Skip to content

King of Gods 617

King Of Gods

บทที่ 617 แผนการสำเร็จ

“…ถ้าหากขัดต่อกฏเพื่อช่วยเจ้า ข้าเองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมากเช่นกัน” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยมาขนาดนี้ ก็แสดงถึงเจตนารมณ์ของเขาอย่างชัดเจนแล้ว

ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงเองได้เผื่อใจเอาไว้ก่อนบ้างแล้ว แต่ว่าก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่หลายส่วน ใจเสียไปกว่าครึ่ง

“ขอสอบถามท่านเจ้าตำหนัก ยังพอจะมีวิธีการอื่นอีกหรือไม่?” จ้าวเฟิงยังคงไม่ยอมแพ้

“วิธีการที่พอจะทำได้แทบไม่มีเลย! ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นมิติซึ่งเป็นอิสระและปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก จำต้องเข้าไปจากประตูทางเข้าหรือไม่ก็ใช้พลังของค่ายกลข้ามเขตเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นทางเข้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือว่าทางเข้าจากค่ายกลข้ามเขตก็ล้วนมียอดฝีมือคอยเฝ้าอยู่ ยากจะปลอมแปลงตัวเข้าไปได้” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ

ในฐานะที่เป็นเจ้าตำหนักทะเลความว่างเปล่า เขาเองก็มาจากดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จึงเข้าใจในกฎเกณฑ์ต่างๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างถ่องแท้

เมื่อฟังมาจนถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงก็เข้าใจในประเด็นสำคัญแล้ว

สิ่งที่ยากที่สุดคือ ข้อจำกัดเคร่งครัดที่มีต่อคนนอกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งส่งผลให้พวกเขายากจะผ่านเข้าไปได้

ที่จริงแล้ว หากเจ้าตำหนักหย่งเฟิงจะส่งจ้าวเฟิงไปยังกลุ่มดินแดนใกล้ๆ หรือส่งไปตำหนักวิญญาณที่อยู่ใกล้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ก็ยังพอจะทำได้ ทั้งยังไม่ต้องเสี่ยงมากนัก

แต่ว่าดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นถึงเขตฝึกตนศักดิ์สิทธิ์ในเขตมหาสมุทรกว้างใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเหมือนแดนสวรรค์ระดับสูง ดินแดนเกาะทั่วไปไม่อาจจะเปรียบเทียบได้

และมีเพียงสถานที่เช่นนี้เท่านั้นที่จะมีสำนักสามดาว

สถานที่ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องสงวนให้คนจำนวนเล็กน้อยได้ใช้และปิดกั้นต่อคนนอก

“นอกเสียจากว่าเจ้าจะกลายเป็นสมาชิกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่หากจะเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังต้องไปที่เจินอู่ก่อนอยู่ดี” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงสั่นศีรษะทันทีที่เอ่ยจบ

จ้าวเฟิงลอบถอนใจ แอบคิดในใจว่าถ้าไม่อาจส่งเขาเข้าไปภายในดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่สู้ถอยสักก้าว เลือกสิ่งที่ด้อยลงมาหน่อย อย่างเช่นการขอให้ส่งเขาไปยังตำหนักวิญญาณที่อยู่ใกล้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แทน

“เจ้ามีตราคำสั่งตำหนักวิญญาณ ถ้าหากยอมจ่ายผลึกเริ่มต้นจำนวนมหาศาลเพื่อเปิดค่ายกล ข้าก็ส่งเจ้าไปตำหนักวิญญาณที่ใกล้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใด้”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงรับปากได้ในข้อนี้

จ้าวเฟิงคิดวิเคราะห์ในทันที

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงยิ้มน้อยๆ ขณะที่รอคอยคำตอบของจ้าวเฟิง

ที่จริงแล้วเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าเหตุใดจ้าวเฟิงจึงต้องรีบเดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์?

ด้วยพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง ตามกฏแล้วหากต้องการจะเข้าร่วมกับดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

“ท่านผู้อาวุโส ก่อนอื่นข้าอยากจะสอบถามถึงบุคคลผู้หนึ่ง” จ้าวเฟิงพลันเอ่ยปาก

เหตุผลหลักที่เขาจะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่เป็นเพราะต้องการจะเจอคนผู้หนึ่ง

“ไหนลองบอกมา? ข้าอยู่ที่ตำหนักวิญญาณนี้มาหลายปีแล้ว ขอแค่ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่ไร้ชื่อเสียงก็น่าจะพอรู้จักอยู่บ้าง”  เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่ง

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก ในหัวมีเสียงแนะนำของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงดังขึ้น

“จ้าวเฟิง เจ้าจงถือเอา ‘ตราคำสั่งสือเฉิง’ ของข้าไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ แล้วไปหาคนที่มีนามว่า ‘ตวนมู่ชิง’ แต่ข้าเองก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าคนผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ถ้าหากว่ายังมีชีวิตอยู่จะต้องช่วยเจ้าได้แน่ และเขาสามารถเชื่อใจได้”

“ท่านผู้อาวุโสพอจะรู้จักคนผู้หนึ่งที่มีนามว่าตวนมู่ชิงหรือไม่?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างสงบ

“ตวนมู่ชิง? แซ่ตวนมู่ หรือว่าจะเป็น…” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

ตวนมู่ชิง!

