Skip to content

King of Gods 618

King Of Gods

บทที่ 618 กลุ่มดินแดนเจินอู่

หลังจากที่จดจำรายละเอียดทั้งหมดได้แล้ว จ้าวเฟิงก็นำ ‘ตราคำสั่งผู้มาเยือน’ ออกจากจวนของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง

ก่อนจะใช้ค่ายกลข้ามเขต จ้าวเฟิงยังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการก่อน

เขาและเจ้าตำหนักนัดแนะกันว่าจะใช้ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ ในอีกสามวันให้หลัง

ครั้นกลับถึงที่พัก

จ้าวเฟิงเรียกหลี่อวิ๋นหยากับโหลวหลานจื๋อสุ่ยมารวมตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อปรึกษาขั้นตอนต่างๆ

“สามวันถัดจากนี้ ข้าจะพาพวกเจ้าใช้ค่ายกลข้ามเขตเดินทางไปกลุ่มดินแดนอันเป็นตั้งของ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่’ ” จ้าวเฟิงเอ่ยปนยิ้ม

ทันทีที่เอ่ยออกไป สีหน้าของโหลวหลานจื๋อสุ่ยและหลี่อวิ๋นหยาก็ฉายแววประหลาดใจ

แม้แต่เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ภายในลูกประคำหมื่นวิญญาณก็ยังรู้สึกลิงโลดเช่นกัน

ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นจุดศูนย์กลางของอาณาเขตมหาสมุทรกว้างใหญ่ ควบคุมดูแลกลุ่มดินแดนนับร้อย ในตำนานว่าไว้ว่าเป็นที่ตั้งของสำนักสามดาวด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าการนำคนทั้งหมดไปยังละแวกใกล้เคียงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นขั้นตอนแรก

ต่อจากนั้นจ้าวเฟิงจำต้องเข้าไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่โดยลำพังก่อน

ตราคำสั่งผู้มาเยือนมีเพียงหนึ่งเดียว!

ด้วยเหตุนี้จะมีเพียงจ้าวเฟิงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ๋นหยา โหลวหลานจื๋อสุ่ยและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกผิดหวังกันเล็กน้อย

ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าไปได้

จ้าวเฟิงยิ้มแย้มน้อยๆ “พวกเจ้าวางใจเถิด ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ไม่ใช่จุดหมายสุดท้ายที่ข้าต้องการจะไป แต่ถ้าหากข้าต้องอยู่ภายในนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ข้าจะคิดหาวิธีพาพวกเจ้าเข้าไป”

ในใจของหลี่อวิ๋นหยาอดจะครุ่นคิดไม่ได้ เป้าหมายของจ้าวเฟิงมุ่งไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ถึงขนาดพูดโน้มน้าวจนเจ้าตำหนักหย่งเฟิงต้องยินยอม แน่นอนว่าย่อมต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่

และในเวลาเดียวกัน จุดหมายสุดท้ายของจ้าวเฟิงก็ทำให้กับหลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลานจื๋อสุ่ยรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง

สามวันต่อมา

จ้าวเฟิงและลูกเรือก็จัดแจงเก็บของเรียบร้อย แล้วไปรวมตัวกันอยู่ภายในตำหนักโบราณของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า

ตำหนักแห่งนี้มีการควบคุมที่เข้มงวด เฉพาะยอดฝีมือในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ก็ปาเข้าไปสี่ห้าคนแล้ว จ้าวเฟิงพอจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ ‘ครึ่งก้าวสู่ราชัน’ ที่มิใช่ของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง

“มีครึ่งก้าวสู่ราชันผู้หนึ่งดูแล ‘ค่ายกลข้ามเขต’ อยู่โดยเฉพาะ แล้วยังมียอดฝีมืออีกจำนวนมากคอยคุ้มกันด้วย…”

จ้าวเฟิงอดตกใจไม่ได้

อีกทั้งตัวตำหนักนี้ยังมีค่ายกลที่แข็งแกร่ง แรงสังหารของค่ายกลก็รุนแรงมากพอจะปลิดชีพยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้อย่างสบายๆ

ไม่เพียงเท่านั้น

ในละแวกของค่ายกลข้ามเขตยังเป็นที่ตั้งของจวนเจ้าตำหนักหย่งเฟิง

ลักษณะของค่ายกลเช่นนี้ ต่อให้ขอบเขตปราณเทวะอยากจะฝ่าเข้าไปก็ยังต้องคิดอยู่สักหน่อย

