Skip to content

King of Gods 643

King Of Gods

บทที่ 643 ผลประโยชน์ของอาณาจักรเงือก

“ศิษย์พี่เฉินมีข้อเสนออะไรหรือ?” จ้าวเฟิงอดหรี่ตาไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าเฉินอี้หลินมองออกว่าเขากำลังวางแผนจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากจุดที่ลึกที่สุดของทะเลสาบจื่อเยียน

นี่อธิบายได้ว่าเฉินอี้หลินเองก็มีใจทะเยอทะยานเช่นกัน

ส่วนลึกของทะเลสาบจื่อเยียนเป็นพื้นที่ต้องห้ามในอุทยานครึ่งเซียน

นี่ไม่ใช่เพียงเพราะส่วนลึกสุดนั้นมีสัตว์อสูรวารีแปลกประหลาดที่แข็งแกร่งมากมาย

แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นมาก นั่นก็คือเผ่าเงือก

เผ่าเงือก เป็นเผ่าในตำนานที่มีมาแต่โบราณ มีความสามารถเฉพาะ สติปัญญาไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยแม้แต่น้อย

จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ จำนวนของเผ่าเงือกมากมายมหาศาล กล่าวได้ว่าเป็นอาณาจักรเล็กๆ อาณาจักรหนึ่งเลยทีเดียว

เผ่าเงือกมี ‘ราชาเงือก’ ที่มีพลังอยู่ในขั้นราชัน

ตามธรรมเนียมปฏิบัติ การเปิดอุทยานครึ่งเซียนที่ผ่านมามีคนไม่มากที่กล้าลงไปถึงอาณาจักรเงือก

ต่อให้เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะก็ยากจะต่อสู้กับอาณาจักรเงือกได้เพียงลำพัง

“หวังว่าศิษย์น้องจ้าวเฟิงจะรอบคอบในทุกด้าน แล้วร่วมมือกับพวกเราไปยังจุดลึกของทะเลสาบจื่อเยียนเพื่อเก็บเกี่ยวเอาสมบัติล้ำค่า ที่อาณาจักรเงือกมี ‘ผลึกน้ำตาเงือก’ ที่มีคุณค่าเหนือกว่าหญ้าเกล็ดม่วงเสียอีก” เฉินอี้หลินเอ่ยอย่างจริงจัง

“ผลึกน้ำตาเงือก? มีเพียงเท่านั้นเองหรือ?” จ้าวเฟิงเผยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่ยิ้ม

 

ไม่ว่าใครก็มีข้อมูลของอุทยานครึ่งเซียน ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนล้วนแต่มาจากสำนักเสวียนเจินเหมือนกัน

ผลึกน้ำตาเงือกย่อมมีคุณค่าเหนือกว่าหญ้าเกล็ดม่วงอย่างแน่นอน เพราะผลที่ได้จากหญ้าเกล็ดม่วง ส่งผลหลักๆ ต่อคุณสมบัติร่างกายและสายเลือด แต่ผลึกน้ำตาเงือกส่งผลต่อระดับวิญญาณ

ว่ากันว่า ผลึกน้ำตาเงือกก็คือน้ำตาของเงือก สะสมมายาวนานผ่านหลายทิวาและราตรี สามารถทะลวงผ่านขอบเขตวิญญาณ ชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ได้ แล้วยังช่วยให้ทะลวงผ่านขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะด้วย

เพียงแค่นี้ก็เย้ายวนใจคนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชันทั้งหมดแล้ว

นอกเหนือจากนี้

ผลึกน้ำตาเงือกยังสามารถรักษาบาดแผลสาหัสที่เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณ แล้วยังช่วยฟื้นฟูวิญญาณ กำจัดจิตมาร มันถึงขนาดเป็นสมบัติแขนงวารีที่นำไปสร้างเกราะป้องกันของศาสตร์วิญญาณได้

“ข้าจะเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง”

เฉินอี้หลินจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของจ้าวเฟิง “หากสบโอกาสเหมาะ เข้าไปที่วิหารใต้ทะเลสาบได้จะเป็นการดีที่สุด ”

วิหารใต้ทะเลสาบ!