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงผู้แข็งแกร่งในระดับครึ่งก้าวสู่ราชัน ใบหน้ากระตุกอย่างเห็นได้ชัด

“หรือว่าเจ้ากับตวนมู่ชิงมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงมีท่าทีตื่นเต้นจนเสียกริยา น้ำเสียงร้อนรน เห็นได้ชัดว่านามตวนมู่ชิงนี้มีผลกระทบต่อเขาอย่างมาก

จ้าวเฟิงชะงักไปแล้วเอ่ยตอบ “ผู้อาวุโสตวนมู่ชิงเกี่ยวพันกับบรรพบุรุษคนหนึ่งของข้า อายุขัยกำลังจะสิ้นสุดลง จึงขอร้องให้ข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขาที่ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่’ ”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็อดแสดงสีหน้าออกมาไม่ได้ แววตาที่มองจ้าวเฟิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“จ้าวเฟิง ถ้าหากว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ต่อให้ข้าเสี่ยงภัยอันตรายเพื่อช่วยเจ้าหา ‘ตวนมู่ชิง’ ให้พบ ก็ยังต้องพึ่งพาผู้อื่นไม่น้อย” คำพูดของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเปลี่ยนไปในทันที

จ้าวเฟิงต้องรู้สึกแปลกใจ

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน

ในวินาทีก่อน เขายังไม่อยากเสี่ยงอันตรายเพื่อจ้าวเฟิง แต่ทันทีที่ได้ยินชื่อของ ‘ตวนมู่ชิง’ กลับพลันยินดีให้ความช่วยเหลือ

นี่ออกจะเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง

“ลำบากผู้อาวุโสแล้ว” จ้าวเฟิงย่อมไม่ปฏิเสธความหวังดี รีบเอ่ยปากขอบคุณในทันใด แล้วพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง

“จ้าวเฟิง เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ ข้าต้องติดต่อสหายอีกหลายคนเพื่อวางแผน” น้ำเสียงของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเป็นมิตรกว่าเดิมอยู่หลายส่วน

ขณะเดินทางกลับไปยังที่พัก

จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ตลอด เอ่ยพึมพำเสียงต่ำว่า “ดูท่าทางแล้วตวนมู่ชิงผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งน่าจะเป็นคนระดับสูงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสียด้วย”

สำหรับเขาแล้วนี่ย่อมเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย

ในช่วงหลายวันต่อมา

จ้าวเฟิงรอข่าวดีไปพลาง เร่งฝึกตนไปพลาง

ในตอนนี้จุดสนใจหลักของจ้าวเฟิงอยู่กับการรวบรวมพลังแฝงของ ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ภายในร่าง

สภาพแวดล้อมของตำหนักวิญญาณโดดเด่นกว่าดินแดนเกาะทั่วไปมาก จึงเอื้อต่อการฝึกตน

ในที่แห่งนี้ จ้าวเฟิงใช้ตราคำสั่งสีทองซื้อหาทรัพยากรผลึกธาตุวายุอัสนีส่วนหนึ่งกับของล้ำค่าแห่งจิตวิญญาณจากตลาดซื้อขายส่วนกลางด้วยราคาพิเศษ

เพียงช่วงพริบตาเดียว เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไป

จ้าวเฟิงตั้งหน้าตั้งตาฝึกตน การฝึกตนก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ภายในจุดตันเถียน ใจกลางแก่นก่อกำเนิดมีขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วเหลือง เห็นได้ชัดว่าใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย

การฝึกตนต่อจากนั้น ตั้งแต่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง จ้าวเฟิงแทบจะไม่พบเจอ ‘อุปสรรค’ ใดๆ สิ่งที่ต้องการจึงมีเพียงแค่เวลาในการสะสมเก็บเกี่ยวเท่านั้น

เพราะไม่ว่าจะเป็นสภาวะวิญญาณหรือดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง ก็ล้วนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงแล้ว

ในระยะเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา จ้าวเฟิงเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาลอยู่สองครั้ง

กลิ่นอายบรรพกาลที่เขาดูดซึมไว้จนถึงวันนี้ จุดประสงค์หลักๆ จะใช้กับดวงวิญญาณ

แต่ทว่า เมื่อดวงวิญญาณแกร่งกล้าคงสภาพจนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ผลลัพธ์ที่ได้จะลดลงไปส่วนหนึ่ง

