บทที่ 539 ปรมาจารย์อิ๋นคง
ในวินาทีนั้น เถาวัลย์ที่แข็งแกร่งจนยากจะต้านทาน ท้ายที่สุดก็โดนควบคุมอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก การเติบโตที่รวดเร็วถูกยับยั้งทุกหนทาง
พลั่ก ตูม ผลัวะ–
เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณที่แท้จริงดุร้ายยิ่งนัก ทุกแห่งหนที่เดินผ่านพวกมันเหยียบย่ำเถาวัลย์มารทมิฬจนราบเป็นหน้ากลองอย่างไร้ความปราณี
ในระยะเวลาอันสั้น
ทะเลเถาวัลย์นั้นค่อยๆ พังพินาศ พื้นที่ที่มันเจริญเติบโตออกไปก็ลดลงทีละน้อย
“นับว่าควบคุมได้แล้ว” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงที่อยู่ในภายในวิหารสามชั้นถอนหายใจโล่งอก สามารถพลิกวิกฤตในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ได้เพราะพลังควบคุมจากดวงตาเทพเจ้าอันแข็งแกร่งของจ้าวเฟิง
การควบคุมทัพสัตว์อสูรขั้นจิตวิญญาณที่แท้จริงนับร้อย สำหรับผู้ฝึกสัตว์วิเศษธรรมดาถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินจินตนาการ
ณ ทะเลแห่งความว่างเปล่า บนยอดเขาสูงเสียดฟ้า
“ควบคุมสัตว์อสูรขั้นจิตวิญญาณที่แท้จริงจำนวนมากขนาดนี้? เจ้าเด็กนั่นทำได้อย่างไร!”
“ต่อให้มีศาสตร์แห่งการควบคุมสัตว์อยู่ แต่นายเหนือแท้เพียงคนเดียวไม่น่าจะควบคุมกองทัพสัตว์อสูรขั้นจิตวิญญาณที่แท้จริงสี่ห้าร้อยได้ดั่งใจนึก” สถานการณ์ที่พลิกผันในภาพเงาทำให้ราชันในขอบเขตปราณเทวะทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี
บนใบหน้าก็เกิดความเคลือบแคลงใจ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าเถาวัลย์ทมิฬที่อาศัยจำนวนมากกว่าเป็นข้อได้เปรียบจะพบจุดจบแบบนี้
“เมล็ดของ ‘เถาวัลย์มารทมิฬ’ พวกนั้นฝังเอาไว้นานแล้ว พลังของพวกมันก็ไม่ได้ฟื้นฟูกลับมา อานุภาพที่ปลดปล่อยอาจจะยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ อีกอย่างเถาวัลย์นั่นยังไม่ทันได้เติบโตก็ถูกจัดการสิ้นซากไปหมดแล้ว” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยพึมพำ
ราชันปราณเทวะทั้งสามจ้องเขม็งไปยังทุกอิริยาบถในภาพเงา
“เหอะเหอะ บางสถานการณ์กลยุทธ์ใช้คนมากก็ยังคงมีประโยชน์อยู่จริงๆ”
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินที่ลอยตัวอยู่กลางเวหา ใช้พลังดวงตาเทพเจ้าข้างซ้ายควบคุมเหล่าสัตว์อสูรขั้นจิตวิญญาณที่แท้จริงกลุ่มใหญ่ร่วมร้อยชีวิตด้านล่าง
ที่คิดไม่ถึงเลยคือ ฝูงสัตว์อสูรที่ถูกควบคุมแบ่งกันเป็นกลุ่มๆ และทำหน้าที่สอดประสานอย่างสามัคคี ทั้งโจมตีจากระยะใกล้ไกลและเป็นกองหนุน
เหล่าสัตว์อสูรบางส่วนถนัดขุดดิน ก็มุดสร้างอุโมงค์ใต้ดินทะลวงเข้าไปทำลายรากของเถาวัลย์ เหล่าสัตว์อสูรที่มีปีกรับผิดชอบให้ความช่วยเหลือ ยามสัตว์อสูรบางตัวตกอยู่ในวงล้อมของเถาวัลย์ พวกมันก็บินตรงปรี่เข้าไปช่วยจากระยะไกล
รายละเอียดทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้ยอดฝีมือจากสามสำนักใหญ่ต้องอ้าปากค้าง
“มีพลังควบคุมที่แข็งกล้าขนาดนี้ พลังสายเลือดดวงตาของเจ้าเด็กนี่คงไม่ธรรมดาแน่” ราชันโครงกระดูกสีทองเอ่ยเสียงต่ำ
