Skip to content

King of Gods 644

King Of Gods

บทที่ 644 ศึกครั้งแรกของอัจฉริยะทั้งสิบ

“ศิษย์พี่ถู เบื้องหน้าคือกองทัพเผ่าวารีของเจ้าหนุ่มนั่น”

กองกำลังฝ่ายมารนับสิบคนนี้ มีอัจฉริยะจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายจำนวนหนึ่งเป็นกำลังหลัก

ศิษย์พี่จิวถอยหลังกลับไปอีกครั้ง

แววตาที่หวาดหวั่นของฝูงชนจับจ้องไปที่ชายฉกรรจ์หัวล้านผู้มีเกล็ดสีดำบนผิวหนัง

“ถูจิ่วเซิน! หนึ่งในสิบอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

ด้านหลังไกลออกไปสิบกว่าลี้ เหล่าคนสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินซึ่งนำโดย

เฉินอี้หลินและเจียงฟานหน้าเปลี่ยนสี

ถูจิ่วเซินเป็นศิษย์ของสำนักหนึ่งพันเดียวดาย พลังฝึกตนอยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย ถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์

อีกทั้งบิดาของเขาก็คือถูวั่นหลี่ผู้เป็นราชันลัทธิมาร

“เหอะ! จิวหมัวจื้อได้กำลังเสริมมาไวขนาดนี้เชียวรึ?”

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินผู้หนึ่งหัวเราะด้วยเสียงเยือกเย็น

กองกำลังของถูจิ่วเซินไล่ตามจ้าวเฟิงจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้วางแผนอะไรมากนัก

“ตามไป! หากคาดการณ์ไม่ผิด ถูจิ่วเซินจะต้องกำจัดจ้าวเฟิงอย่างแน่นอน”

แววตาเฉินอี้หลินเปล่งประกาย

ในวันนั้น ‘ถูวั่นหลี่’ บิดาของถูจิ่วเซินอับอายขายหน้าอยู่เบื้องหน้าเงาจักรพรรดิตวนมู่

แล้วมูลเหตุตอนนั้นก็เป็นเพราะจ้าวเฟิง

หนำซ้ำในวันนี้ จ้าวเฟิงสังหารทำร้ายศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย แล้วยังมีทรัพยากรที่ล้ำค่าอยู่ด้วย

“ศิษย์พี่ถู คาดว่าจ้าวเฟิงผู้นั้นมี ‘หญ้าเกล็ดม่วง’ อย่างน้อยที่สุดมากกว่าหนึ่งร้อยต้นเป็นแน่ รวมทั้งคลังสมบัติล้ำค่าที่เสาะหามาจากผืนน้ำกว้างใหญ่อีก”

ศิษย์พี่จิวเลียริมฝีปากเล็กน้อย

“ข้าไปจับตัวมันมาเอง กองทัพเผ่าวารีจะต้องฟังคำสั่งทุกอย่างของข้าเป็นแน่”

รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นมาบนใบหน้าอัปลักษณ์ของถูจิ่วเซิน

โครม! โครม! โครม!

ในเวลานี้เอง จ้าวเฟิงผู้ซึ่งอยู่ด้านหน้าจับสังเกตได้ จึงเหลียวมองไปด้านหลัง

กองทัพเผ่าวารีของเขามีหน่วยสอดแนมศัตรูโดยเฉพาะ

ณ อุทยานครึ่งเซียน ประสาทสัมผัสของอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกผนึกไว้จนถึงขีดสุด ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงโดยทั่วไปจะสามารถสอดส่องได้แค่ร้อยจั้ง

แต่ในทะเลสาบจื่อเยียน ประสาทสัมผัสจะถูกจำกัดมากขึ้นไปอีก

ถูจิ่วเซินผู้นั้นและคนอื่นๆ เพิ่งจะเข้าใกล้ได้เพียงสิบลี้ก็ถูกจ้าวเฟิงจับได้

“ถูจิ่วเซิ่นผู้เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนลัทธิมารที่โหดร้ายทารุณอย่างมาก…”

จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

ก่อนที่อุทยานจะเปิด ต่งเหวินเจี้ยนเคยแนะนำอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบ และยอดฝีมือที่เทียบเท่าสิบอัจฉริยะบางส่วนแก่เขา

“เตรียมสู้!”