ผลลัพธ์ในการดูดซึมของสภาวะวิญญาณจ้าวเฟิงก็ลดลงไปจนช้าราวกับเต่า

ส่วนเลือดหัวใจวาฬไม่ส่งผลใดๆ ต่อจ้าวเฟิงอีกแล้ว

“สภาวะวิญญาณมาจนถึงขีดสุดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงแล้ว ด้วยเพราะดวงวิญญาณยังไปไม่ถึงขีดสุดของขอบเขตนี้ จึงยังพอมีผลอยู่บ้างเล็กน้อย” จ้าวเฟิงคิดคำนวณในใจ

ถ้าหากเอาแต่ดูดซึมกลิ่นอายบริสุทธิ์ของห้วงฝันบรรพกาล ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในวันหน้าคงไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว

เช่นนั้นจ้าวเฟิงจึงตั้งเป้าหมายใหม่คือเดินสำรวจภายในห้วงฝันบรรพกาล

เจ็ดสิบห้าช่วงลมหายใจ…แปดสิบช่วงลมหายใจ…แปดสิบห้าช่วงลมหายใจ…เก้าสิบช่วงลมหายใจ!

จ้าวเฟิงยืนอยู่ภายในห้วงฝันบรรพกาล

เวลาที่เขาทนได้มาจนถึงเก้าสิบลมหายใจ เข้าใกล้หนึ่งร้อยช่วงลมหายใจเข้าไปทุกที

จ้าวเฟิงถึงขนาดลองเดินก้าวหนึ่งในนั้น แรงกดดันที่เขาต้องแบกรับเพิ่มขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด!

อึก!

จ้าวเฟิงกระอักเลือดออกมา สตินึกคิดกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง

ในครั้งนี้ จ้าวเฟิงเก็บเศษเสี้ยวกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลที่หลงเหลืออยู่ภายในร่างกายไว้บางส่วน

พรึ่บ!

มือลูบประคำหมื่นวิญญาณเพียงครั้งเดียว หุ่นเชิดศพต้องสาปร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

“ไป!”

จ้าวเฟิงควบคุมให้กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลส่วนหนึ่งหลอมละลายเข้าไปภายในร่างของหุ่นเชิดศพต้องสาป

หลังจากดูดซึมกลิ่นอายจำนวนมากขนาดนั้นเข้าไป ในตอนนี้จ้าวเฟิงจึงควบคุมกลิ่นอายชนิดนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว

แซ่ด~

หุ่นเชิดศพต้องสาปดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลเข้าไปแล้ว สภาวะของหุ่นเชิดศพก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด

เมื่อดูดซึมกลิ่นอายจนหมด จ้าวเฟิงตรวจสอบอย่างละเอียด

“หืม? สภาวะหุ่นเชิดศพแข็งแกร่งขึ้นแล้ว พลังคำสาปอาฆาตและปราณศพที่แฝงอยู่ก็บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม เข้าใกล้แหล่งกำเนิดพลังกว่าในยามก่อน…” จ้าวเฟิงได้ข้อสรุปออกมาดังนี้

กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลเหมือนจะส่งผลต่อพลังธาตุทุกชนิดและสภาวะทั้งหมด

อิทธิพลของกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลส่งผลต่อจ้าวเฟิงกับหุ่นเชิดศพต้องสาปในแบบเดียวกัน

“ในเมื่อกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลส่งผลต่อสภาวะวิญญาณของข้าเพียงเล็กน้อย ก็จัดการหลอมมันเข้าไปในหุ่นเชิดศพทุกร่างก่อนแล้วกัน”

หลายวันถัดจากนั้น

จ้าวเฟิงก็เริ่มหัวหมุนวุ่นวาย เนื่องเพราะเขาเข้าไปในห้วงฝันบ่อยขึ้นมาก เพื่อที่จะนำกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลจำนวนมากกว่าก่อนออกมาด้วย

สี่ห้าวันต่อมา หุ่นเชิดศพทุกร่างก็ดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลเข้าไปจนครบ

ภายในประคำหมื่นวิญญาณ

สภาวะของหุ่นเชิดศพทุกร่าง กลิ่นอายที่เปลี่ยนแปลงไป ล้วนแต่อยู่ในสายตาของเจ้าหอโครงกระดูกทั้งสิ้น เขาอดที่จะตกใจไม่ได้

“หุ่นเชิดศพต้องสาปพวกนี้มีพลังและสภาวะแข็งแกร่งขึ้น ที่ผ่านมา หุ่นเชิดศพบางส่วนอย่างมากที่สุดก็พัฒนาถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่ในตอนนี้ระดับของพลังหรือกระทั่งความเร็วก็เพิ่มขึ้นมากเหลือเกิน”