เมื่อหลายปีก่อน จ้าวเฟิงใช้พลังของตัวเองเพียงคนเดียวจัดการกับเหล่าลูกศิษย์ของสามสำนัก แสดงให้เห็นถึงพลังโจมตีของดวงตาและเคล็ดพลังจิตที่โดดเด่นพิสดาร แล้วในครั้งนี้ ‘พลังควบคุม’ ที่สมบูรณ์แบบจากดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนอีกครั้ง
ราชันปราณเทวะทั้งสามต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้ว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์รุ่นใหม่ของทั้งสามสำนัก พลังสายเลือดดวงตาเช่นนี้ก็ยากนักทีจะหาเจอ
ในหุบเขาลี้ลับ
ระหว่างการทำลายเถาวัลย์สูญเสียเหล่าสัตว์อสูรไปเป็นจำนวนมาก แต่จ้าวเฟิงไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย เพราะสัตว์อสูรในมิติซากปรักหักพังสือเฉิงมีจำนวนมาก ต่อให้เขาไม่สละชีวิตพวกมันไป แต่ว่าการอยู่ในมิติที่มีพื้นที่จำกัดสุดท้ายแล้วพวกมันก็จะลงมือฆ่าฟันกันเองอยู่ดี
“จ้าวเฟิง! ทำได้ดีเลยนี่” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยปากชมเปาะ
“เจ้ามนุษย์ ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้วที่ต้องออกแรงช่วยเหลือ” เสียงของหอคอยพฤกษาปีศาจลอยมา
เพราะว่าจุดใจกลางของหุบเขาลี้ลับ ยามเมื่อเหล่าเถาวัลย์มารทมิฬแพร่ขยายไปทั่ว ผู้ที่ต้องเผชิญหน้าเป็นรายแรกก็คือหอคอยพฤกษาปีศาจ
การเติบโตที่บ้าคลั่งของเถาวัลย์เมื่อครู่นี้ส่งผลให้พื้นที่ของหอคอยพฤกษาปีศาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติ
จ้าวเฟิงที่ลอยอยู่กลางอากาศสีหน้ากลับไม่ได้ยินดี ออกจะเรียบเฉยเสียด้วยซ้ำ
สำนักทั้งสามที่ลงมือชักใยอยู่เบื้องหลังจะยอมวางมือง่ายดายเช่นนี้หรือ?
จ้าวเฟิงคิดว่าไม่น่าง่ายดายแบบนี้ มิติซากปรักหักพังสือเฉิงเต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาล น่าจะมากพอให้สำนักสองดาวสำนักใดสำนักหนึ่งต้องตาร้อนด้วยความริษยา
บนยอดเขาสูงเทียมฟ้า
“เถาวัลย์มารทมิฬเป็นการ ‘โยนหินถามทาง’ ก่อนจะบุกเข้ามิติซากปรักหักพังสือเฉิง ถ้าหากล้มเหลวเช่นนี้ แผนการที่วางไว้เบื้องหลังเกรงว่าจะได้รับผลกระทบเสียแล้ว”
เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยปาก นางกลายเป็นผู้นำของสำนักสองดาวทั้งสามในการทะลวงเข้าไปภายในมิติซากปรักหักพังสือเฉิง ราชันปราณเทวะอีกสองคนที่เหลือล้วนให้นางเป็นหัวเรือหลัก
“นายท่านทั้งสาม ‘ค่ายกลย้ายมิติ’ ได้เตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าในตอนแรกสามารถส่งได้เพียงแค่ของชิ้นเล็กๆ เท่านั้น หากถึงขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอาจจะเป็นอันตรายได้…” มีเสียงลอยมาจากอีกฟากหนึ่งของยอดเขา
สิ้นเสียงก็ปรากฏค่ายกลขนาดใหญ่ที่สร้างมาจากเส้นเหมันต์สีเงินขึ้นเหนือทะเลความว่างเปล่า
‘ค่ายกลย้ายมิติ’ ลึกลับนั้นสร้างขึ้นโดยมีปรมาจารย์ศาสตร์ค่ายกลหลายสิบคนร่วมมือกัน
ที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นปรมาจารย์ค่ายกลสามคน
เจ้าของน้ำเสียงเป็นผู้เยาว์หน้าตาคมคายดวงตาสีเงินที่ยืนอยู่ตรงกลาง
ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ค่ายกลหลายคนหรือกระทั่งอีกสองปรมาจารย์ที่อยู่ขนาบข้างล้วนแต่มองผู้เยาว์ผู้นั้นด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ
“ปรมาจารย์อิ๋นคง หวังว่าท่านจะเร่งสร้าง ‘ค่ายกลย้ายมิติ’ ให้แข็งแกร่งโดยเร็ว เพื่อให้ ‘ทางเชื่อมมิติ’ เสถียรกว่านี้ ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ขอรบกวนท่านส่ง ‘วารีคืนชีวิต’ ไปสักหยดด้วย” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยปาก
ขนาดราชันปราณเทวะทั้งสามก็ยังเคารพชายหนุ่มเรือนผมสีเงินผู้นี้
เพราะว่า’ปรมาจารย์อิ๋นคง’ ผู้นี้เป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ค่ายกลของดินแดนหมู่เกาะเทียนหลู อีกทั้งเขายังเป็นเพียงคนเดียวที่ชำนาญในค่ายกลมิติชนิดต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง
ที่พิเศษสุดคือ ‘ปรมาจารย์อิ๋นคง’ ก็เป็นผู้มีสายเลือดดวงตาแข็งแกร่ง ว่ากันว่าเป็นจำพวก ‘มิติ’ ที่หาได้ยากยิ่งนัก
“วารีคืนชีวิต?” ปรมาจารย์อิ๋นคงนิ่งไปชั่วขณะ สายตามีแววของความตกใจ
วารีคืนชีวิตเป็นชนิดเดียวกันกับวารีแห่งชีวิต ต่างกันตรงที่อย่างแรกไม่เพียงแต่สามารถชุบชีวิตให้ฟื้นคืนกลับมาได้ แต่ยังมี ‘พลังชีวิต’ ที่ไร้ขอบเขตแฝงอยู่ในนั้นด้วย
ว่ากันว่าวารีคืนชีวิตเพียงหนึ่งหยดก็สามารถทำให้พื้นดินแห้งแล้งไร้ชีวิตในรัศมีร้อยลี้กลายเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกโอสถวิเศษหลากชนิดให้เจริญเติบโตงดงาม ทั้งยังช่วยให้ชีวิตในพื้นที่นั้นสมบูรณ์ไปได้เป็นพันปี
จากที่เห็น เพียงหยดเดียวของ ‘วารีคืนชีวิต’ ก็มีผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนี้
ในเวลานี้เฉิงเยว่เซียนกูจู่ๆ จะให้ส่ง ‘วารีคืนชีวิต’ ไปที่มิติซากปรักหักพังสือเฉิงเพื่อให้เถาวัลย์มารกลับมาเติบโต
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของปรมาจารย์อิ๋นคงก็กระตุกวูบ ถ้าหากเถาวัลย์ทมิฬนั้นดูดซึมเอาวารีคืนชีวิตเข้าไป ผลที่จะตามมาคงยากเกินคาดเดา
“เฉิงเยว่เซียนกู ท่านตัดใจใช้ลงงั้นหรือ ถึงแม้เป็นที่ ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ก็ยากจะเจอวารีคืนชีวิตสักครั้งหนึ่งเชียว” ราชิลัทธิมารผู้มีกลิ่นอายทมิฬปกคลุมร่างกายอดไม่ได้ที่จะเคลือบแคลงใจ
“ถ้าเป็นเช่นนี้…ก็ค่อยๆ ใช้ทีละหยดสองหยด ไม่เช่นนั้นคงสิ้นเปลืองน่าดู” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยเสียงต่ำ
ในหุบเขาลี้ลับ
เถาวัลย์มารทมิฬที่กำลังจะพ่ายแพยิ่งเห็นเด่นชัดว่าอาณาเขตของมันแคบลงราวหนึ่งลี้
หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เถาวัลย์มารทมิฬน่าจะโดนสังหารอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าไม่มีโอกาสเจริญเติบโตเต็มที่ได้เลย เจ้าหอโครงกระดูกลอบถอนหายใจโล่งอก การจะรักษาค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปเอาไว้สบายขึ้นเยอะแล้ว
และแล้วในเวลานี้เอง
หือ?
