิง การที่ต้องรับมือผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพร้อมกันเกรงว่าเกินขอบเขตที่ลัทธิโลหะเลือดจะรับมือไหว แต่ว่าจ้าวเฟิงที่เป็นตัวต้นเรื่องกลับไม่ร้อนใจเลยแม้แต่น้อย

ในเวลานี้เอง เสียงแข็งๆ เสียงหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา”การประลองระหว่างข้ากับจ้าวเฟิง ไม่ว่าใครก็ห้ามสอด”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเรือนผมสีดำแววตาเย็นชาดังมาจากตำหนักใหญ่ด้านหลัง

เป็นหยูเทียนฮ่าว!

เหล่าฝูงชนตกใจจนสติหลุดลอยไป ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ทุกคนเกือบละเลยราชาผู้ถูกเลือก ซึ่งมีฉายาเดียวกับจ้าวเฟิงคนนี้

วูบ!

หยูเทียนฮ่าวก้าวเท้าเข้ามายืนข้างๆ จ้าวเฟิง

 

“หยูเทียนฮ่าว นี่เจ้า…” จ้าวเฟิงงุนงงเล็กน้อย

นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไยหยูเทียนฮ่าวจึงต้องเข้ามายุ่ง

“ก่อนจะประลอง ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าบาดเจ็บตรงไหนทั้งนั้น ใครเป็นศัตรูของจ้าวเฟิงจะต้องผ่านข้าหยูเทียนฮ่าวไปก่อน”

หยูเทียนฮ่าวและจ้าวเฟิงยืนเคียงข้างกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง หยูเทียนฮ่าวไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ในแววตากลับซ่อนความตื่นเต้นไว้ เลือดในร่างกายราวกับว่ากำลังร้อนรุ่ม จิตต่อสู้แผ่กระจายออกมา

จิตต่อสู้ที่ไร้รูปร่างนั้นก่อให้เกิดเจตจำนงตั้งมั่นที่เกินกว่าขอบเขตของพลังฝึกตน

ในวินาทีนั้น จิตใจของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองสั่นไหวน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังฝึกตนหรือสำนึกรู้ เจตจำนงตั้งมั่นจากจิตต่อสู้บนตัวของหยูเทียนฮ่าวอาจจะเรียกได้ว่าพุ่งโจมตีผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายให้อกสั่นขวัญแขวนทีเดียว

“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“หรือว่านี่คือ ‘สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทาน’ ในตำนานของตระกูลหยู?”

ในสายตาของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองมีแววกังวลใจเล็ดลอดออกมา

‘สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทาน’ ในร่างของหยูเทียนฮ่าว แน่นอนว่าเป็นสิ่งต้องห้ามในตำนาน เจตจำนงตั้งมั่นนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้สูงศักดิ์ตื่นตระหนกได้

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองก็เกรงอกเกรงใจบิดาของหยูเทียนฮ่าว ‘หยูซิงเฉิน’ และปูมหลังของตระกูลหยูอยู่ไม่น้อยเลย

“หยูเทียนฮ่าว ถ้าเจ้าจะยื่นมือเข้ามายุ่งข้าก็ไม่ถือสา แต่ว่านี่คือเรื่องส่วนตัวของข้า จะให้เจ้าออกรับเพียงคนเดียวได้อย่างไร” น้ำเสียงของจ้าวเฟิงมีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า เขาค่อยๆ ก้าวเท้าออกมา

เสี้ยววินาทีนั้น ทันทีที่ดวงตาเทพเจ้าเปิดออก ไอพลังสีน้ำเงินเข้มราวมหาสมุทรก็ปะทุขึ้นในระดับวิญญาณ

บนร่างกายของจ้าวเฟิงมีคลื่นวิญญาณที่น่าเกรงขามไหลระเรื่อยออกมารวมกับพลังของดวงตาเทพเจ้า

“เป็นไปได้อย่างไร…พลังดวงตาช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน!”

