บทที่ 629 เงาขององค์จักรพรรดิ
ในขณะที่ห้วงความคิดเซียนของราชันกำลังสื่อสารกันอยู่นั้น
สวบ!สวบ!
ภายนอกของยอดเขาจิตวิญญาณรองอันเป็นที่ตั้งของสำนักบรรพตทอง มีเสียงแหวกอากาศอย่างรุนแรงคล้ายเสียงโจมตีดังแว่วมา
“ใครกัน!”
“ผู้ใดอาจหาญบุกเข้ามาภายในพื้นที่สำคัญของสำนักบรรพตทอง จะต้องโดนสังหารจนสิ้น!” บนยอดเขาจิตวิญญาณรอง มียอดฝีมือที่ตรวจลาดตระเวนตะโกนเสียงดังลั่น
แต่ทว่า เสียงที่แหวกอากาศมานั้นกลับไม่สนใจใครทั้งสิ้น
“เหอะ! เป็นก็แค่สำนักสองดาว อย่าพูดจาโอ้อวดให้มากนักเลย”
หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มผู้อยู่ในกลุ่มลูกไฟสีดำ ซึ่งสาดซัดพลังที่ยิ่งใหญ่น่าหวั่นเกรงของราชันลัทธิมารออกมา
“ราชันลัทธิมาร!”
พลังมารที่ปกคลุมในพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ทำให้เหล่าผู้คุมกฎของสำนักบรรพตทองเหมือนโดนกักขังไว้ สูดหายใจติดขัดยากลำบาก
วิ้ง!
ในกลุ่มลูกไฟสีดำกลางอากาศ ค่อยๆ ปรากฏร่างเงารางๆ ของ ‘ชายหนุ่มเกล็ดนิล’ ผู้มีใบหน้าสีดำคล้ำ หน้าตาอัปลักษณ์ ทั่วร่างมีเกล็ดคล้ายเกล็ดปลาสีดำอยู่ด้านบน
“ผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย ‘ถูวั่นหลี่’!”
เมื่อสายตาของผู้เฒ่าหลี่เคราขาวหยุดลงบนร่างของราชันลัทธิมาร สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ราชันที่มาเยือนผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฆาตกรอำมหิต แต่ยังมาจากสำนักสามดาวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์…สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย
“ถอยออกไปให้หมด”
บนเส้นขอบฟ้าเกิดประกายแสงสีฟ้าขึ้นวาบหนึ่ง แล้วปรากฏเงาร่างของราชันชุดคลุมสีฟ้า
ผู้คุมกฎของสำนักบรรพตทองโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก จากนั้นค่อยๆ ถอยออกมา
มีเพียงราชันที่สามารถรับมือกับราชันได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้มาเยือนคือผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์
สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย
“เหอะเหอะ ผู้อาวุโสถูมาเยือนถึงสำนักข้า มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ” ราชันชุดคลุมสีฟ้าไม่กล้าเสียมารยาท เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สำนักสามดาวเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน
แต่ไหนแต่ไรมา สำนักสองสองดาวส่วนมากภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองดาวมักจะผนึกพลังอยู่ภายใต้สำนักสามดาว หรือไม่ก็ร่วมมือกับสำนักสองดาวด้วยกันนับสิบแห่ง จึงพอจะมีปากมีเสียงได้บ้าง
ในเวลาดังกล่าว
ภาพบนอากาศเขย่าขวัญจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ เช่นกัน
พลังยิ่งใหญ่ของราชันลัทธิมารรุนแรงน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทั้งสำนักบรรพตทองตกอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดและกดดัน
จ้าวเฟิงอดจะทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ ไม่ได้
ข้างกายของ ‘ถูวั่นหลี่’ ผู้เป็นราชันลัทธิมารยังมีร่างเงาส่วนหนึ่งที่ดูแล้วคุ้นตายิ่ง
“องครักษ์แห่งความตาย!” จ้าวเฟิงใจเต้นระรัวเสียงดัง หวาดกลัวจนหน้าถอดสี
มีองครักษ์แห่งความตายมาพร้อมกันทั้งหมดสี่คน แล้วยังมีบุรุษหนุ่มหยางกวงและเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนด้วย
“พวกเจ้าสำนักบรรพตทองซ่อนคนชั่วที่ชื่อ ‘จ้าวเฟิง’ เอาไว้ใช่หรือไม่!” ถูวั่นหลี่เอ่ยตะคอก เขาเผยรอยยิ้มอำมหิต และกวาดห้วงคิดเซียนไปทั่วยอดเขาจิตวิญญาณรองแห่งนี้อย่างน่าพรั่นพรึง
“จ้าวเฟิง?”
