Skip to content

King of Gods 527

King Of Gods

บทที่ 527 การประนีประนอมของผู้สูงศักดิ์

กลางอากาศ นักพรตไป๋หยุนและราชินีฉวนปิงขาดสติไปชั่วขณะหนึ่ง

ราชาของผู้ถูกเลือกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมมือกัน ไม่มีใครจะสงสัยในพลังและความสามารถในการสร้างปาฏิหาริย์ของพวกเขา

การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพลังจิตวิญญาณที่ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดๆ ทำให้ใจของผู้สูงศักดิ์ทั้งสาม ณ ที่แห่งนั้นนั้นต้องสั่นไหวอย่างรุนแรง

“ราชาแห่งผู้ถูกเลือกทั้งสองร่วมมือกัน บางทีอาจจะสามารถเอาชนะผู้สูงศักดิ์ก็เป็นได้”

ชายผมแดงเถี่ยหมัวเกิดความเชื่อมั่นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าความรู้สึกจะบอกเขาว่าต่อให้คนทั้งสองร่วมมือกันความเป็นไปได้ที่จะชนะก็ยังถือว่าน้อยอยู่ดี

สายตาของจ้าวลัทธิหงเป็นประกาย รู้สึกเลือดร้อนห้าวหาญอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน ราวกับว่าเขาเห็นเงาของตนเองยามอดีตในตัวจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าว

แต่เกรงว่าเขาในยามเยาว์วัยก็ไม่ได้มีความกล้าเช่นจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าว

ประลองกับผู้สูงศักดิ์!

จ้าวลัทธิหงเองก็ตกใจท่าทีของคนทั้งสองในตอนแรกเริ่ม

สองคนนี้ช่างหาญกล้าเสียจริง!

แต่จากนั้น จ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบกัน ความสามารถของคนทั้งสองที่ถึงขั้นต่อกรกับผู้สูงศักดิ์ได้ทำให้เขาตกใจมากเช่นกัน

ตัวเขาที่อยู่ในขั้นผู้สูงศักดิ์ย่อมรู้ถึงความแตกต่างระหว่างขั้นนายเหนือแท้และขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นอย่างดี

เหมือนกับในวันนั้นที่ท่านผู้อาวุโสจี้ซาลงมือสังหารผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสง่ายดายราวกับหั่นผัก

แต่ว่าฝั่งพวกจ้าวเฟิงในฐานะที่เป็นราชาของผู้ถูกเลือกที่ล้มผู้อื่นมาหลายสิบคน เจ้าตัวก็ต้องมีฝีมือที่ลึกล้ำอยู่แล้ว ถึงแม้ตามความเป็นจริงจะรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ความเชื่อมั่นและความคาดหวังของจ้าวลัทธิหงต่อคนทั้งสองกลับมีอยู่เต็มเปี่ยม

“พวกเจ้าทั้งสองคนต้องคิดให้ดีๆ” จ้าวลัทธิหงเอ่ยปากช้าๆ ราวกับมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นแฝงอยู่

จ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวตัดสินใจยืนหยัดสู้และไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ทว่านักพรตไป๋หยุนกับราชินีฉวนปิงสีหน้าเริ่มเคร่งขรึม

แท้จริงแล้วคำพูดของจ้าวลัทธิหงเอ่ยกับผู้สูงศักดิ์ทั้งสองต่างหาก

สีหน้าของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองค่อยๆ แสดงความหนักอกหนักใจออกมา มิกล้าดูแคลนการร่วมมือกันของจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าว พวกเขารู้สึกเช่นเดียวกับจ้าวลัทธิหง ตามทฤษฎีแล้วก็ไม่เชื่อว่าคนทั้งสองเมื่อร่วมมือกันจะต่อกรกับผู้สูงศักดิ์ได้

แต่ว่าเจตจำนงตั้งมั่นและพลังวิญญาณดวงตาของผู้ถูกเลือกทั้งคู่ล้วนแต่พุ่งตรงมายังวิญญาณของสองผู้สูงศักดิ์

ภายในใจของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองเริ่มสั่นไหว บางทีพวกเขาอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้

คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือราชาแห่งผู้ถูกเลือกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป

เดิมทีตัวพวกเขาเองก็มหัศจรรย์มากอยู่แล้ว!