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินหลายคนที่อยู่ที่นั่นดวงตาเปล่งประกาย

ตามข้อมูลที่ได้รับมา วิหารใต้ทะเลสาบเป็นสถานที่ที่เหล่าเงือกปกป้องดูแลมารุ่นสู่รุ่น

 

 

“เล่ากันว่า วิหารใต้ทะเลสาบคือวิหารลับสำหรับหมักสุราของ ‘ครึ่งเซียน’ มี ‘น้ำอมฤต’ และ ‘สุราเซียนมายา’ ในตำนาน เป็นสถานที่ที่เผ่าเงือกใช้หมักสุราเพื่อครึ่งเซียนผู้นั้นโดยเฉพาะ”

เฉินอี้หลินหยุดพูดไปครู่หนึ่ง

เขาเชื่อว่าตำนานเล่าขานเหล่านี้ จ้าวเฟิงเองก็ย่อมรู้

เพราะเมื่อหลายพันปีก่อน มีอัจฉริยะจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในอุทยานครึ่งเซียนและพบรักกับองค์หญิงของเผ่าเงือก หนำซ้ำ ยังแอบขโมย ‘น้ำอมฤต’ และ ‘สุราเซียนมายา’ ด้วยการชี้นำของนาง

อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิท่านนั้น หลังออกจากอุทยานครึ่งเซียนไปไม่กี่ปีก็ได้เลื่อนขั้นเป็นราชัน

ในปัจจุบัน

อัจฉริยะท่านนั้นเป็นจักรพรรดิขอบเขตปราณเทวะของสำนักแห่งหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลประโยชน์ของ ‘น้ำอมฤต’ และ ‘สุราเซียนมายา’ ทั้งสิ้น

‘น้ำอมฤต’ และ ‘สุราเซียนมายา’ ต่อให้อยู่ในพื้นพิภพที่ยิ่งใหญ่ก็ยังเป็นของเซียนล้ำค่าในตำนาน

“น้ำอมฤตจะส่งผลให้ระดับขั้นของชีวิตเพิ่มขึ้นรวดเร็ว สามารถเพิ่มอายุได้เป็นพันปี ส่วน ‘สุราเซียนมายา’ ก็ทำให้ผู้คนเข้าสู่สภาวะความว่างเปล่าที่ลึกลับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และยังทำให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสัมผัสถึงระดับพลังของราชันได้ล่วงหน้า”

แววตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกาย ข้อมูลทั้งหมดของเฉินอี้หลินเหมือนกับเขาพอดี

 

ขอเพียงแค่ได้ ‘น้ำอมฤต’ และ ‘สุราเซียนมายา’ มาในเวลาเดียวกัน

ผู้สูงศักดิ์ธรรมดาคนหนึ่งก็ยังมีความเป็นไปได้มากที่จะเลื่อนขึ้นเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ

‘น้ำอมฤต’ เพิ่มอายุขัยพันปี คือพลังในส่วนของช่วงเวลาชีวิต

เมื่อมีช่วงชีวิตที่ยาวนานขนาดนี้ บวกกับระดับขั้นชีวิตที่สูงส่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็แทบจะไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงและกังวลอีกต่อไป

หากเปรียบเทียบกันแล้ว

จ้าวเฟิงสนอกสนใจ ‘สุราเซียนมายา’ มากกว่า แต่หากได้ทั้งสองอย่างมาในเวลาเดียวกันย่อมดีที่สุด

แน่นอนว่าหากจะลองเข้าไปภายในวิหารใต้ทะเลสาบนั้น ความเสี่ยงก็มีสูงมากเช่นกัน

อุปสรรคตามธรรมชาติของอาณาจักรเงือก ต่อให้เป็นราชันก็ยังยากจะทะลวงผ่านเข้าไปซึ่งๆ หน้า

มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือต้องอาศัยกลยุทธ์ไหวพริบ และต้องดูโชคอีกด้วย

“ศิษย์น้องจ้าวมีความเห็นอย่างไร?” เฉินอี้หลินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง

“ร่วมมือกันย่อมไม่มีปัญหา แต่คำถามคือจะแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไร?”

จ้าวเฟิงเองก็ไม่ใช่คนโง่

หากได้ความช่วยเหลือจากระดับอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบ บวกกับเจียงฟานที่มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ จะต้องเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน

 

 

“เป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องจ้าวช่วยพวกเราเก็บหญ้าเกล็ดม่วงห้าสิบต้นก่อน เพื่อเพิ่มกำลังของข้าและศิษย์น้องเจียง และทำให้กลิ่นอายของทุกคนกลมกลืนกับทะเลสาบจื่อเยียนมากยิ่งขึ้น อีกอย่าง เหล่าสัตว์อสูรวารีที่แข็งแกร่งตรงจุดลึกของทะเลสาบพวกนั้นก็ละเลยไม่ได้ ผลประโยชน์ที่จะได้ตลอดการเส้นทางรวมถึง ‘ผลึกน้ำตาเงือก’ แบ่งเป็นสามส่วนและเจ็ดส่วน”

