บทที่ 652 สำนึกรู้ของราชา
ถูจิ่วเซินทะยานร่างกายที่บาดเจ็บไปโจมตีจ้าวเฟิงที่อยู่ตรงบริเวณบันได
“ศิษย์น้องจ้าว ระวัง!”
เฉินอี้หลินและพวกลอบปาดเหงื่อเย็นๆ
เมื่ออยู่ในสภาวะของวิชา ‘รวมร่างมาร’ สำนึกรู้ของถูจิ่วเซินสอดประสานกับพลังสายมาร ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชันแทบไม่อาจรับมือได้
นี่ขนาดโดน ‘แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง’ บั่นทอนพลังไปสามส่วนแล้วด้วยซ้ำ
ต้องยอมรับว่า สิบอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทุกคนเป็นดาวบนฟากฟ้าที่อยู่เหนือผู้คนทั้งปวงอย่างแท้จริง
จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีร้อนรน มุมปากยกขึ้นยิ้มน้อยๆ
ถึงแม้กำลังรบของถูจิ่วเซินจะเข็งแกร่งขนาดนี้ แต่การที่จ้างเฟิงจะปกป้องชีวิตของตนก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ถ้าหากเขาใช้ ‘เนตรพิฆาตผ่านอากาศ’ ก็ยังมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะสังหารถูจิ่วเซินในตอนนี้ได้
แต่ทว่า ภัยคุกคามและศัตรูผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของจ้าวเฟิงไม่ใช่ถูจิ่วเซิน เขาจึงยังต้องเก็บกักไอสวรรค์และกำลังรบไว้ให้มากเพื่อรับมือกับอันตรายที่จะตามมาในภายหลัง
“วายุอัสนีร้อยเงา!”
บนร่างของจ้าวเฟิงเกิดเป็นกลุ่มวายุอัสนีสีม่วงแสบตา
แซ่ด! สวบ สวบ สวบ…
กลุ่มวายุอัสนีสีม่วงเจิดจ้าพวกนั้นแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่
เพียงพริบตาเดียว
ร่างเงาของจ้าวเฟิงนับสิบก็กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณบันไดซึ่งเป็นพื้นที่ราวยี่สิบจั้ง
ฟุ่บ ฟุ่บ!
ฝ่ามือที่มีพลังทั้งหมดของถูจิ่วเซินพุ่งดิ่งไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ที่น่าประหลาดใจคือ เงาวายุอัสนีสีม่วงรอบทิศทางเหล่านั้นมีความสามารถในการโจมตี หนำซ้ำกลิ่นอายของทุกร่างยังเชื่อมประสานกัน ยากที่จะแยกร่างจริงหรือปลอมออกได้
หลังจากที่ฝึก ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ‘วายุอัสนีร้อยเงา’ ของจ้าวเฟิงก็ไปถึงขั้นใหม่ ในทุกๆ ร่างเงาวายุอัสนีล้วนแต่ปราดเปรียวมีชีวิตชีวา และเจ้าแผนการอย่างยิ่ง
“แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง!”
ลำแสงสีฟ้าตระการตาเส้นที่สองทะลวงผ่านโลกบาดาล สะเก็ดแสงแหลมคมนับไม่ถ้วนผุดกระจายออกมา
โครม!
ความสามารถในการต่อสู้ของวิชา ‘รวมร่างมาร’ ของถูจิ่วเซินอ่อนกำลังลงไปอีกสองสามส่วน จนเริ่มที่จะไม่มั่นคง
“ปีกวายุอัสนี!”
ปีกวายุอัสนีทำลายล้างโผล่ออกมาจากบริเวณหลังของจ้าวเฟิง ระดับอานุภาพของวายุอัสนีบนร่างก็เพิ่มสูงขึ้น จนกลายเป็นประหนึ่งอสูรเก่าแก่ที่ล้อมรอบไปด้วยพายุและสายฟ้า
วูบ!
วายุอัสนีทำลายล้างสีม่วงที่น่ากลัวชวนหยุดหายใจนั้น สาดซัดกลิ่นอายทำลายล้างเก่าแก่เป็นรัศมีสิบยี่สิบจั้ง
“ทำลาย!”