ขนาดผู้แข็งแกร่งอย่างผู้สูงศักดิ์ก็มิกล้าสงสัยในพลังของคนทั้งสอง

“จ้าวเฟิง ข้าเคยได้ยินมานานว่าเจ้าและหยูเฟ่ยเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกัน ระหว่างข้าและเจ้า ไยเราสองต้องมีปัญหาต่อกันใหญ่โตจนถึงขนาดนี้?”

น้ำเสียงของนักพรตไป๋หยุนเต็มไปด้วยความทอดถอนใจราวเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน

ชั่วขณะนั้น พลังของผู้สูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาหายไปจนหมดสิ้น

ฝูงชนในลัทธิโลหะเลือดลอบถอนหายใจโล่งอก ในเวลาเดียวกันนั้นก็ประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก

จ้าวลัทธิหงกับเถี่ยหมัวสบตากันแล้วยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้ม

ในนาทีนี้ ผู้สูงศักดิ์ที่แข็งแกร่งกว่ายอมถอยให้ก่อนเล็กน้อยแล้ว

“นักพรตไป๋หยุนคนนี้สุดท้ายก็ยอมถอยให้เสียแล้ว….”

ราชินีฉวนปิงกัดฟันเบาๆ

แต่เมื่อได้เผชิญหน้าผู้ถูกเลือกทั้งสองที่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบ ไอพลังที่ปะทะทำลายทุกอย่างได้ก็ทำให้ในใจของนางนึกอยากถอนตัวอยู่หน่อยๆ

อย่างแรกเลยคือระดับชั้นวิญญาณที่สัมผัสได้จากราชาของผู้ถูกเลือกทั้งสองแทบจะเทียบเท่าขั้นผู้สูงศักดิ์แล้ว

อีกอย่างคือไม่มีผู้ใดที่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาทั้งสองคนพร้อมกัน

อย่างหนึ่งที่จะต้องรู้ก็คือ ความสำเร็จของจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวโดดเด่นยิ่งกว่าจ้าวลัทธิมารจันทราหรือมือดาบเย่อู๋เสียสมัยเยาว์วัย ซึ่งเป็นเหล่าบุคคลในตำนานเสียอีก

หากคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ พวกเขาก็คือราชันย์แห่งทวีปในอนาคตเป็นแน่

หากประลองชนะก็คงไม่ได้อะไรเนื่องด้วยพวกเขาเป็นผู้สูงศักดิ์อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ในทวีปอยู่แล้ว อีกทั้งอาจจะมีความแค้นติดค้างกับเหล่าราชาแห่งผู้ถูกเลือกทั้งสองด้วย

ถ้าหากแพ้…หรือไม่ก็เสมอนั่นแหละ คือภาพที่ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองไม่อยากจะเผชิญ จากความรู้สึกของพวกเขาแล้วความน่าจะเป็นนี้อาจเกิดขึ้นก็เป็นได้

หากจะให้พูดอีกคือไม่ว่าแพ้หรือว่าชนะ สำหรับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสองแล้วมีแต่ผลเสีย ไม่มีผลดีเลย

สถานการณ์แบบนี้ ไม่แปลกใจเลยที่นักพรตไป๋หยุนเกิดเปลี่ยนใจแล้วถอยก้าวหนึ่งอย่างกะทันหันเช่นนี้

“ท่านนักพรตไป๋หยุน เรื่องเกี่ยวกับหยูเฟ่ยและ ‘มรดกนิรนาม’ หากท่านมีคำสัตย์ พวกเราคุยตกลงกันส่วนตัวได้”

พลังวิญญาณและพลังดวงตาของจ้าวเฟิงค่อย ๆ อ่อนกำลังลง เขาเองก็สำรวมมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ยามที่เขาและนักพรตไป๋หยุนยังไม่ได้เจรจากัน จุดสำคัญคือฝ่ายหลังยังมีสมญา ‘ผู้สูงศักดิ์’ เป็นดังศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเขาอยู่

ยามที่เพิ่งมาถึงลัทธิโลหะเลือด นักพรตไป๋หยุนจึงเอ่ยวาจาที่แฝงไปด้วยการบีบบังคับและข่มขู่อยู่กลายๆ