ราชันชุดคลุมสีฟ้าชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าค่อนข้างลำบากใจ
ผู้อาวุโสจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายผู้นี้ มาหาเรื่องถึงสำนักบรรพตทองอย่างไม่กังวลแม้แต่น้อย นับว่ามากเกินไปยิ่ง
“เหอะเหอะ ตามที่ได้ข่าวคราวมา คนสารเลวชื่อ ‘จ้าวเฟิง’ เข้ามาภายในถิ่นของสำนักพวกเจ้า” ถูวั่นหลี่มองดูสีหน้าของราชันชุดคลุมสีฟ้า
ในเวลาเดียวกันนี้เอง
บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่บินขึ้นไปกลางอากาศ ปลดปล่อยประสาทสัมผัสไม่ก็ห้วงคิดเซียนออกมาเพื่อสำรวจตรวจตรา
“อยู่ที่นั่น…หาเจอแล้ว”
องครักษ์แห่งความตายเอ่ยเสียงต่ำ แววตาจับจ้องไปยังกลุ่มอัจฉริยะที่อยู่ในละแวกของลานฝึกวิชา
“เจ้าคือจ้าวเฟิงงั้นรึ!”
บุรุษหนุ่มหยางกวงยิ้มแย้มอบอุ่น ประหนึ่งเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน
องครักษ์แห่งความตายทั้งสี่มีสีหน้าสะใจ จ้องเขม็งไปที่จ้าวเฟิงผู้ซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน
“จัดการมันซะ!” ถูวั่นหลี่หัวเราะเสียงดัง เอ่ยสั่งในทันใด
บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่พุ่งตรงมาหาจ้าวเฟิงอย่างไม่ลังเล
“ยั้งมือก่อน!”
พลังในขอบเขตราชันที่ยิ่งใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้า ส่งผลให้บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์ทั้งสี่ร่างกายแข็งทื่อ
ผู้ที่ลงมือก็คือราชันชุดคลุมสีฟ้า
“ทำไมรึ? สำนักบรรพตทองของเจ้าจะขัดขวางการจับคนของสำนักหนึ่งพันเดียวดายของข้า?” ถูว่านหลี่สีหน้าดำคล้ำขึ้น
“จ้าวเฟิงผู้นั้นเป็นแขกของสำนักบรรพตทอง ต่อให้เป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายมาด้วยตนเองเพื่อจับเขาโดยเฉพาะ ก็ต้องมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลหน่อย”
ถึงแม้ว่าราชันชุดคลุมสีฟ้าจะมีสีหน้าฉุนเฉียว แต่ในใจกลับโอดครวญ
เบื้องหลังของสำนักบรรพตทองมีราชันหลายคนคอยสนับสนุน จึงไม่ได้หวาดกลัวถูวั่นหลี่แต่อย่างใด
แต่การกระทำของถูวั่นหลี่เป็นตัวแทนของสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายได้
อนึ่ง สถานะของถูวั่นหลี่ไม่ได้ธรรมดา อีกทั้งท่านอาจารย์ของเขาเป็นจักรพรรดิเก่าแก่ จึงนับว่ามีตำแหน่งสูงส่งเอาการในสำนักหนึ่งพันเดียวดาย
“อธิบายรึ? ข้าเป็นตัวแทนของท่านอาจารย์ ‘ราชันมารทมิฬ’ ล่วงหน้ามาเพื่อจัดการจ้าวเฟิง” ถูว่านหลี่ส่งเสียงหัวเราะเย็นชา แล้วในมือก็ปรากฏตราคำสั่งสีดำมืดแผ่นหนึ่ง
วิ้ง!