จ้าวเฟิงหัวเราะเย้ยหยัน แบ่งห้วงความคิดออกเป็นสามสิบส่วน ซึ่งส่งผลต่อกองทัพเผ่าวารีทั้งหมดทันที

ทั้งบนผิวน้ำ ในน้ำ และก้นทะเลสาบ

กองทัพเผ่าวารีของจ้าวเฟิงถูกส่งไปทั่วเพื่อรอถูจิ่วเซินและคนอื่นมา

ในกลุ่มนั้น

กองกำลังของเผ่าวารีที่ปรากฏให้เห็นบริเวณใกล้ผิวน้ำเป็นเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น ส่วนที่มีพละกำลังแข็งแกร่งจะซ่อนอยู่ในส่วนลึกและก้นทะเลสาบ

“เจ้าเด็กแซ่จ้าว! มอบหญ้าเกล็ดม่วงร้อยต้นมาให้ข้าแต่เพียงผู้เดียว”

เสียงเกรี้ยวกราดของถูจิ่วเซินดังมาจากที่ไกลๆ ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

กลิ่นอายมารที่เก่าแก่รุนแรงสาดซัดออกมาเต็มทั่วฟ้าดินโดยไม่เกรงกลัวใคร

กองทัพเผ่าวารีของจ้าวเฟิง เหล่าอสูรมัจฉาเริ่มสั่นสะท้านทีละตัวทีละตัว

“ช่างเป็นสายเลือดวิถีมารที่น่าตกใจนัก พลังจิตวิญญาณของถูจิ่วเซินผู้นี้ไม่ต่างกับครึ่งก้าวสู่ราชันเลยแม้แต่น้อย”

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน

ตั้งแต่เข้ามาในอุทยานครึ่งเซียน นี่เป็นศัตรูคนแรกที่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้อย่างชัดเจน

โครม! โครม! โครม!

ถูจิ่วเซินนำหน้าเหล่าอัจฉริยะหลายสิบคนมาเป็นคนแรก สามคนในนั้นเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ทั้งสิ้น

“วิชาเซียนคลั่ง!”

 

อัจฉริยะแขนงวิญญาณคนหนึ่งที่อยู่ในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ส่งเสียงตะโกนแหลมบาดหู ทะลวงผ่านระดับชั้นวิญญาณ

ในเวลาสั้นๆ

ชั้นวิญญาณเกิดความสับสนวุ่นวาย ราวกับมีบรรดาภูติผีเปล่งเสียงกรีดร้อง

จ้าวเฟิงที่อยู่ในกองทัพเผ่าวารีจิตใจสับสนวุ่นวาย

สภาพจิตใจของอสูรมัจฉาบางส่วนแตกกระจัดกระเจิง

“แย่แล้ว!”

สีหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนไป ที่แท้ภายในกองทัพของถูจิ่วเซินยังมีอัจฉริยะที่แตกฉานในศาสตร์วิญญาณอยู่ด้วย

เพียงครู่เดียว

จ้าวเฟิงลดอำนาจการควบคุมกองทัพเผ่าวารีไปกว่าเจ็ดสิบส่วน

นอกจากนี้

ศิษย์พี่จิวผู้นั้นและอัจฉริยะอีกคนแบ่งกันควบคุมหุ่นเชิดศพโครงกระดูกกับสัตว์ปีกวิเศษบางส่วนจำนวนมากถึงร้อยสองร้อย เพื่อให้สังหารกองทัพเผ่าวารีของจ้าวเฟิง

“เหอะเหอะ ถูจิ่วเซินนั่นไม่เพียงโหดเหี้ยมร้ายกาจอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังวางแผนได้อย่างแยบยลด้วย”

บริเวณผืนน้ำด้านหลัง เฉินอี้หลินและคนอื่นกำลังตามมาอย่างเงียบๆ

“เพียงแค่รอให้จ้าวเฟิงพ่ายแพ้ ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ขอร้องให้พวกเรายื่นมือเข้าช่วยเหลือ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ สิทธิ์ในการตัดสินใจเมื่อรวมกลุ่มกันก็จะตกอยู่ที่พวกเราทันที”

ใบหน้าของเจียงฟานเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก

ในตอนนี้ เพียงแค่ต้องรอคอยความพ่ายแพ้ของจ้าวเฟิงเท่านั้น

พูดยังไม่ทันขาดคำ

กองกำลังของถูจิ่วเซินกระตุ้นสายอัสนีบาตเข้าโจมตี ก่อให้เกิดความวุ่นวายแก่กองทัพเผ่าวารี

ภายใต้การคุ้มกันของกองกำลัง ถูจิ่วเซินเดินนำ ฝืนพยายามบุกทะลวงไปยังบื้องหน้าของจ้าวเฟิงให้ได้

จะจับโจรให้จับหัวหน้าโจร!