เวลาไม่นานนัก

แท่นสำริดโบราณสลักลายมังกรของค่ายกลก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของฝูงชนทั้งหลาย

เส้นสายที่ต่อกันเป็นลวดลายค่ายกลบนแท่นนั้น ถึงจะเป็นดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ยังยากจะมองออกได้ชัดเจน

ด้วยเพราะโครงสร้างค่ายกลแฝงไปด้วยหลักการด้านมิติที่สูงส่ง ทั้งอยู่ในระดับซับซ้อนเกินไปกว่าข้อจำกัดของมิติทั้งสาม

ถึงแม้ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจะกล้าแกร่ง แต่ว่าก็ไม่ใช่ดวงตาประเภทมิติ

“ส่งพวกเจ้าไปที่ ‘กลุ่มดินแดนเจินอู่’ น่าจะต้องใช้ผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดแปดชิ้น” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงมีท่าทีเจ็บปวดใจเมื่อหยิบเอาผลึกเริ่มต้นชนิดพิเศษจำนวนแปดชิ้นออกมา

ผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดพวกนั้นเป็นประหนึ่งลูกแก้วสุกสกาวแวววาว แผ่กระจายไอสวรรค์ในฟ้าดินที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์

ผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดทำให้คนที่อยู่ภายในที่แห่งนี้ตกตะลึง

“ผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอด แทบจะเป็นผลึกเริ่มต้นในระดับสูงสุดของผืนพสุธาแล้ว”

“ผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอด ในตำนานว่ากันว่าจำนวนหนึ่งชิ้นสามารถเปลี่ยนเป็นผลึกเริ่มต้นระดับสูงได้หนึ่งล้านชิ้น แถมยังมีราคาสูงและหาซื้อได้ยาก”

หลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลานจื๋อสุ่ยรวมถึงเหล่าลูกเรือได้เปิดหูเปิดตากันครั้งใหญ่

คนในนั้นต่างไม่เคยเห็นผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดมาก่อน

ต้องรู้ว่า ผลึกเริ่มต้นระดับสูงชิ้นหนึ่งเท่ากับผลึกเริ่มต้นธรรมดาล้านชิ้น

ผลึกเริ่มต้นตั้งแต่ระดับล่าง ระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูงล้วนแต่มีสัดส่วนในการแลกเปลี่ยนหนึ่งต่อร้อย

แต่ทว่าเมื่อมาถึงผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดก็จะไม่เหมือนเช่นผลึกระดับอื่นๆ

ผลึกเริ่มต้นระดับระดับสุดยอดหนึ่งชิ้นเท่ากับผลึกเริ่มต้นในระดับสูงล้านชิ้น

เพราะผลึกเริ่มต้นในระดับสุดยอดเช่นนี้มีอยู่น้อยนิดจนแทบหาไม่เจอ

“ช่วยไม่ได้ มีเพียงพลังของผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดถึงจะเปิด ‘ค่ายกลข้ามเขต’ นี้ได้ ว่ากันว่าใจกลางพลังของค่ายกลข้ามเขตที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องได้รับการกระตุ้นจาก ‘ผลึกเซียน’ ที่สูงส่งยิ่งกว่านั้น” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยอย่างละเหี่ยใจ

เขาพูดพลางเอาผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดแปดชิ้นจัดวางรอบแท่นค่ายกลสลักลายมังกร

ผลึกเซียน?

จ้าวเฟิงและคนอื่นใจเต้น ในโลกใบนี้ที่แท้แล้วยังมีสิ่งที่อยู่เหนือกว่าผลึกเริ่มต้นระดับสุดยอดอยู่อีก นั่นก็คือ…ผลึกเซียน

ดูท่าทางแล้ว เจ้าตำหนักหย่งเฟิงอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสู่ราชัน ซ้ำยังเป็นคนของดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ย่อมมีความรู้และโลกทัศน์ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป

“เหอะเหอะ ‘ผลึกเซียน’ มีที่มาจากยุคของเทพบรรพกาล ไม่มีทางเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะผลึกเซียนชิ้นใดก็ตามแต่ในโลกใบนี้ล้วนมีมูลค่าที่ ‘ไม่อาจประมาณได้’ ทั้งสิ้น

แต่ต่อให้เป็นราชันปราณเทวะหรือจักรพรรดิก็ไม่อาจดูดซึมเอาพลังเซียนของ ‘ผลึกเซียน’ ไปได้” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ทรัพยากรตั้งต้นของค่ายกลพร้อมสรรพอย่างรวดเร็ว

วิ้ง!