ตราคำสั่งสีดำมืดแผ่นนั้นปลดปล่อยพลังราชามารลึกล้ำไร้ขอบเขต ส่งผลให้ชั้นดวงวิญญาณสั่นสะท้าน
แล้วในวินาทีนั้น
วิญญาณของเหล่าราชันส่วนหนึ่งในสำนักบรรพตทองสั่นน้อยๆ
ขอบเขตปราณเทวะจะถูกแบ่งเป็นช่วงต้น กลาง ปลาย และช่วงบริบูรณ์
มีเพียงแต่ขอบเขตปราณเทวะช่วงบริบูรณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วจึงจะเป็นจักรพรรดิได้
จักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะถือได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุด ดวงวิญญาณเข้าใกล้การเป็นอมตะ ยากที่จะทำลายให้สูญสลายลงได้
ด้วยเหตุนี้ อายุขัยของจักรรพรรดิจึงยาวนานเป็นที่สุด สามารถเกินหมื่นปีขึ้นไป
“เป็นพลังของ ‘ราชันมารทมิฬ’! มิน่า ‘ถูวั่นหลี่’ จึงมั่นใจมากเช่นนี้!” ราชันชุดคลุมฟ้าสูดหายใจเย็นชืดเข้าปอด
ราชันมารทมิฬเป็นหนึ่งในจักพรรดิแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง
ถึงจะเป็นจักรพรรดิผู้ที่เก็บตัวฝึกตนเป็นเวลาหลายปีของสำนักบรรพตทองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ราชันและจักรพรรดิล้วนแต่เป็นพลังต้องห้ามในสำนักหนึ่งสองสามดาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับจักรพรรดิ จักรพรรดิขอบเขตปราณเทวะที่เก่งกล้าสามารถทำลายสำนักสองดาวให้ราบคาบลงได้ อย่างเช่นจักรพรรดิแห่งความตายผู้นั้น
“เฮ้อ”
ขณะที่ถูว่านหลี่แสดงหลักฐานจากราชันมารทมิฬ เหล่าราชันของสำนักบรรพตทองอดถอนหายใจอย่างหดหู่ไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ สำนักบรรพตทองยากที่จะยื่นมือเข้ามาคุ้มครองจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง! ข้าจะรอดูว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีอย่างไร!”
“ต่อให้เจ้าหลบภัยมาถึงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี่ พวกเราก็จะใช้สำนักสามดาวกดดันสำนักสองดาว ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้ทั้งนั้น”
บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่เผยรอยยิ้มของผู้ชนะออกมา
วินาทีนี้
พลังยิ่งใหญ่ของราชันปราณเทวะสาดซัดออกมา
จ้าวเฟิงยืนอยู่เพียงลำพังตรงจุดเดิม ไม่มีสิ่งใดคุ้มกันเขา
“จักรพรรดิแห่งความตายนับว่ามีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ถึงขนาดมีอิทธิพลต่อสำนักสามดาวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย้ยเยาะ
เขายืนอยู่กับที่ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ในรอยยิ้มนั้นมีร่องรอยของความขบขันเล็ดลอดออกมา
หืม!
บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ในแวลานี้จ้าวเฟิงไม่มีโล่กำบัง ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ไม่มีทางให้ถอยหนี แล้วไยจึงยังใจเย็นอยู่เช่นนี้ได้
วิ้ง~
ใจกลางฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏตราคำสั่งสีม่วงที่เหมือนระลอกสายน้ำ ก่อนที่มันจะสั่นน้อยๆ
หึ!
รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวเฟิงเปล่งประกายสดใส
ด้วยก่อนนี้ไม่นานนัก อยู่ๆ ตราคำสั่งสือเฉิงที่นิ่งสงบมายาวนานก็เกิดปฏิกิริยาตอบกลับมา
อีกทั้งทิศทางของกลิ่นอายการตอบสนองนั้นไม่ได้มาจากซากปรักหักพังสือเฉิง แต่มาจากใจกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายเริ่มรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากล
แต่ว่าพวกเขาก็ยังพุ่งตรงมาหาจ้าวเฟิงอย่างบ้าคลั่ง
“พวกเจ้าเป็นบริวารของจักรพรรดิแห่งความตายงั้นหรือ?”