จ้าวเฟิงที่เผชิญหน้ากับการซักถามเช่นนั้นกลับทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงเย็นชาเช่นเคย

แต่ว่าในเวลานี้เอง นักพรตไป๋หยุนเมื่อคิดได้ว่ากำลังจะประมือกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งสอง ใจก็พลันสั่นไหว ตัดสินใจวางตำแหน่ง ‘ผู้สูงศักดิ์’ นั่นลงเสียและเลือกที่จะเจรจากับจ้าวเฟิง

“ดี ข้าเองก็อยากรู้จักชายในดวงใจที่หยูเฟ่ยเคารพนับถือผู้นั้น” ใบหน้าของนักพรตไป๋หยุนมีรอยยิ้มอบอุ่นพลางผงกหัวเบาๆ เป็นการตอบรับ

ราชินีฉวนปิงสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตาเมื่อเห็นจ้าวเฟิงกับนักพรตไป๋หยุนมาถึงขั้นที่สามารถหาจุดยืนร่วมกันได้

เท่าที่ดูพวกเขาทำราวกับต้องการพูดคุยกันตามลำพังแล้วกันนางออกไป

“นักพรตไป๋หยุน ท่านเชื่อคำพูดของเด็กคนนี้อย่างสนิทใจเลยงั้นสิ? มีผลประโยชน์มหาศาลตรงหน้า ต่อให้เป็นพี่น้องร่วมอุทรก็ยังสังหารกันได้

จ้าวเฟิงนั่นออกมาจากมรดกนิรนามได้ แต่ลูกศิษย์ท่านกลับไม่ออกมา ใครจะรับประกันได้ว่าไม่ใช่จ้าวเฟิงที่เป็นคนลงมือสังหารเด็กคนนั้น”

ราชินีฉวนปิงหัวเราะออกมาทันที

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าของนักพรตไป๋หยุนดูเคลือบแคลงสงสัย ไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่นัก

“ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าท่านจะโดนเจ้าเด็กนี่หลอกน่ะสิ ไหนจะยังเรื่องมรดกนิรนามนั่นอีก เชื่อข้าเถอะ ต่อให้เป็นจ้าวลัทธิหงก็ยังสนใจมันเลย มีความลับอะไรถึงบอกให้พวกเราทุกคนรู้ไม่ได้”

น้ำเสียงของราชินีฉวนปิงช่างใจจืดใจดำนัก เป้าหมายสุดท้ายของนางกับนักพรตไป๋หยุนล้วนแต่เพื่อมรกดนิรนามนั่นไม่ต่างกัน

ตอนนี้หากจะโดนไล่ออกไปอยู่วงนอก นางย่อมต้องหงุดหงิดมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

เมื่อนักพรตไป๋หยุนได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะลังเลใจ

การมีเรื่องบาดหมางกับราชินีฉวนปิง มีความแค้นกับวังน้ำแข็ง ก็มิใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น

อนึ่ง เขาคิดว่าคำพูดของราชินีฉวนปิงก็มิใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียหมด

“ข้าแค่อยากคุยกับท่านนักพรตสองคนก็เท่านั้น ถ้าหากว่าผู้อาวุโสมีข้อกังขา ข้าขอเอ่ยเพียงห้าคำ บางทีอาจจะทำให้เรื่องทั้งหมดกระจ่างก็เป็นได้”

จ้าวเฟิงไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว

“ห้าคำไหน?”

สายตาผู้สูงศักดิ์ทั้งสามที่อยู่ในเหตุการณ์และบรรดายอดฝีมือจับจ้องมายังจ้าวเฟิง

“ราย…ชื่อ…หมื่น…เผ่า…” จ้าวเฟิงพูดช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ

“เดี๋ยวก่อน! ข้าเชื่อเจ้า!”