“ศิษย์น้องจ้าวได้สามส่วน อีกเจ็ดส่วนพวกเราห้าคนจะแบ่งกันเอง”

“ในกรณีที่โชคดีได้เข้าไปที่วิหารใต้ทะเลสาบ สิ่งที่จะได้จากภายในนั้นก็อาศัยความสามารถของแต่ละคน”

เฉินอี้หลินอธิบายรายละเอียดคร่าวๆ

“ศิษย์น้องจ้าวคนเดียวได้ไปสามส่วน ส่วนพวกเราห้าคนรวมกันได้เจ็ดส่วน” เจียงฟานเหมือนมีท่าทีที่ไม่ค่อยพอใจ

ด้วยหากคำนวณเฉลี่ยต่อคน คนแซ่จ้าวนั่นครอบครองมากสุด

“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าได้เจ็ดส่วน? แล้วข้าได้สามส่วนงั้นรึ? แถมยังต้องให้หญ้าเกล็ดม่วงพวกเจ้าอีกห้าสิบต้นด้วย?”

ทันที่ที่ได้ฟัง จ้าวเฟิงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

ไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ที่จะแบ่งเป็นสามส่วนเจ็ดส่วนเลย

เมื่อพูดถึงหญ้าเกล็ดม่วงอย่างเดียว อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปอยากจะช่วงชิงมาสิบกว่าต้นก็ถือว่ายากเย็นเอาการ แถมยังต้องเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตอีก

อีกทั้งผลประโยชน์ที่อยู่ใน ‘วิหารใต้ทะเลสาบ’ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

เฉินอี้หลินยังจะเสนอว่าให้อาศัยความสามารถของใครของมัน?

 

“ศิษย์น้องจ้าว อันที่จริงเจ้าก็มีเพียงตัวคนเดียว คงไม่จำเป็นต้องละโมบกระมัง” เฉินอี้หลินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ใช่แล้ว ในส่วนลึกของทะเลสาบจื่อเยียนยังมีสัตว์อสูรวารีเผ่าต่างๆ ที่แข็งแกร่งหรือกระทั่งเผ่าเงือก พวกเราต้องรับมือทั้งหมดร่วมกัน”

ลูกศิษย์คนอื่นอีกหลายคนพากันคล้อยตาม

จ้าวเฟิงยิ้มเยาะและส่ายศีรษะ

“เช่นนั้นศิษย์น้องมีข้อเสนออะไรงั้นรึ?” เฉินอี้หลินเงียบขรึม แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมต้องการกองทัพวารีของจ้าวเฟิงเป็นแน่

หากอาศัยแรงคนๆ เดียวไปเก็บรวมรวมหญ้าเกล็ดม่วงจะยากจนเกินไป แถมยังเสียเวลามากด้วย

“หญ้าเกล็ดม่วง พวกเจ้าจะต้องใช้ทรัพยากรที่มีมูลค่าเท่าเทียมกันมาแลก ห้ามติดค้างไว้ ส่วนการเก็บเกี่ยวตลอดเส้นทางเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ผลประโยชน์ที่ของกองทัพเผ่าพันธุ์วารีได้มาต้องเป็นของข้าทั้งหมด” จ้าวเฟิงกล่าวอย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมา

เขาพูดเช่นนี้ เฉินอี้หลินและพวกย่อมต้องไม่ยินยอม

ยังไงเสีย กองทัพเผ่าพันธุ์วารีของจ้าวเฟิงก็มีจำนวนมากมาย ย่อมต้องเก็บเกี่ยวทรัพยากรล้ำค่าได้ถึงเก้าส่วนขึ้นไป

ณ ทะเลสาบจื่อเยียน

จ้าวเฟิงและเฉินอี้หลินเจรจากันอยู่ครู่หนึ่งแต่กลับตกลงกันไม่สำเร็จ

“มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน!”