กลยุทธ์ของถูจิ่วเซินเหมือนกับของศิษย์พี่จิวไม่มีผิดเพี้ยน

แต่พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า อีกทั้งสหายร่วมรบคนอื่นๆ ยังมีพลังและกลอุบายลึกล้ำยิ่ง ควบคุมกองทัพเผ่าวารีเอาไว้ได้

“ยังไม่คุกเข่ายอมจำนนอีก!”

ถูจิ่วเซินตะคอกเสียงดัง กลิ่นอายมารที่เก่าแก่ลึกล้ำครอบคลุมเป็นรัศมีกว่าร้อยจั้ง

ปัง โครม!

เขาผายมืออก ปรากฏเงาร่างของมังกรเพลิงมารอยู่เลือนราง ระลอกพลังเพียงเล็กน้อยของมันก็สามารถทำให้อสูรมัจฉาบริเวณใกล้เคียงสิ้นชีพไปตามๆ กัน

ขนาดจระเข้ยักษ์โบราณที่เป็นฝ่ายป้องกันยังโดนสังหารตายคาที่ในทันทีสองตัว

“ทำลาย!”

ร่างของจ้าวเฟิงลอยขึ้น สะบัดมือออก ภายในลมพายุปรากฏมังกรวายุอัสนีสีม่วงที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง เสียงสายฟ้าดังสนั่น

โครม ตูม!

 

พลังฝ่ามือโจมตีที่รุนแรงทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ สาดแสงเพลิงกระจายไปทั่วบริเวณ วายุอัสนีระเบิดตัวออก

ขณะที่คลื่นอากาศระเบิดรุนแรง เหล่าสรรพชีวิตที่อยู่ใกล้เคียงสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี

“ยังดีที่ข้าเลือกรับมือกลางอากาศ”

ร่างของจ้าวเฟิงโซซัดโซเซ โดนแรงระเบิดจนกระเด็นถอยร่นไปหลายจั้ง เกล็ดสีม่วงเข้มผุดขึ้นตามร่างกาย ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

ถูจิ่วเซินยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม

ในการประมือกันครั้งแรก ถูจิ่วเซินได้เปรียบมากกว่า แต่ว่าไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆ ต่อจ้าวเฟิงได้เลย

“ผู้เยาว์ พลังเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว! กลับสามารถต้านพลังโจมตีที่รุนแรงหกส่วนของข้าได้”

ถูจิ่วเซินหัวเราะโหดเหี้ยม ทันทีที่เอ่ยจบ ไอเพลิงมารก็สาดซัดออกมา

สภาพจิตใจของจ้าวเฟิงเชื่องช้าลง พลังรบของมารจิ่วเซินนั่นสามารถต้านทานองครักษ์แห่งความตายหนึ่งถึงสองคนได้อย่างซึ่งๆ หน้าเลยทีเดียว

“ทำได้ดี!”

จ้าวเฟิงเห็นถูจิ่วเซินคุกคามเข้ามาใกล้ ไม่ยอมถอยหนี

แซ่ด แซ่ด!

ปราณที่แท้จริงภายในแก่นผลึกที่อยู่ในร่างจ้าวเฟิงถูกกระตุ้นไปจนถึงขีดสุด พลังของร่างกายและสายเลือดมากับกลิ่นอายบรรพกาล เป็นประหนึ่งสัตว์อสูรตัวมหึมารอต้อนรับถูจิ่วเซินอย่างดุร้าย

“ตูม!”

กลางอากาศเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น คลื่นสูงนับสิบจั้งพุ่งขึ้นจากใต้น้ำ

จ้าวเฟิงและถูจิ่วเซินต่อกรกัน ระลอกคลื่นพลังที่น่าหวาดหวั่นทำให้ศิษย์พี่จิวและคนอื่นไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย

“นี่เป็นพลังที่แท้จริงของเจ้าหนุ่มนั่นหรือนี่?” ศิษย์พี่จิวมีสีหน้าตกตะลึง

หากเปลี่ยนเป็นเขาย่อมต่อกรกับถูจิ่วเซินไม่ได้แน่

โครม! ปัง! ปัง!

ภายในคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า จ้าวเฟิงและถูจิ่วหลินต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ

ทั้งสองคนปะทะฝ่ามือกันนับสิบครั้งในเวลารวดเร็ว

เกิดเสียงฟ้าร้องดังเลือนลั่นอีกครั้ง เงาของร่างทั้งสองในที่สุดก็แยกจากกัน

ผัวะ!

ร่างเงาของจ้าวเฟิงถูกซัดถอยไปหลายสิบจั้ง ลายเส้นสีม่วงเข้มลักษณะเป็นเกล็ดบนร่างแตกร้าวหลายแห่ง

ผิวกายของเขาผุดกำแพงวารีหมุนวน รักษาอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

ร่างของถูจิ่วเซินกระเด็นถอยหลัง ฝืนห้ามเลือดในร่างกาย บริเวณง่ามนิ้วฉีกขาด เกิดรอยไหม้บนร่างกายบางส่วน

“พลังกายของจ้าวเฟิงผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ยากที่จะป้องกันได้”

ถูจิ่วเซินหน้าถอดสี

 

เดิมทีพื้นฐานสายเลือดของเขากล้าแกร่ง มีความชำนาญในการสู้ประชิดตัว คิดไม่ถึงเลยว่าจะพลาดท่าเสียที

ในเรื่องการโจมตีเขาแข็งแกร่งกว่าจ้าวเฟิงนัก

แต่พลังกายของจ้าวเฟิงแกร่งกล้ากว่าเขาหนึ่งขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกัน

นอกจากนี้ พลังในการฟื้นตัวของเขาก็ยังเทียบจ้าวเฟิงไม่ได้ด้วย

วายุอัสนีพิฆาตสีม่วงของของจ้าวเฟิงทิ้งอาการบาดเจ็บไว้ตามร่างกายของเขาจนยากจะฟื้นตัว

กลับกัน พลังฟื้นฟูป้องกันทางสายเลือดวารีของจ้าวเฟิงล้วนแต่ทำให้ผู้คนตื่นตกใจ

“อ๊าก! อ๊าก!”

มีเสียงกรีดร้องดังมาจากนอกวงต่อสู้

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เหล่าสัตว์อสูรตัวใหญ่หลากหลายความสามารถ โผล่พ้นผิวน้ำจากส่วนลึกของทะเลสาบขึ้นมาทีละตัว

หนึ่งในนั้นมีงูวารีใหญ่มหึมาสองตัว แต่ละตัวอ้าปากกว้าง แล้วกลืนกินอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปหนึ่งคน

เผ่าพันธุ์วารีซึ่งเป็นลูกสมุนที่แท้จริงของจ้าวเฟิง โดยมากแล้วหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะลสาบ

“ด้านหนึ่งก็ต่อสู้กับถูจิ่วเซิน ยังมีเวลาว่างบัญชาการกองกำลังเผ่าพันธุ์วารีอีก…”

ศิษย์พี่จิวและอัจฉริยะศาสตร์วิญญาณผู้นั้นมีสีหน้าตื่นตระหนก

แต่ทว่า

 

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้กลุ่มคนต้องร้องด้วยความตื่นตกใจยิ่งกว่า

ตูม!

ภายในเกลียวคลื่นสูงเสียดฟ้าปรากฏน้ำวนขนาดมหึมาขึ้นกะทันหัน ฉับพลันก็มีสัตว์ประหลาดที่มีหนวดใหญ่ยักษ์พุ่งออกมาด้วย

“อะไรกัน!”

ร่างของถูจิ่วเซินเพิ่งจะยืนได้มั่นคง ก็ถูกหนวดเส้นหนึ่งของมันซัดจนกระเด็น

เปรี้ยง เปรี้ยง อึก!

ถูจิ่วเซินกระอักเลือดออกมาในทันใด ร่างกายร่วงลงไปในน้ำ แล้วตกอยู่ท่ามกลางการไล่ล่าฆ่าฟันของสัตว์ประหลาดมีหนวดรยางค์

“หึ!”

จ้าวเฟิงหัวเราะเย็นยะเยือก เขาไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ แต่กลับเรียกค่ายกลร้อยศพต้องสาปออกมา ควบคุมกองทัพเผ่าพันธุ์วารี และเก็บกวาดชีวิตของอัจฉริยะเหล่านี้

กองกำลังล่าสังหารของถูจิ่วเซินตกเข้าสู่วงล้อมของกองทัพเผ่าวารี กลับกลายเป็นเหยื่อไปเสียเอง

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังรบของถูจิ่วเซินสูงส่งเกินกว่าคนทั่วไป ถึงแม้จะอยู่ในสภาวะเช่นนี้ก็ยังสามารถฝ่าทะลวงออกไปได้

สัตว์ประหลาดวารีมีรยางค์ตัวนั้นถูกเขาฆ่าจนเลือดเนื้อสาดกระจาย กรีดร้องโหยหวน

“สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบ”

จ้างเฟิงเห็นเช่นนี้ จึงรวบรวมพลังดวงตาและพลังวิญญาณทั้งหมด สร้างหนามแหลมคมที่ไร้ร่องรอยเส้นสายหนึ่ง

“หนามจิตวิญญาณ!”