สีหน้าของนักพรตไป๋หยุนเปลี่ยนไปทันทีแล้วเอ่ยตัดบทคำพูดของจ้าวเฟิง

รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ

จ้าวเฟิงเอ่ยได้เพียงสี่คำก็โดนนักพรตไป๋หยุนตัดบทไป

ผู้สูงศักดิ์อีกสองคนที่อยู่ด้วยและเหล่ายอดฝีมืออดขบคิดไม่ได้ แต่ส่วนมากยังงุนงงและไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

“ไปคุยกันสองคนเถิด” นักพรตไป๋หยุนทอดสายตามองจ้าวเฟิงด้วยแววตาลึกล้ำยากคาดคะเน

เรื่องที่สายเลือดของหยูเฟ่ยมาจากรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ มีเพียงแค่นักพรตไป๋หยุนและผู้อาวุโสอีกคนในสำนักที่รู้เรื่อง

เมื่อก่อนแม้กระทั่งเจ้าตัวยังไม่รู้ความลับเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำไป

นี่เป็นความลับที่ถูกเก็บไว้ในใจของนักพรตไป๋หยุนมาตลอด

ความลับนี้เขาไม่เคยกล้าพูด นั่นเพราะว่ามรดกสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณแปลกประหลาดเกินไปจนอาจทำให้ผู้คนแตกตื่น แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเช่นสำนักเทียนหยวนซึ่งเป็นสิบยอดสำนักแห่งทวีปก็อาจจะแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว

ขวับ ขวับ!

จ้าวเฟิงและนักพรตไป๋หยุนเดินเข้ามาภายในตำหนักใหญ่ของลัทธิโลหะเลือดทีละคน

“จ้าวเฟิงคนนี้ที่แท้ช่างน่าสนใจซะจริง ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอจะได้สู้ร่วมกันกับเขา”

หยูเทียนฮ่าวมองตามหลังคนทั้งสอง

ในมือของเขามีตราคำสั่งทำพิเศษทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ด้านหน้าปรากฏเป็นภาพคลื่นประหลาด เขามองผ่านๆ แล้วจึงเอ่ยว่า”เสียดายนัก เวลาข้ามีไม่มากแล้ว”

“พวกเราไปกันเถอะ!” ราชินีฉวนปิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ดีว่าจ้าวเฟิงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากนักพรตไป๋หยุนเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องผลประโยชน์ที่ลึกลับของ ‘มรดกนิรนาม’ นั่น เกรงว่าคงยากที่นางจะได้รับส่วนแบ่งนั้นมาแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม

“เดินทางปลอดภัย ข้าขอไม่ไปส่ง” จ้าวลัทธิหงเอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย

ชายผมแดงเถี่ยหมัวอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่ได้ สถานการณ์คับขันเมื่อครู่ในที่สุดก็คลี่คลายลงแล้ว

คำถามของผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง ผู้หนึ่งจ้าวเฟิงคลี่คลายให้ ส่วนอีกคนโมโหจนเดินทางจากไป

“หยูเทียนฮ่าว เมื่อครู่ต้องขอบใจเจ้ามากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ” ชายผมแดงเถี่ยหมัวเอ่ยยิ้มๆ

เขาเข้าใจว่าที่นักพรตไป๋หยุนยอมประนีประนอมถอยให้ นั่นเพราะเบื้องหลังอันแข็งแกร่งของหยูเทียนฮ่าวเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่ง

“ข้าไม่ได้ช่วยลัทธิโลหะเลือด ข้าเพียงแค่อยากจะช่วยจ้าวเฟิงสักคราเท่านั้น”

หยูเทียนฮ่าวไม่มีทีท่าเกรงใจแม้แต่น้อย ชายผมแดงเถี่ยหมัวเงียบไป สถานการณ์ที่แสนจะกระอักกระอ่วนก็เกิดขึ้น

“ฮ่าฮ่า…​” จ้าวลัทธิหงอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ หยูเทียนฮ่าวคนนี้ช่างไม่ไว้หน้าใครเสียจริง

ในเวลานั้นเอง

จ้าวเฟิงและนักพรตไป๋หยุนกำลังพูดคุยกันอยู่ภายในตำหนักใหญ่ ผู้คนด้านนอกล้วนกำลังเฝ้ารอ

จ้าวลัทธิหง เถี่ยหมัว หยูเทียนฮ่าว รวมไปถึงราชินีฉวนปิงผู้ที่เพิ่งจากไปล้วนแต่สนใจและแปลกใจอย่างมากเรื่องมรดกนิรนามกับข่าวคราวของหยูเฟ่ย