น้ำเสียงอบอุ่นราวสายลมวสันต์แว่วมา คล้ายว่าอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า แต่ก็คล้ายว่าไกลสุดปลายฟ้า ทำให้คนเกิดความรู้สึกสับสน
ในวินาทีต่อมา
ห้วงคิดเซียนที่เก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดินก็แหวกอากาศมา พลังขอบเขตปราณเทวะของระดับจักรพรรดิ ทำให้รู้สึกไปว่าอากาศในท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งสั่นไหว
อึก!
องครักษ์แห่งความตายทั้งสี่กระอักเลือดออกมาพร้อมกัน
“จักรพรรดิ!”
บุรุษหนุ่มหยางกวงร่างกายสั่นสะท้าน พยายามฝืนเลือดลมในกายที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรง แล้วควบคุมดวงวิญญาณให้สงบนิ่ง
“ห้วงความคิดเซียนกลุ่มก้อนนั้น หรือว่าจะเป็น…” ถูวั่นหลี่ใจสั่น ตกใจเสียจนพูดไม่ออก
วิ้ง!
บนท้องฟ้า พลังมหาศาลของจักรพรรดิรวมตัวกัน ไอสวรรค์ในฟ้าดินจึงส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่น
เงาแสงของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เกือบร้อยจั้งปรากฏขึ้น เรือนผมสีขาว ล้อมรอบไปด้วยลำแสงสีเขียวสว่างเหมือนดอกบัว ดูราวกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น
“เงาปราณเทวะ!”
“เพียงแค่ ‘เงาปราณเทวะ’ เงาหนึ่งเท่านั้น แต่กลับแฝงไปด้วยพลังที่เก่งกล้าอะไรเช่นนี้” เหล่าราชันของสำนักบรรพตทองใจเต้นถี่ระรัว
“คา…คารวะองค์จักรพรรดิ”
‘ถูวั่นหลี่’ ผู้เป็นราชันลัทธิมารค้อมศีรษะลงเบื้องหน้าเงาของบุรุษผมขาวรูปร่างสูงใหญ่
หน้าของเขาแดงก่ำ สูดหายใจเข้าลึก
ตุบ! ตุบ!
องครักษ์แห่งความตายทั้งสี่แบกรับความกดดันไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้น
มีเพียงบุรุษหนุ่มหยางกวงที่พอจะทนรับไหว เขากัดฟันแล้วแหงนหน้ามอง ‘เงาจักรพรรดิ’ เหนือศีรษะ แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เจ้ารู้จักท่านอาจารย์ของข้างั้นรึ!”
“จักรพรรดิแห่งความตาย? มีวาสนาได้พานพบกันหลายครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีลูกศิษย์ที่โดดเด่นเช่นเจ้า ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” เงาปราณเทวะขนาดใหญ่กว่าร้อยจั้งเอ่ยเสียงเรียบ
ในวินาทีนี้
ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ก็เกิดปั่นป่วนขึ้น
ห้วงคิดเซียนมากมายมุ่งตรงผ่านมาที่ยอดเขาจิตวิญญาณรองของสำนักบรรพตทอง
“เป็น ‘เงาปราณเทวะ’ ของตวนมู่ชิง!”
“ในระยะพันปีที่ผ่านมาไม่เห็นจักรพรรดิตวนมู่ออกหน้า คิดไม่ถึงเลยว่าพลังของเขาจะถึงระดับขั้นนี้แล้ว”
เหล่าราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ล้วนแต่ตกใจ
หนึ่งในนี้ก็รวมถึง ‘ราชันมารทมิฬ’ ผู้เป็นอาจารย์ของถูวั่นหลี่ด้วย
“เมื่อเห็นพลังยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ใน ‘เงาปราณเทวะ’ ร่างนี้แล้ว ในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด พลังของตวนมู่ชิง ถือได้ว่าไร้เทียมทานแล้วล่ะ”
สีหน้าของราชันมารทมิฬขรึมลง เขาลอบมองอยู่อย่างลับๆ แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไร
ในเวลาเดียวกันนั้น ราชันมารทมิฬก็เกิดสงสัยในใจ ว่าเหตุใดตวนมู่ชิงจึงได้ยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องนี้?