เจ้าหอโครงกระดูกเชี่ยวชาญในหุ่นเชิดศพต้องสาปพวกนี้ยิ่งกว่าตัวของจ้าวเฟิงผู้เป็นเจ้าของเสียอีก

สิบวันถัดมา

ทางฝั่งของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงก็ส่งข่าวเรียกจ้าวเฟิงให้ไปหา

“ท่านผู้อาวุโส สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเฟิงแทบจะรอไม่ไหว

วินาทีถัดจากนี้สามารถส่งผลต่อชีวิตของเขาได้เลยทีเดียว

เหมือนกับยามที่เขาเจอเจ้าเมืองก่วงจวิน และเข้าสู่โลกของสำนักต่างๆ เป็นครั้งแรก ชีวิตจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

“จ้าวเฟิง! ทั้งหมดเรียบร้อยดี อีกไม่นานเท่าไหร่ข้าก็จะส่งเจ้าเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ได้” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงยิ้มแย้มสดใส

ช่างดียิ่งนัก!

ใจที่เต้นรัวของจ้าวเฟิงค่อยๆ ผ่อนลง บนใบหน้ามีร่องรอยของความสำราญใจ

“นี่คือ ‘ตราคำสั่งผู้มาเยือน’ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากยิ่ง ข้าเองก็ได้มาอย่างยากเย็นยิ่งนัก”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงพลิกฝ่ามือก็ปรากฏตราคำสั่งขึ้นแผ่นหนึ่ง ตราคำสั่งแผ่นนั้นขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ล้อมรอบด้วยไอสีทองจางๆ ด้านบนสลักคำว่า ‘แขก’ เอาไว้

“ตราคำสั่งผู้มาเยือน?” จ้าวเฟิงพอจะเข้าใจวิธีการใช้ตราคำสั่งชิ้นนี้ได้รางๆ

“ ‘ตราคำสั่งผู้มาเยือน’ แผ่นนี้ ทำให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดบางอย่าง…”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยอธิบาย

ตราคำสั่งผู้มาเยือน

จ้าวเฟิงเอื้อมรับตราคำสั่งแผ่นนี้มา มันใช้วัสดุชนิดพิเศษคล้ายกับตราคำสั่งสือเฉิง

“ตราคำสั่งนี้มีระยะเวลาจำกัด ทำให้เจ้าอยู่ภายใน ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่’ ได้เพียงสิบวันเท่านั้น”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยสำทับ

“ระยะเวลาสิบวัน?สั้นเกินไปแล้ว…” จ้าวเฟิงเก็บเอาตราคำสั่งไว้แล้วเอ่ยพึมพำ

“ระยะเวลาสั้นไปจริงๆ แต่ว่าจะรอดหรือไม่รอด ก็ต้องดูการกระทำของเจ้าในช่วงสิบวันนี้ อีกทั้งนี่ยังมีความเสี่ยงอยู่แน่นอน” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงไม่ปฏิเสธ

เขาพบอุปสรรคไม่น้อยกว่าจะได้ตราคำสั่งผู้มาเยือนนี้มาครอบครอง

ต่อจากนั้น เจ้าตำหนักหย่งเฟิงจึงแจกแจงถึงวิธีการที่ชัดเจน

“อย่างแรก หากเจ้าต้องการจะใช้ค่ายกลข้ามเขตตรงดิ่งจากที่นี่ไปดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ”

“เพราะเจ้าเป็นเพียงแค่แขกผู้มาเยือน ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ข้าเสี่ยงส่งเจ้าไป อีกฟากของค่ายกลก็มียอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เฝ้าอยู่” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงยืนยันความคิดนี้เสียก่อน

“ขั้นแรก จะส่งเจ้าไปยังตำหนักวิญญาณที่อยู่ใกล้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สุดโดยใช้ค่ายกลข้ามเขต”

“ขั้นที่สอง เจ้าจะต้องเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับกำลังพลของสำนักที่อยู่ภายในดินแดนนั้น”

“ ‘ตราคำสั่งผู้มาเยือน’ ของเจ้าก็มาจากสำนักที่ตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นนั่นเอง”

ใช้เวลาไม่นาน เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยแจกแจงแนวคิดคร่าวๆ อย่างชัดเจนก่อน จากนั้นจึงเริ่มเอ่ยรายละเอียดทั้งหมด

“ถึงแม้จะยุ่งยากไปบ้าง แต่ใช้ค่ายกลข้ามเขตไปใกล้ๆ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่’ ก็ประหยัดเวลาไปหลายปีแล้ว”

จ้าวเฟิงที่เข้าใจรายละเอียดทั้งหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version