เพียงแต่ความลับนี้จ้าวเฟิงยินดีบอกแก่นักพรตไป๋หยุนเพียงผู้เดียว

ภายในตำหนักใหญ่มีกลิ่นอายของความตึงเครียดและกดดัน

“…เจ้าจะบอกว่า เป็นเพราะหยูเฟ่ยมีมรดกสายเลือดของ ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ จึงทำให้นางโดนมรดกเลือกแล้วกลายเป็นผู้สืบทอดมิติซากปรักหักพังของฝ่ายนั้นงั้นหรือ”

นักพรตไป๋หยุนกังวลแค่ครึ่งหนึ่ง เรื่องราวของซากปรักหักพังสือเฉิงจ้าวเฟิงไม่ได้เอ่ยชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ทว่าบอกเรื่องราวโดยรวมทั้งหมด อธิบายให้นักพรตไป๋หยุนฟังคร่าวๆ ยามที่ออกจากซากปรักหักพัง หยูเฟ่ยได้ไหว้วานให้เขาบอกกล่าวแก่นักพรตไป๋หยุนเรื่องสวัสดิภาพและข่าวคราวของนาง

ยามทราบเรื่องว่ามิติซากปรักหักพังนั่นโดนสำนักระดับสองดาวสามสำนักคอยจ้องจะเล่นงานอยู่ ขนทั่วสรรพางค์กายของนักพรตไป๋หยุนก็ลุกชัน

“คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ของหยูเฟ่ยจะเลวร้ายเช่นนี้” นักพรตไป๋หยุนกังวลใจอย่างมาก

“ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะเก็บไว้เป็นความลับ อย่าได้บอกแก่บุคคลที่สามเป็นอันขาด มิฉะนั้นอย่าว่าแต่สำนักเทียนหยวนเลย ต่อให้เป็นทั้งทวีปบุปผาครามก็อาจต้องเผชิญภัยพิบัติเป็นแน่” จ้าวเฟิงเอ่ยกำชับ

ในใจของนักพรตไป๋หยุนเย็บวาบ ความลับนี้เป็นเฉกเช่นเดียวกับความลับเรื่องสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณของหยูเฟ่ย มิอาจปล่อยให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่น้อย

หากว่านักพรตไป๋หยุนไม่อยากให้เรื่องเดือดร้อนมาถึงสำนักเทียนหยวนล่ะก็ เขาจะต้องปิดปากให้สนิทแน่นอน

แน่นอนว่ายังมีอีกความลับหนึ่งที่จ้าวเฟิงยังมิได้เอ่ย นั่นก็คือตราคำสั่งสือเฉิง

การมีตราคำสั่งสือเฉิงทำให้จ้าวเฟิงสามารถติดต่อกับซากปรักหักพังสือเฉิง แม้กระทั่งจะเปิดทางเข้ากลับเข้าไปอีกก็ยังได้

สักพักใหญ่ๆ หลังจากนั้น

คนทั้งสองเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ จ้าวเฟิงดูเฉยๆ สบายๆ แต่นักพรตไป๋หยุนดูอารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงนักราวกับว่าพบเรื่องตกใจอะไรในนั้น

พวกจ้าวสำนักหงและชายผมแดงเถี่ยหมัวแอบหวั่นเกรง พวกเขาสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ถามซักไซ้ไล่เรียง

ในวันนั้น นักพรตไป๋หยุนมิได้รีบร้อนจากไปในทันที ยังพูดคุยจิปาถะกับจ้าวลัทธิหงเกี่ยวกับความร่วมมือและมิตรภาพระหว่างสำนักเทียนหยวนและลัทธิโลหะเลือด

จ้าวลัทธิหงรู้สึกประหลาดใจเหลือคณาที่สิบยอดสำนักแห่งทวีปเช่นสำนักเทียนหยวนเสนอตัวเป็นมิตรกับลัทธิโลหะเลือด

ในเวลาเดียวกันนั้น สนามประลองของผู้ถูกเลือกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปทั้งสองก็เปิดฉากขึ้น

ไกลออกไปร้อยกว่าลี้ บนเทือกเขาในชั้นเมฆ

“จ้าวเฟิง เวลามีไม่มาก หลังจากประลองเสร็จข้าก็จะไปจากทวีปบุปผาครามนี้แล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง….”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version