บนแท่นค่ายกลโบราณมีแสงสว่างสุกใสของผลึกเริ่มต้นสีขาว เส้นสายสีเงินของค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอขึ้นเต็มทั้งแท่นค่ายกล

หากจะเปิดใช้ค่ายกลนี้ จำต้องให้ปรมาจารย์ที่มีความปรุโปร่งในทฤษฎีศาสตร์ค่ายกลเป็นผู้ลงมือทำ

“ได้แล้ว” ปรามาจารย์ค่ายกลคนดังกล่าวเอ่ยเสียงเรียบ

ก่อนออกเดินทาง จ้าวเฟิงเตรียมจะมอบผลึกเริ่มต้นระดับสูงคืนให้กับเจ้าตำหนักหย่งเฟิงในจำนวนเทียบเท่ากับผลึกระดับสุดยอดที่ถูกใช้ไป

ที่สนามประลองในครั้งก่อน เขาวางเดิมพันไว้ว่าตนเองจะชนะ ผลึกเริ่มต้นระดับสูงล้านชิ้นจึงเพิ่มขึ้นมาอีกสามสิบเท่า

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงสั่นศีรษะยิ้มๆ ด้วยความร่ำรวยของเขาทำให้ไม่ขาดผลึกเริ่มต้นเหล่านี้แต่อย่างใด

“ออกเดินทางได้” จ้าวเฟิงจ้องไปที่เจ้าตำหนักหย่งเฟิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง แล้วนำกลุ่มคนก้าวขึ้นแท่นค่ายกล

เขาเข้าใจดีว่าตนเองติดหนี้เจ้าตำหนักหย่งเฟิงครั้งหนึ่งแล้ว

วิ้ง ครืน~

แรงกระเพื่อมมิติที่รุนแรงปกคลุมทั่วแท่นค่ายกลสำริดสลักลายมังกร

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงมองส่งพวกจ้าวเฟิงที่ค่อยๆ หายไปภายในแสงเจิดจ้าของค่ายกล

“เพื่อเจ้าเด็กนั่นแล้วถึงกับต้องใช้วิธีการต่างๆ มากมายเพื่อให้เขาเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดนี้คุ้มค่าแล้วหรือ?” ปรมาจารย์ค่ายกลผู้นั้นเอ่ยปากถาม

“ด้วยพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ของเขา หากมีความเกี่ยวข้องในระดับนี้กับ

‘ตวนมู่ชิง’ จริงๆ แล้วล่ะก็ ทั้งหมดที่ทำล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ย

“ตวนมู่ชิง? หรือว่าจะเป็นผู้ทรงอำนาจของ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน’ ผู้นั้น” ปรมาจารย์ค่ายกลผู้นั้นใจเต้นแรง อดสูดหายใจลึกไม่ได้

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

ในทะเลความว่างเปล่าอีกฟากที่ห่างไกลออกไป

วิ้ง!

บนแท่นค่ายกลโบราณขนาดกว้างใหญ่ปรากฏเงากว่าสิบร่าง ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพวกของจ้าวเฟิง

ในยามที่เพิ่งจะปรากฏกาย โหลวหลานจื๋อสุ่ยและลูกเรือคนอื่นๆ ต่างรู้สึกไม่สบายตัว หวิดขาอ่อนทรุดลงกับพื้น

เมื่อใช้ค่ายกลข้ามเขตจะมีการแปรผันระหว่างข้ามพื้นที่ แรงกดดันที่ทำให้เสียสมดุลมีมากมายเกินไป

ขนาดหลี่อวิ๋นหยายังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บางส่วนเช่นกัน

“ถึงแล้ว”

ตัวจ้าวเฟิงเองยังพอนับได้ว่าสบาย สภาวะวิญญาณของเขาแทบจะไปถึงขีดจำกัดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง พลังสายเลือดเองก็ใกล้เคียงกับสายเลือดในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ

หลังจากยืนอย่างมั่นคงได้แล้ว กลุ่มคนก็อดจะมองสำรวจรอบๆ บริเวณไม่ได้

เพียงชั่วครู่เดียว คนทั้งหมดก็ต้องสูดลมหายใจลึก

พวกเขาอยู่ภายในป้อมปราการเล็กๆ แห่งหนึ่ง ภายในยังพอเห็นระลอกพลังมิติที่เคลื่อนไหวยวบยาบ

“หนึ่งแห่ง สองแห่ง สามแห่ง…แปดแห่ง!”

จ้าวเฟิงนับจำนวนค่ายกลข้ามเขตของที่นี่อย่างคร่าวๆ พบว่ามีแปดแห่งพอดี

อีกทั้งผู้คุ้มกันภายในป้อมปราการแห่งนี้ อย่างน้อยที่สุดจะเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ภายในนั้นมีครึ่งก้าวสู่ราชันจำนวนมากถึงเจ็ดแปดคน

ยิ่งไปกว่านั้น

จ้าวเฟิงยังแอบสัมผัสได้ว่ามีตัวตนของคนในขั้นขอบเขตราชันปราณเทวะอีกด้วย

“ที่นี่คือตำหนักวิญญาณแห่งเจินอู่ เอาเครื่องหมายแสดงตนของพวกเจ้าออกมา”

ครึ่งก้าวสู่ราชันผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นค่ายกล ในทุกแห่งหนที่แววตาของเขากวาดผ่าน ไอสวรรค์ในฟ้าและดินเหมือนจะแข็งตัวขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

คนทั้งหมดรู้สึกหายใจไม่ออก

โหลวหลานจื๋อสุ่ยและคนอื่นๆ ราวกับโดนกักขังดวงวิญญาณไว้ ไม่กล้าแม้แต่จะขัดขืนหรือหลอกลวง

“ตราคำสั่งผู้มาเยือน ตราคำสั่งตำหนักวิญญาณสีทอง และป้ายแทนตนหย่งเฟิง…” จ้าวเฟิงชูตราคำสั่งหลายชิ้นขึ้นเป็นหลักฐาน

ครึ่งก้าวสู่ราชันผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย

“เหอะเหอะ ที่แท้ก็เป็นสหายของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงนี่เอง”

ไม่ไกลออกไปมีผู้เฒ่าเคราสีขาวซึ่งคอยเฝ้าดูอยู่นานแล้ว ร่างกายเขาสั่นไหวน้อยๆ ก่อนปรากฏตนบนที่แห่งนี้

“หืม? ผู้เฒ่าหลี่ นี่มันแขกกิตติมศักดิ์ของ ‘สำนักบรรพตทอง’ ของเจ้านี่”

ครึ่งก้าวสู่ราชันผู้เฝ้าคุ้มกันพลันแย้มยิ้ม

เขาปล่อยให้จ้าวเฟิงและคนที่เดินทางมาพร้อมกันเข้าไป ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้อีก

“เจ้าคงเป็นจ้าวเฟิงสินะ ผู้อาวุโสรออยู่ที่นี่นานแล้ว” ผู้เฒ่าเคราสีขาวมองสำรวจจ้าวเฟิงเต็มสองตา รอยยิ้มระบายเต็มหน้า

“ท่านคือ ‘ผู้อาวุโสหลี่’?”

จ้าวเฟิงไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะก่อนออกเดินทางเจ้าตำหนักหย่งเฟิงได้แจกแจงไว้ก่อนแล้ว

มีเพียงต้องเข้าใจปรุโปร่งในทุกลำดับขั้นตอน จึงจะทำให้จ้าวเฟิงเข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ได้

“เป็นข้าเอง เจ้าเรียกว่าผู้เฒ่าหลี่ก็ได้”

ผู้เฒ่าเคราขาวเป็นมิตรอย่างมาก เดินนำจ้าวเฟิงแและคนอื่นๆ ออกจากป้อมปราการไป

ตลอดทางที่เดินผ่าน พวกหลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลานจื๋อสุ่ยรู้สึกกระสับกระส่าย

เมื่อเดินออกนอกป้อมปราการ ด้านนอกจึงจะเรียกว่าเป็น ‘ตำหนักวิญญาณแห่งทะเลความว่างเปล่า’ ที่อยู่ภายในกลุ่มดินแดนเจินอู่

ตำหนักวิญญาณแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าของกลุ่มดินแดนหย่งเฟิงหรือกลุ่มดินแดนเชียนหลิวกว่าหลายสิบเท่า!

สวบ สวบ!