หนามแหลมเหมันต์สีฟ้าที่ไร้รูปร่าง ทะลวงผ่านเข้าไปในดวงวิญญาณของถูจิ่วเซิน

อ๊าก!

ถูจิ่วเซินร้องคำราม ทั้งใบหน้าแสดงความเจ็บปวด หน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลออกมา ภายในดวงตาปรากฏเส้นเลือด

หนามจิตวิญญาณเป็นการโจมตีศาสตร์วิญญาณที่บริสุทธิ์ จะพุ่งตรงเข้าหาดวงวิญญาณของเป้าหมาย จ้าวเฟิงได้ศึกษาฝึกตนไว้ในยามก่อน

ถ้าหากดวงวิญญาณเท่าเทียมกัน เมื่อผู้ที่มีเคล็ดวิชาทางวิญญาณสูงส่งใช้หนามจิตวิญญาณก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ

ถ้าหากพลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่าจะมีพลังสังหารทำลายล้างที่รุนแรงนัก

ถูจิ่วเซินผู้นั้นตั้งตัวไม่ทันเวลา จึงโดน ‘หนามจิตวิญญาณ’ ทิ่มแทงจนดวงวิญญาณได้รับบาดเจ็บ

“ถอย!”

ถูจิ่วเซินพยายามอดกลั้นอาการบาดเจ็บในชั้นวิญญาณไว้ ไม่กล้าสู้รบต่ออีก จึงนำกลุ่มอัจฉริยะเจ็ดแปดคนตีฝ่าวงล้อมออกไป

หนำซ้ำกลุ่มล่าสังหารยังล้มตายไปเกือบครึ่ง!

“ถูจิ่วเซินผู้นี้ พลังรบของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง พลังของสัตว์อสูรมีรยางค์ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้”

จ้าวเฟิงรวบรวมเหล่ากองทัพเผ่าวารี

ศึกครานี้ กองทัพเผ่าพันธุ์วารีสูญเสียไปสามร้อย ส่วนมากเป็นเหล่าอสูรมัจฉาที่พลังรบอยู่ในระดับกลางถึงต่ำ ซึ่งครึ่งหนึ่งในนั้นล้วนแต่ตายด้วยน้ำมือของถูจิ่วเซิน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

พอจะคาดเดาพลังรบของสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่

อีกทั้งในหมู่สิบอัจฉริยะ พลังของถูจิ่วเซินไม่นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ

ณ ทะเลสาบจื่อเยียน

มีเพียงอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนไม่มากนักที่ได้เป็นสักขีพยานในการต่อสู้ครานี้

ด้วยเพราะว่าพื้นที่สู้รบอยู่ใกล้เคียงกับส่วนลึกของทะเลสาบจื่อเยียน

“พลังรบของถูจิ่วเซินกลับถูกบีบให้ยอมแพ้ในเงื้อมมือเขา แล้วยังเสียเปรียบอีก”

ลูกศิษย์หลายคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินต่างหวาดผวาและตกใจ ยากที่จะทำใจให้เชื่อได้

คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงผู้นี้จะเป็นม้ามืดที่เข้ามาในอุทยานครึ่งเซียน

“ระดับวิชาศาสตร์วิญญาณและสิ่งที่แฝงในดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงผู้นี้ สูงส่งเกินกว่าเหล่าอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบ หากให้ข้าหรือถูจิ่วเซินต่อสู้ตัวต่อตัวกับเขา ย่อมมีโอกาสที่จะชนะอยู่แล้ว แต่สภาพแวดล้อมพิเศษเช่นนี้เป็นอุปสรรคยิ่งนัก”

เฉินอี้หลินสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าเคร่งขรึมและหวาดกลัว

พลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกไปเทียบเท่าได้กับสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้สภาพแวดล้อมและภูมิศาสตร์เช่นนี้ นับได้ว่าได้เปรียบในด้านต่างๆ อย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version