โอรสสวรรค์สามตาผู้มีสายเลือดเนตรเซียนกลัวจนตัวสั่นเทาแทบจะหยุดหายใจ

ขนาดผู้สูงศักดิ์ทั้งสองยังใจเต้นระรัวเหมือนสติหลุดลอยไปเล็กน้อย

พลังวิญญาณและดวงตาของจ้าวเฟิงได้ทะลวงไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเรียบร้อยแล้ว ที่ทวีปบุปผาครามไหนเลยจะเคยมีอัจฉริยะที่้เก่งกาจเช่นนี้

ในขณะนั้นเอง เจตจำนงตั้งมั่นของหยูเทียนฮ่าวกับพลังวิญญาณและพลังดวงตาที่ลึกล้ำน่ากลัวของจ้าวเฟิง กลายเป็นความแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้สูงศักดิ์ต้องตกตะลึง

ไอพลังทั้งสองล้วนแต่ถึงขั้นที่โจมตีผู้สูงศักดิ์ให้อกสั่นขวัญแขวนได้ทั้งสิ้น

ตึกตัก! ตึกตัก!

คนที่อยู่ขั้นต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในที่แห่งนั้นเกิดความรู้สึกสั่นสะท้าน ใจสั่นระรัว

นี่มันบ้าไปแล้ว!

ราชาแห่งผู้ถูกเลือกมากความสามารถที่สุดทั้งสองจะจับมือเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

อีกทั้งคู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช่แค่นายเหนือแท้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่เป็นผู้สูงศักดิ์ที่เป็นดั่งตำนานอันยิ่งใหญ่ของทวีป

“ความคิดของเจ้าไม่เลวนัก เลือดข้าเหมือนจะเริ่มเดือดแล้ว”

ใบหน้าของหยูเทียนฮ่าวมีแววตื่นเต้น ถึงแม้เขาจะบ้าบิ่น แต่ก็รู้ว่าการประลองกับผู้สูงศักดิ์ตัวต่อตัวโอกาสชนะนับว่ามีน้อยนิดนัก

ทว่าทุกอย่างดูราวจะเป็นไปได้ถ้าหากร่วมมือกับจ้าวเฟิง

ขณะนั้นในสนามประลองเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

หยูเทียนฮ่าวผู้เดิมทีต้องการท้าประลองกับจ้าวเฟิง แต่ทันใดนั้นกลับกลายเป็นว่าร่วมมือกัน

ทั้งสองและจ้าวลัทธิหงหันหลังชนกัน

จ้าวลัทธิหงหันหน้าเข้าหาราชินีฉวนปิง ส่วนจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวหันหน้าเข้าหานักพรตไป๋หยุน

“บางทีพวกเขาอาจจะทำได้”

จ้าวลัทธิหงสัมผัสได้ถึงความเชื่อมั่นไม่เกรงกลัวสิ่งใดจากเหล่าราชาแห่งผู้ถูกเลือกทั้งสอง

ราชาแห่งผู้ถูกเลือกทั้งสองร่วมมือกัน พลังและความเชื่อมั่นที่ผสานรวมเป็นหนึ่งบีบคั้นผู้สูงศักดิ์ทั้งสองอย่างยิ่ง

การเผชิญหน้ากับสองราชาแห่งผู้ถูกเลือกทำให้ผู้สูงศักดิ์ทั้งสามรู้สึกว่าตนชราขึ้นมา

วัยรุ่นเลือดร้อนเช่นนี้มีจิตวิญญาณที่พร้อมทุ่มทุกอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถมีได้

ด้วยเหตุนี้เอง จ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวจึงได้เป็นราชาแห่งผู้ถูกเลือกเคียงข้างกัน แต่ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในที่แห่งนั้น ยามที่พวกเขาอ่อนวัยเกรงว่าคงทำได้เพียงแค่แหงนมองผู้ถูกเลือกทั้งสองจากไกลๆ ก็เท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version