เสียงแหวกอากาศมาพร้อมกับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หรือจะคนในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ก็ล้วนมีมาเรื่อยๆ

ถึงขนาดที่ว่าในบางครั้งจ้าวเฟิงยังพอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ของขอบเขตปราณเทวะด้วยเลยทีเดียว

“สวรรค์ นี่มันสถานที่ใดกันแน่?” หลี่อวิ๋นหยา โหลวหลานจื๋อสุ่ย และคนที่เหลือล้วนแต่หวาดหวั่น

“เป็นดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เหตุใดจึงแตกต่างกันมากมายเช่นนี้?”

จ้าวเฟิงมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ

ผู้เฒ่าเคราขาวจับจ้องสีหน้าท่าทางของพวกจ้าวเฟิงไว้ในสายตา แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย “ที่นี่คือ ‘กลุ่มดินแดนเจินอู่’ มีขั้วอำนาจของสำนักที่แข็งแกร่งอยู่มาก เมื่อมาถึงที่นี่ต้องแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อจะได้มีคุณสมบัติเข้าไปใน ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่’ ”

กลุ่มดินแดนเจินอู่!

จ้าวเฟิงและพวกลอบสัมผัสได้ว่ากลุ่มดินแดนนี้ไม่เหมือนกลุ่มดินแดนทั่วๆ ไป

“เจินอู่เป็นกลุ่มดินแดนที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่มหาสมุทรแห่งนี้ สำนักสองดาวที่เข้ามาภายในนี้มีจำนวนมากถึงสองร้อยสำนัก ในจำนวนนี้ยังมีสำนักสองดาวระดับสุดยอดบางส่วนด้วย…” ผู้เฒ่าเคราขาวเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

สำนักสองดาวมีจำนวนร่วมร้อยสองร้อยงั้นหรือ?

จ้าวเฟิงและคนร่วมเดินทางอดจะอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงไม่ได้

“ภายใน ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ นอกจากสำนักสามดาวยังมีสำนักสองดาวที่ได้รับอนุญาตอีกสามสิบสามแห่ง ตลอดปีจะมีสำนักที่ต้องการเข้ามาตั้งอยู่ภายในแข่งขันกันอย่างดุเดือด ชิงดีชิงเด่นกัน มีรุกโจมตีมีล่าถอย

เพราะอย่างไรก็มีแต่การอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะทำให้สำนักสองดาวยกระดับขึ้นมาเป็นสำนักสามดาวได้…” ผู้เฒ่าเคราขาวเอ่ยคร่าวๆ

จ้าวเฟิงและพวกอดตื่นตะลึงไม่ได้

เพราะมีดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้ ‘กลุ่มดินแดนเจินอู่’ จึงเป็นศูนย์กลางของการแก่งแย่งชิงดีของแต่ละสำนักทั่วทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้

อีกทั้งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการแก่งแย่งเพื่อเข้าไปใน ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ เสียด้วย

เวลาผ่านไปสักพัก

ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเดินนำจ้าวเฟิงและพรรคพวกไปยังศาลารับรองแขกหลังใหญ่

“ที่นี่เป็นศาลารับรองแขกภายในตำหนักวิญญาณของ ‘สำนักบรรพตทอง’ พวกเราก็เป็นหนึ่งในสามสิบสามสำนักที่ตั้งอยู่ภายใน ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ เช่นกัน”

ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

เป็นสำนักที่อยู่ภายในดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์?

หลี่อวิ๋นหยาและคนอื่นๆ อดเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใสไม่ได้

สำนักที่เข้าไปอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ต้องเป็นบุคคลโดดเด่นในสำนักสองดาวเป็นแน่ และย่อมแข็งแกร่งกว่าตำหนักมารจันทราหรือตำหนักผาดำจำพวกนี้หลายเท่าตัว

เพียงแต่ว่า ขณะอยู่ตรงทางเข้าของสำนักบรรพตทอง จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งที่สุด มีขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันหลายคน ซึ่งผู้เฒ่าหลี่เคราขาวก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น

 

“ ‘สำนักบรรพตทอง’ ของเรา มีจำนวนกำหนดในการเข้าไปภายในดินแดนศักดิสิทธิ์อยู่ที่สามพันคน เหล่ายอดฝีมือล้วนแต่อยู่ที่นั่น ทว่าเกิดการสูญเสียจากการปะทะกันภายในนั้น ในระยะนี้พวกเราจึงจะส่งเหล่าศิษย์และยอดฝีมือเข้าไปเพิ่ม…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version