เฉินอี้หลินนำลูกศิษย์ผู้สืบทอดจำนวนหนึ่งสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

บริเวณริมทะเลสาบ เหล่าศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งจากสำนักอื่นๆ อดตกตะลึงไม่ได้

การเจรจาในครั้งนี้ล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด

แต่จ้าวเฟิงก็ไม่ได้แยแส เขาควบคุมกองทัพสัตว์อสูร ค่อยๆ เข้าใกล้ส่วนลึกของทะเลสาบจื่อเยียน

จำนวนหญ้าเกล็ดม่วงที่เขาได้รับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

จนผ่านไปหลายชั่วยาม

จำนวนหญ้าเกล็ดม่วงที่ได้มามากถึงหนึ่งร้อย

เมื่อหักกับส่วนที่จ้าวเฟิงใช้ไปสี่สิบต้นแล้วยังเหลืออีกหกสิบต้น

แต่ในขณะนี้ หญ้าเกล็ดม่วงไม่มีผลอะไรต่อจ้าวเฟิงอีกต่อไปแล้ว และยังยากจะเสริมพลังการป้องกันสายเลือดให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย

ยามนี้

จุดประสงค์หลักของจ้าวเฟิงทั้งหมดอยู่ในส่วนลึกที่สุดของทะเลสาบ ยิ่งลงไปลึกมากเท่าไหร่ พลังสัตว์อสูรวารีก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

กองทัพเผ่าพันธุ์วารีของจ้าวเฟิงมีการทดแทนส่วนที่สูญเสียไป ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมอยู่รอด

แต่ทว่า

การดำเนินการของจ้าวเฟิงยังคงเชื่องช้า ระหว่างทางมีอุปสรรคมากมายอย่างยิ่ง

ส่วนลึกของทะเลสาบมีฝูงสัตว์วารีจำนวนมาก

ฝูงสัตว์วารีส่วนหนึ่งเมื่อเทียบกับกองทัพของจ้าวเฟิงแล้วมีแต่แข็งแกร่งกว่า

ตราผนึกดวงใจทมิฬของเขาก็ไม่สามารถใช้ได้โดยไม่มีขีดจำกัดด้วย

ครึ่งวันผ่านไป

ภายในทะเลสาบเบื้องหน้ามีกลิ่นอายใหญ่ยักษ์ทะยานเข้ามา

โครม ตู้ม!

สัตว์ประหลาดใหญ่มโหฬารประหนึ่งภูผา มีหนวดแยกออกมาเป็นเส้นสายนับไม่ถ้วน อ้าปากกว้าง แล้วพุ่งตรงดิ่งมาท่ามกลางคลื่นน้ำกระเพื่อมรุนแรง

“อสูรวารี!” จ้าวเฟิงตกใจมาก

หนวดของอสูรวารีใหญ่มหึมาและทรงพลัง พลังรบอย่างน้อยเทียบเท่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอด กระทั่งเข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ราชัน

ในสถานการณ์ปกติ กองทัพเผ่าพันธุ์วารีของเขาคงถูกอสูรยักษ์นั่นโจมตีตรงๆ จนย่อยยับ

“เนตรจิตวิญญาณเหมันต์!”

จ้าวเฟิงไม่อาจหลบซ่อนได้อีกต่อไป จึงเรียกใช้วิชาสายเลือดดวงตา

กลิ่นอายเหมันต์เย็นยะเยือกครอบคลุมจิตวิญญาณของสัตว์ประหลาดมีหนวดตัวนั้น ทำให้ความเร็วของมันลดลงไป

“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!”

ผมสีน้ำเงินของจ้าวเฟิงสะบัดพลิ้วอย่างบ้าคลั่ง ภายในดวงตาข้างซ้ายทะลักพลังดวงตาวิญญาณที่น่าหวั่นเกรง กลิ่นอายเย็นเยียบแทรกซึมเข้าไปในชั้นวิญญาณ

ในคลื่นและพายุที่รุนแรง

ร่างกายของอสูรยักษ์วารีที่เป็นเหมือนกับภูเขาขนาดย่อมแข็งทื่อไปในทันที ดิ้นรนต่อสู้อย่างสุดกำลัง

“พลังของสัตว์อสูรวารีตัวนี้เกรงว่าจะเทียบเท่าวาฬยักษ์แห่งทะเลว่างเปล่าที่เคยประสบ ถ้าหากต้องต่อกรกันซึ่งๆ หน้า คงจะเสียหายไม่น้อย”

จ้าวเฟิงไม่มีทางให้ถอยกลับไป ทำได้เพียงแค่ใช้วิธีการควบคุม

แต่ทว่า

ร่างกายและชีวิตของสัตว์อสูรวารียิ่งใหญ่จริงๆ ตราผนึกดวงใจทมิฬของจ้าวเฟิงต้องเผชิญหน้ากับพลังต้านทานที่แข็งแกร่งเข้าเสียแล้ว

ผ่านไปไม่กี่ช่วงลมหายใจ

ตราผนึกดวงใจทมิฬของจ้าวเฟิงลงท้ายด้วยความล้มเหลว แต่เขายังไม่ยอมแพ้ กระตุ้นวิชาดวงตาประเภทที่สองออกมา

“เนตรคุกลวงตา!”