ฝ่ามือหนึ่งของจ้าวเฟิงซัดออก เห็นมังกรวายุอัสนีทำลายล้างตัวหนึ่งร้องคำรามอยู่ท่ามกลางพายุอัสนีได้รางๆ
เมื่อมีปีกวายุอัสนีมาช่วยเสริม ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือการโจมตี วายุอัสนีของจ้าวเฟิงล้วนแต่พัฒนาไปถึงอีกขั้น
แตกต่างกับถูจิ่วเซินอย่างยิ่ง เขาโดนโจมตีจากลำแสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างสองเส้นสาย วิชาสายเลือดโดนทำลายจนอ่อนกำลังถึงขีดสุด อีกทั้งร่างกายยังบาดเจ็บสาหัสด้วย
โครม ตูม!
พลังทำลายล้างรุนแรงสองกลุ่มก้อนนั้นปะทะเข้าหากัน สายน้ำรอบบริเวณกลายเป็นสุญญากาศ
“คมมีดพิฆาต!”
ปีกวายุอัสนีบริเวณหลังของจ้าวเฟิงโบกขยับด้วยความเร็วอย่างยิ่ง จากนั้นจึงปรากฏแสงมีดสีม่วงที่บางราวปีกจักจั่นในมือของเขา
โครม โครม วูบ! เพี๊ยะ ตูม เปรี้ยง!
เงาของทั้งสองร่างปะทะกันอยู่บริเวณบันได แปลบปลาบราวสายอัสนีเกี่ยวกระหวัดกันหลายสิบครั้ง
ยามที่เฉินอี้หลินและเจียงฟานตรงดิ่งเข้ามา บนร่างของถูจิ่วเซินมีรอยเลือดอยู่หลายแห่ง และมีแผลไหม้เป็นบางส่วนด้วย
“หนี!” ถูจิ่วเซินประหวั่นพรั่นพรึง
ยามที่มีปีกวายุอัสนี ความเร็วของจ้าวเฟิงว่องไวกว่าคนธรรมดา
อีกทั้งการป้องกันแข็งแกร่งเกินไป สายเลือดก็ยังสอดคล้องกับโลกบาดาล จึงทำให้เขาอยู่ในสภาวะไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
“ตาม!”
จ้าวเฟิงตามถูจิ่วเซินไปยังชั้นหนึ่งของตำหนักเทพเผ่าเงือกอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนั้นเอง
พรึ่บ พรั่บ!
ปีกวายุอันสีเบื้องหลังจ้าวเฟิงโบกสะบัดเริงระบำ ทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายแกนกลางของมิติโดนทำลายไป
ร่างเงาทั้งหมดสั่นสะท้าน ลำแสงปีกวายุอัสนีเข้าไปใกล้ถูจิ่วเซิน
โครม สวบ!
คมมีดพิฆาตตรงดิ่งด้วยความเร็วไปตัดแขนข้างหนึ่งของถูจิ่วเซิน
“อ๊าก!”
ถูจิ่วเซินร้องโหยหวน ถึงขั้นเผาผลาญปราณที่แท้จริงจนกลายเป็นประหนึ่งลูกไฟ แล้วทะยานออกไปจากตำหนักเทพเผ่าเงือก
“ปีกวายุอัสนีของข้าฝืนใช้จนไปถึงระดับข้ามมิติทีเดียว”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เขาทำลายแกนกลางของมิติเมื่อครู่
เพราะอย่างไร ปีกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงก็ยังไม่ไปถึงแก่นที่แท้จริงของมัน
ปีกวายุอัสนีที่แท้จริงจะมีวิชาปีกอัสนีที่ลึกล้ำสูงส่ง แล้วยังมีความสามารถเกินจะคาดคิดได้หลากหลายอย่าง เช่นการข้ามหมื่นลี้ในช่วงลมหายใจ หรือ การบินข้ามผ่านมิติ
“ในสิบวันนี้ถูจิ่วเซินผู้นั้นจะไม่อาจคุกคามใดๆ ได้อีก” จ้าวเฟิงมองส่งถูจิ่วเซินจนลับสายตา
ภายในอุทยานครึ่งเซียน เขาไม่มีเพื่อนที่สามารถเชื่อถือได้อย่างสนิทใจ จึงจำต้องเก็บกักพลังส่วนหนึ่งเอาไว้ให้มาก
สวบ!
ถูจิ่วเซินเผาผลาญใช้ปราณที่แท้จริง กลายร่างเป็นลูกไฟมารบินดิ่งออกจากอาณาจักรเงือกไป
“ไวอะไรเช่นนี้!”