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจู่ๆ เกิดความรู้สึกประหลาดเหมือนจับอะไรบางอย่างได้
สวบ~
พลังชีวิตที่รุนแรงค่อยๆ ทะลักออกมาจากใจกลางของเถาวัลย์มารทมิฬ
วินาทีนั้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเหมือนสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวของมิติ
“จ้าวเฟิง ระวัง! นั่นคือ ’วารีคืนชีวิต’ สามารถเป็นแหล่งกำเนิดของพลังชีวิตที่ช่วยให้เจ้าเถาวัลย์ทมิฬเติบโต” เสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงมีแววร้อนใจ
ทันทีที่เสียงนั้นจบลง เถาวัลย์ทมิฬที่เพิ่งจะล้มระเนระนาดใกล้ตายก็ราวกับกินยากระตุ้นกำลัง กลิ่นอายชีวิตระเบิดพวยพุ่งออกมา
ภาพที่เกิดขึ้นนั้นราวกับฟองน้ำที่พบกับน้ำ เพียงแค่พริบตาเดียวเถาวัลย์ทมิฬในใจกลางของพื้นที่นั้นก็งอกออกมาราวสิบจั้ง
อาณาเขตของเถาวัลย์มารที่เพิ่งลดลงกลับขยายกว้างขึ้นถึงสองสามลี้ ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกตกใจนัก
“รีบหยุดมันเร็ว!” จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกรีบแบ่งหน้าที่
จ้าวเฟิงรับผิดชอบควบคุมกองทัพสัตว์อสูร อีกฝ่ายควบคุมค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป
ฟิ้ว~
ใจกลางมหาสมุทรเถาวัลย์มีกลิ่นอายกระหายเลือดพุ่งออกมา ราวกับสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่พลันตื่นขึ้น
“ราชาเถาวัลย์มารทมิฬ!”
เถาวัลย์เส้นใหญ่หลายร้อยเส้นเกี่ยวกระหวัดกันกลายเป็น ‘เถาวัลย์ยักษ์’ รูปร่างราวกับปลาหมึก มีหนวดเป็นเถาวัลย์ทมิฬที่ทั้งอ้วนทั้งยาวเกินสิบจั้งนับร้อยเส้น เส้นที่ยาวที่สุดยาวถึงสามสี่สิบจั้งเลยทีเดียว
รูปร่างของราชาเถาวัลย์มารทมิฬที่เพิ่งจะเติบโตคืบคลานไปใกล้หอคอยพฤกษาปีศาจแล้ว
จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกล้วนแต่ได้ยินเสียงเตือนของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง
ภายใต้การใช้ ‘วารีคืนชีวิต’ เถาวัลย์ทมิฬไม่เพียงแต่กลับมาเติบโตอีกครั้ง ใจกลางของบริเวณนั้นก็ยังเกิดราชาเถาวัลย์มารทมิฬอีกหนึ่งต้น
“ใช้โอกาสตอนที่เถาวัลย์ยังไม่เติบโตเต็มที่รีบจัดการสังหารมันซะ ทันทีที่มันโตไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์อะไรๆ จะยุ่งยากขึ้น…” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยอย่างร้อนรน
ในเวลานี้ ราชาเถาวัลย์มารทมิฬอยู่ราวขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่พลังแห่งชีวิตกลับแข็งแกร่งพอๆ กันกับหอคอยพฤกษาปีศาจ
ตูม พลั่ก ผลัวะ~
เมื่อทัพสัตว์อสูรที่จ้าวเฟิงควบคุมอยู่เข้าไปใกล้ราชาเถาวัลย์ก็จะถูกหนวดอวบอ้วนของมันพันรัดแล้วดูดเลือดเป็นอาหาร
สุดท้ายไม่เพียงแต่ราชาเถาวัลย์จะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ยังมีพละกำลังมากขึ้นกว่าเดิม ทะเลเถาวัลย์จึงยิ่งขยายใหญ่ขึ้นมาก
“แบบนี้ไม่ได้! สัตว์อสูรธรรมดาถ้าหากไม่ถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด สำหรับมันแล้วก็กลายเป็นเพียงแค่อาหารอันโอชะเท่านั้น” เจ้าหอโครงกระดูกหัวหมุนวุ่นวายไปหมด
‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ที่เขาควบคุมอยู่มีพื้นที่ขยายกว้างขึ้น จัดการได้เพียงแต่เถาวัลย์มารทมิฬธรรมดาเท่านั้น แต่กลับไม่สามารถแตะต้องราชาเถาวัลย์ได้เลย
บนยอดเขาสูงเทียมฟ้า
เมื่อเห็นเหตุการณ์พลิกผันจากในภาพเงาแล้ว ยอดฝีมือจากทั้งสามสำนักก็อดใจชื้นไม่ได้
“ไม่เสียแรงที่เป็นวารีคืนชีวิต เพียงแค่หยดลงไปเพียงหยดเดียวก็ทำให้เหตุการณ์พลิกผันได้มากขนาดนี้ ถ้าหากว่าเพิ่มไปอีกหลายๆ หยด ราชาเถาวัลย์นั่นไม่ใช่ว่าจะโตไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์เลยเรอะ” ราชันย์โครงกระดูกสีทองหัวเราะร่วน
“จิ๊จิ๊ กองทัพสัตว์อสูรของเจ้าเด็กนั่นไม่กลัวตาย แต่ก็กลับกลายเป็นอาหารของราชาเถาวัลย์ไปหมด” ผู้สูงศักดิ์ลัทธิมารที่มีไอทมิฬคละคลุ้งหัวเราะเมื่อเห็นความหายนะที่เกิดขึ้น
ในภาพเงา กองทัพสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงรับมือได้แค่กับเถาวัลย์วงนอก แต่กลับไม่สามารถเข้าใกล้ราชาเถาวัลย์ได้เลย
“ขอเพียงราชาเถาวัลย์เติบโตงอกเงยถึงขั้นผู้สูงศักดิ์ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ต้องหลบหลีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องสังหารเลย เมื่อถึงเวลาเราก็จะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
นางส่งสายตาไปยัง ‘ปรมาจารย์อิ๋นคง’ เพื่อเตรียมให้เขาหยด ‘วารีคืนชีวิต’ ไปให้อีกครา
“เอ๊ะ!”
“เจ้าเด็กนั่นทำอะไรน่ะ?” เสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมาจากกลุ่มคน
พลั่ก ตูม ตูม ~
ภายในหุบเขาลี้ลับ กองทัพสัตว์อสูรอย่างน้อยๆ ราวร้อยตัวพุ่งตัวเข้าไปภายในหมอกควันสีเทาของ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’
“จ้าวเฟิง…นี่ท่าน…” เจ้าหอโครงกระดูกที่กำลังดูแลค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปตื่นตกใจกับการกระทำนี้ของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงไม่พูดไม่จาอะไร จู่ๆ ก็ควบคุมให้สัตว์อสูรในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงพุ่งเข้าไปในหมอกควันสีเทาหนาแน่นนั้น ที่แปลกประหลาดกว่านั้นคือ หลังจากที่เหล่าสัตว์อสูรเข้าไปภายใน ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ไม่ทันไรก็ถูกปราณศพของหุ่นเชิดศพทมิฬกัดกร่อนกลายเป็นสายเลือดท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน
ทันใดนั้น หมอกควันสีเทาที่ปกคลุมค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปเต็มไปด้วยเลือดคละคลุ้งกับพลังจิตวิญญาณต่างๆ ที่เขย่าขวัญและน่าเกรงขาม
เวลาผ่านไปไม่นาน พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพลังคำสาปจากความอาฆาตแค้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเกินกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
พลั่ก~
ทะเลเถาวัลย์ทั้งสี่ทิศค่อยๆ เน่าเปื่อยลงกลายเป็นของเหลวเหนียวหนืดโสโครก
“ถ้าหากจะเอาอาหารส่งให้ราชาเถาวัลย์ ไม่สู้เอาไปให้หุ่นเชิดศพในค่ายกล เจ้าหอโครงกระดูก! รีบจัดการสังหารสัตว์อสูรฝูงนี้! ขยายค่ายกลออกไปอีก…”