สตินึกคิดและจิตวิญญาณของอสูรยักษ์วารีตัวนั้นเหมือนถูกยึดไปชั่วคราว

หลายช่วงลมหายใจผ่านไป

อสูรหนวดวารีร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้า แรงดิ้นรนต่อสู้ลดลงทุกที

ภายในมิติคุกลวงตา จ้าวเฟิงทรมานสติและจิตใจมันเป็นเวลาหลายวันหลายคืน

“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!”

จ้าวเฟิงกระตุ้นวิชาดวงตาวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง

ในครั้งนี้ แรงต่อต้านของสัตว์อสูรวารีลดลงจนถึงจุดต่ำสุด จึงถูกจ้าวเฟิงเข้าครอบงำเป็นทาสอย่างง่ายดาย

ฮู่ว~

จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก สัตว์อสูรหนวดวารีตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์วารีที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาควบคุมได้ในตอนนี้

ในสถานการณ์ทั่วๆไป ระดับยอดผู้สูงศักดิ์หลายคนยังเอาชนะมันได้ยากยิ่ง

 

หลังจากที่มีสัตว์อสูรหนวดวารีไว้ในครอบครองแล้ว ความเร็วในการเดินทางของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นไปส่วนหนึ่ง

ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าวารีธรรมดาส่วนหนึ่ง เมื่อพบเจอกับสัตว์อสูรหนวดวารีเป็นต้องหวาดกลัวจนหลีกหนี หรืออย่างน้อยก็ไม่กล้าบุกเข้ามา

แน่นอนว่า

โดยมากแล้วจ้าวเฟิงจะให้สัตว์อสูรหนวดวารีหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบเพื่อทำหน้าที่เป็นอาวุธสังหาร

ตรงไปข้างหน้าอีกหลายสิบลี้

จ้าวเฟิงควบคุมงูวารียักษ์ถึงสองตัวได้สำเร็จ หนำซ้ำยังเป็นสิ่งมีชีวิตสายเลือดโบราณทั้งสิ้น

งูวารีสองตัวนั้นพลังรบอย่างน้อยๆ ก็เทียบได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย เทียบเท่าศิษย์พี่จิวก่อนหน้านี้ได้เลย

ขณะนี้

กองทัพเผ่าวารีของจ้าวเฟิงเพิ่งจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น

“อสูรหนวดวารีตัวหนึ่ง งูวารียักษ์สองตัว จระเข้ยักษ์โบราณสิบตัว …” จ้าวเฟิงลองคำนวณคร่าวๆ

กองทัพเผ่าพันธุ์วารีของเขามีจำนวนกว่าหนึ่งพัน

หกเจ็ดร้อยตัวในนั้นมีอสูรมัจฉาที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง พลังรบส่วนใหญ่เทียบเคียงกับครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

นอกจากจระเข้ยักษ์โบราณแล้ว ยังมีสัตว์อสูรเผ่าวารีซึ่งมีความสามารถเฉพาะ และมีพลังรบไม่เป็นรองใครอีกจำนวนหนึ่ง

“ลองไปบุก ‘อาณาจักรเงือก’ ได้แล้ว”

แผนการขั้นที่สองของจ้าวเฟิงลุล่วงแล้ว

กองทัพเผ่าวารีที่เขาครอบครอง นอกจากอาณาจักรเงือกก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเผ่าพันธุ์วารีอื่นอีกแล้ว

ซ่า! ซ่า! ซ่า!

ทางด้านหลังของกองทัพเผ่าพันธุ์วารี ห่างออกไปสิบลี้ มีเสียงก้าวบนผิวน้ำดังมา

อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดร่วมสิบคน ส่วนมากมีกลิ่นอายสายมารและมีพลังอำนาจน่าหวาดกลัว

ศิษย์พี่จิวที่แขนข้างหนึ่งถูกตัดออกไปก่อนหน้านี้ก็อยู่ในนั้นด้วย

“ศิษย์พี่ถู เบื้องหน้าคือกองทัพเผ่าวารีของเจ้าหนุ่มนั่น”

ศิษย์พี่จิวกัดฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

ชายฉกรรจ์หัวล้านที่เป็นผู้นำมีผิวหนังคล้ายเกล็ดปลาสีดำ ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัว ละม้ายคล้ายเป็นมือสังหารปีศาจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version