ในที่ลับตา ราชาเงือกตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย
ห้วงคิดเซียนราชาของเขาไม่สามารถเข้าไปภายในตำหนักเทพได้
ดูท่าทางแล้ว กองกำลังของถูจิ่วเซินคงล้มหายตายจากไปเกือบหมด
ส่วนถูจิ่วเซินที่หนีออกมาบาดเจ็บสาหัส ร่างกายอ่อนล้า หนำซ้ำยังแขนขาดข้างหนึ่ง
“จ้าวเฟิงคนนี้ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ ดูเหมือนข้าต้องไปขอความช่วยเหลือจาก ‘เมิ่งซี’ เสียแล้ว แต่ว่านางกำลังไล่สะสมสมบัติล้ำค่าอยู่ใน ‘สวนร้อยบุปผา’ ”
ถูจิ่วเซินคิดคำนวณในใจ
เมิ่งซีหยิ่งยโสโอหัง มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ อาจารย์ของนางยังเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ
“ศิษย์น้องถู” น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา
ใครกัน!
ถูจิ่วเซินตกใจ ยามที่เขากำลังจะโต้ตอบไป ก็มีมือเรียวยาวขาวผ่องจับบนบ่า
“เป็นเจ้า…”
บุรุษหนุ่มหยางกวงที่อยู่ข้างกายของถูจิ่วเซินยิ้มแย้มเป็นมิตร
อึก!
ทั้งร่างของถูจิ่วเซินเจ็บปวดเหลือคณา ปราณที่แท้จริงในสายเลือดสั่นสะท้าน พลังทั้งหมดถูกปิดผนึกเอาไว้จนสิ้น
“นี่…เป็นไปได้อย่างไร!”
ถูจิ่วเซินแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
ทั้งที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายเหมือนกันแท้ๆ
บุรุษหนุ่มหยางกวงผู้นั้นเพียงแค่มือเดียวสัมผัสเบาๆ ก็ผนึกเขาไว้จนสิ้น
แรงที่จะต่อต้านสักนิดก็ยังไม่มี!
อีกอย่างคือสายเลือดและดวงวิญญาณของถูจิ่วเซินล้วนแต่สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“ศิษย์น้องเวิน เรื่องเป็นเช่นนี้…”
ถูจิ่วเซินทั้งหวาดกลัวและยำเกรง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในตำหนักเทพเผ่าเงือกทั้งหมดให้ฟัง
เมื่ออยู่เบื้องหน้าของบุรุษหนุ่มหยางกวง เขาไม่กล้าต่อต้าน จึงยอมจำนนจากใจจริง
อย่างไรพลังของทั้งสองฝ่ายก็แตกต่างกันมากจนเกินไปอยู่แล้ว
ในเวลาเดียวกัน
ห้วงคิดเซียนของราชาเผ่าเงือกที่วนเวียนไปมากลางอากาศมีความตกใจอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน
‘บุรุษหนุ่มหยางกวง’ ที่ดูเหมือนไร้พิษสงกลับมีพลังที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้
ทันใดนั้นเอง
บุรุษหนุ่มหยางกวงมองไปยังบนศีรษะแล้วเอ่ยขึ้น “ ฝ่าบาท ท่านสอดแนมเป็นเวลายาวนานเช่นนี้ มีเจตนาใดกันแน่?”
โครม พรึ่บ!
ห้วงคิดเซียนที่หมุนวนอยู่กลางอากาศพลันทะลักพลังที่ยิ่งใหญ่แกร่งกล้าออกมาในทันที
“องค์ราชา หรือว่านี่จะเป็น…” ถูจิ่วเซินหน้าถอดสีทันใด
บุรุษหนุ่มหยางกวงแหงนมองเบื้องบนด้วยใบหน้าเรียบไร้ซึ่งความรู้สึก
“เจ้ามนุษย์ บางทีพวกเราอาจจะมีโอกาสร่วมมือกัน…”
อยู่ๆ เสียงของราชาเงือกก็ดังขึ้นบริเวณหูของบุรุษหนุ่มหยางกวง
“มีเรื่องอะไรกัน ขนาดราชันยังไม่สามารถจัดการได้เลยรึ? แล้วข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร” บุรุษหนุ่มหยางกวงเอ่ยเสียงเรียบ
ตำหนักเทพเผ่าเงือก ห้องบ่มสุราใต้ดิน
เฉินอี้หลิน เจียงฟานและคนอื่นๆ ยังคิดหาวิธีจะเอาน้ำอมฤต และยังหมายตาสุราบ่มบนชั้นวางด้วย
“น้ำอมฤต สุราเซียนมายา ข้าได้มาหมดแล้ว ยังมี ‘สุราเพลิงมังกร’ และ ‘สุราเมฆาอัสนี’ ด้วย”
จ้าวเฟิงจึงหยุดมือ
เขายังต้องเก็บไอสวรรค์เอาไว้ให้มากๆ เพื่อรับมือกับ ‘คำสั่งล่าสังหาร’
เพราะว่าอันตรายจากองครักษ์แห่งความตายยังวนเวียนอยู่ในใจเขาไม่หาย
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่มุมหนึ่ง องค์หญิงเงือกและโครงกระดูกสีทองอยู่เคียงข้างเขาทั้งด้านซ้ายด้านขวา
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่ยังคงไม่สร่างเมานั่งอยู่บนบ่าของจ้าวเฟิง พลางสะอึกด้วยความเมามาย
อันดับแรก
จ้าวเฟิงดื่ม ‘น้ำอมฤต’ ไปเล็กน้อย
เมื่อดื่มเข้าปากไปแล้ว น้ำอมฤตจึงหลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อร่างกาย
ปราณที่แท้จริงภายในร่างของจ้าวเฟิงพลันถาโถมขึ้นมา พลังชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาอันสั้น
ที่ประหลาดไปกว่านั้นคือ พลังกลุ่มก้อนนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนการปลอบประโลมจากมารดาของสรรพชีวิต
ต่อให้เป็นคนธรรมดา เมื่อดื่ม ‘น้ำอมฤต’ ลงไปอึกหนึ่งก็สามารถดูดซับและเปลี่ยนแปลงเหมือนเกิดใหม่ สามารถมีอายุขัยยืนยาวได้นานนับพันปี
ระดับพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงค่อยๆ พัฒนาขึ้นทีละน้อยด้วยความเร็วที่รู้สึกได้
“ต่อให้คนทั่วไปดื่ม ‘น้ำอมฤต’ ลงไป อย่างน้อยๆ ก็สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายมาเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริง และมีอายุยืนยาวหลายพันปี”
จ้าวเฟิงสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งถึงอำนาจที่เปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าของน้ำอมฤต
ในโลกของการฝึกตน ยามที่อยู่ในระดับต่ำสุด ในทุกๆ การก้าวผ่านขอบเขตพลังช่างยากเย็นเกินจะเปรียบ
ทว่าสำหรับ ‘ครึ่งเซียน’ ที่สูงส่งและมีอยู่น้อยนิดเป็นเรื่องง่ายดายนัก
แต่จ้าวเฟิงเชื่ออย่างสนิทในใจว่า ความสามารถที่เพิ่มขึ้นทีละก้าวๆ ด้วยตนเองนั้นเชื่อถือพึ่งพาได้ที่สุด พลังที่แฝงอยู่ในตอนหลังก็จะมีมากเช่นกัน
เพียงชั่วครู่เดียว จ้าวเฟิงดื่มน้ำอมฤตลงไปถึงสองสามอึก
ปราณที่แท้จริงของเขาพัฒนาขึ้นไปราวติดปีก เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอดแล้ว
ร่างกายของจ้าวเฟิงสร้าง ‘แก่นผลึก’ ได้สำเร็จ จึงทำให้สามารถเปลี่ยนผันผลของ ‘น้ำอมฤต’ ได้มากมายนัก
“รอให้ข้ารับผลลัพธ์ของน้ำอมฤตจนหมดก่อนเถอะ สภาวะวิญญาณของข้าคงแทบจะไม่ด้อยไปกว่าราชัน พลังฝึกตนน่าจะใกล้เคียงกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง”
จ้าวเฟิงปิดตาลง สัมผัสถึงผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของสภาวะวิญญาณ
ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่นับว่าชัดเจนเท่าไหร่
เพราะสภาวะวิญญาณของจ้าวเฟิงได้รับประโยชน์จากกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาล เลือดหัวใจวาฬ และหญ้าเกล็ดม่วง จึงทำให้เข้าใกล้ขั้นราชันไปเรื่อยๆ
อีกทั้ง ‘น้ำอมฤต’ จะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชัน ส่วนตัวราชันจริงๆ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก
หนำซ้ำผลลัพธ์ในการเพิ่มอายุขัยของน้ำอมฤต ผลลัพธ์จะไม่ทับซ้อนกัน
จ้าวเฟิงดื่มไปอีกสองสามอึก แล้วรอให้ทุกส่วนของร่างกายดูดซึมไปจนหมด เพราะหากจะดื่มซ้ำก็ไม่ส่งผลอะไร
“ทั้งที่ดื่มน้ำอมฤตเหมือนกัน แล้วทำไมผลลลัพธ์ของจ้าวเฟิงนั่นจึงดีกว่าข้าได้”
เจียงฟานที่อยู่อีกฟากหนึ่งสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของจ้าวเฟิง เขาย่อมไม่มีทางเข้าใจว่าภายในร่างกายของอีกฝ่ายได้หลอม ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ให้กลายเป็นผลึกมาแล้วล่วงหน้า
การจะทะลวงไปยังขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง สำหรับจ้าวเฟิงแล้วไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด
เขาต้องการเพียงแค่การสะสม และน้ำอมฤตมาช่วยเร่งความเร็วในการสะสมนี้ก็เท่านั้น
“ลองดื่ม ‘สุราเซียนมายา’ ดูแล้วกัน”
จ้าวเฟิงปรายตามองพวกเฉินอี้หลิน ทุกคนกำลังพักผ่อนเพื่อให้สร่างเมา ไม่อาจจากไปในเวลาอันสั้น
คนทั้งหมดประสบความสำเร็จในการจับ ‘องค์หญิงเงือก’ และเข้าไปภายในห้องบ่มสุราครึ่งเซียน โอกาสประเภทนี้นับว่าหาได้ยากเย็นนัก
หากต้องรบราฆ่าฟันกับเหล่าอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่รออยู่ข้างนอก ไม่สู้คิดหาวิธีเก็บเกี่ยวเอาสุราบ่มของครึ่งเซียนยังจะดีกว่ามาก
อึก!
จ้าวเฟิงแหงนหน้าดื่ม ‘สุราเซียนมายา’ เข้าไปอึกหนึ่ง
แล้วในวินาทีนั้นเอง
กลิ่นสุราที่ร้อนแรงกระจายตัวเข้าไปภายในสตินึกคิดและวิญญาณของจ้าวเฟิง
สุราเซียนมายาไม่เหมือนกับสุราอื่นๆ สุราประเภทนี้มีผลต่อดวงวิญญาณเพียงเท่านั้น
จ้าวฟิงดูเหมือนดื่มสุราเข้าไป แต่ในความเป็นจริงแล้วสุรานั้นกลับถูกสตินึกคิดและวิญญาณดูดซึมเข้าไปต่างหาก
หนึ่งช่วงลมหายใจผ่านไป
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงก็เมามาย ตกอยู่ภายในขอบเขตที่ลึกลับซับซ้อน
เขารู้สึกว่าสติของตนเองค่อยๆ ลอยล่องออกจากร่าง หลอมรวมเข้ากับอากาศที่กว้างใหญ่
ตุบ ตุบ! ตุบ ตุบ!
การเต้นตุบๆ ของดวงตาเทพเจ้าแผ่กลิ่นอายเย็นสบายสดชื่นมา ทำให้ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังทำความเข้าใจพลังดังกล่าว จึงสามารถคงสติเอาไว้ได้
ผลลัพธ์ของสุราเซียนมายาที่จ้าวเฟิงใช้ย่อมล้ำหน้ากว่าคนทั่วไป
ความเมามายเป็นระลอกๆ ถาโถมเข้ามาขโมยสตินึกคิดของจ้าวเฟิง
เขารู้สึกว่าสตินึกคิดยิ่งนานยิ่งเบาบางลง กระทั่งเกิดความรู้สึกปลิดปลิวไปตามลมได้
พลังของดวงตาเทพเจ้าช่วยประคับประคองสติของจ้าวเฟิงได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
หลังจากสามช่วงลมหายใจ ผลลัพธ์ของสุราเซียนมายามาจนถึงขีดสูงสุด!
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่าสตินึกคิดของตนเองประหนึ่งทะลวงผ่านขีดจำกัดของร่างกาย แล้วยังรับรู้ได้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น หลอมรวมไปกับธรรมชาติและฟ้าดิน
ในสถานการณ์เช่นนั้น
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าในทุกห้วงความคิดของตนเหมือนเป็นตัวแทนของธรรมชาติ หลอมรวมไปกับฟ้าดินโดยไม่แบ่งแยกและเป็นหนึ่งเดียวกัน
ณ ห้องบ่มสุราครึ่งเซียน
สายน้ำที่หมุนวนทั่วร่างของจ้าวเฟิงกลายเป็นสุญญากาศในฉับพลันจากพลังยิ่งใหญ่ไร้รูปร่าง
ห้วงคิดจิตวิญญาณที่ไร้ตัวตนสอดประสานกับฟ้าดินแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
“สำนึกรู้ของราชา…”
เฉินอี้หลินเสียงหายไป ใจและกายสั่นสะท้าน เมื่อมองไปยังบุรุษหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่นั่งขัดสมาธิปิดตาอยู่ที่มุมหนึ่ง