ตอนนี้เอง
ณ ยอดเขาจิตวิญญาณรอง จ้าวเฟิงผู้เป็นคนต้นเรื่องก็เอ่ยปากออกมาในที่สุด
“คารวะผู้อาวุโสตวนมู่ ข้าได้รับคำไหว้วานจากเศษเสี้ยววิญญาณของผู้อาวุโส ‘สือเฉิง’ ให้มาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้”
จ้าวเฟิงประคองตราคำสั่งสือเฉิงส่งขึ้นไปบนฟ้ายังทิศทางของเงา แล้วค้อมคำนับ
ผู้อาวุโสสือเฉิง…เป็นยอดฝีมือคนใดกัน?
บนยอดเขาจิตวิญญาณรองของสำนักบรรพตทอง ห้วงความคิดเซียนจำนวนมากวนเวียนไปมา
ทั้งเหล่าราชันของสำนักบรรพตทอง ราชันมารทมิฬ ถูว่านหลี่ จักรพรรดิและราชันคนอื่นๆ ล้วนแต่เฝ้าครุ่นคิดเกี่ยวกับชื่อนี้
“สือเฉิง? หรือว่าจะเป็นท่านผู้นั้น…”
ภายในสำนักบรรพตทอง ราชันผู้หนึ่งที่อยู่มานานใจเต้นกระตุก
“เซียนจื่อเย่!”
จักรพรรดิเก่าแก่หลายคนที่อยู่ภายในดินแดนศักดิ์เจินอู่หลุดคำออกมา
“จะต้องเป็นเซียนจื่อเย่แน่ๆ! หากจะนับลำดับอาวุโสล่ะก็ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่นี้ไม่มีผู้ใดเทียบเท่านางได้…”
“ถ้าหากว่าจำไม่ผิด เซียนจื่อเย่เป็นท่านอาหญิงของตวนมู่ชิง มาจากราชวงศ์ของทวีปที่ห่างไหล เป็นบุคลลผู้สูงศักดิ์ในตำนาน”
เหล่าคนเก่าคนแก่ระลึกถึงเรื่องราวในอดีต
บนอากาศ
ลำแสงเงาของบุรุษเรือนผมสีขาว สีหน้าฉายแววสับสนงุนงงและคิดคำนึงอย่างอดไม่ได้
“เจ้าตามข้ามา!” ร่างเงาบุรุษสูงใหญ่โบกมือส่งๆ
วูบ!
ร่างของจ้าวเฟิงล่องลอยเหมือนเป็นเพียงแผ่นกระดาษ ตามลำแสงเงาของชายรูปร่างสูงใหญ่ไปติดๆ แล้วหายไปจากยอดเขาจิตวิญญาณรองอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตาเดียว
จ้าวเฟิงและเงาปราณเทวะของจักรพรรดิหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พู่ว!
จากนั้นสักพัก ในละแวกของสำนักบรรพตทอง ยอดฝีมือจำนวนมากกับห้วงคิดเซียนของราชันส่วนหนึ่งถอนหายใจโล่งอก
ตรงที่เดิม
ถูว่านหลี่ยังคงรู้สึกอกสั่นขวัญผวา สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด
ส่วนบุรุษหยางกวงกับองครักษ์แห่งความตายสีหน้าบูดเบี้ยวดูไม่ได้
ใครก็คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิระดับสูงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แล้วที่ยิ่งน่าตกใจไปกว่านั้นคือ เบื้องหลังของจ้าวเฟิงยังมีเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับที่ดับสูญไปแล้วด้วย
เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ ต่อให้สูญสลายก็ยังคงส่งผลต่อโลกของคนรุ่นหลังอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้
“จ้าวเฟิง ความเป็นมาของเจ้ายิ่งใหญ่กว่าที่เคยคิดไว้นัก นี่สิจึงจะคุ้มค่ากับที่ข้าและเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเสี่ยงภัยนำเจ้าเข้ามาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี่”
ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจ