บทที่ 661 เผ่าพันธุ์นักรบสุริยัน
ภายในเขตที่พัก ฝนเม็ดเล็กตกโปรยปราย
เมื่อจ้าวเฟิงก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องเก็บตำรา เสียงอึกทึกครึกโครมจากการสู้รบในอุทยานครึ่งเซียนที่เผชิญมาก็พลันหายไป ทำให้ดื่มด่ำกับความเงียบสงบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
ห้องเก็บตำราเป็นห้องหนังสือเล็กๆ เท่านั้น แต่ทว่าตำราบันทึกต่างๆที่อยู่ในนั้นกลับมีหลายร้อยเล่ม
จ้าวเฟิงปราดตามองผ่านๆ บันทึกที่นี่แทบไม่มีจำพวกมรดกวิชาต่อสู้เลย
“ ‘ วิชาชะตาราชวงศ์’ ‘ความพิศวงของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์’ ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ ‘บันทึกเทวะภัย’…”
แววตาของจ้าวเฟิงกวาดผ่านบันทึกเก่าแก่แต่ละเล่ม
ข้อความลับที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต้องห้ามหรือไม่ก็ตำนานส่วนหนึ่งในโลกภายนอก กลับสามารถอ่านได้ในหนังสือเหล่านี้
บันทึกในที่แห่งนี้ลึกล้ำมากกว่าสำนักสามดาวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่เสียด้วยซ้ำไป
เพราะอย่างไรหอเก็บตำราของสำนักสามดาวก็มีเนื้อหาใจความสำคัญบางส่วนที่ไม่ใช่สาธารณะ
หนังสือในห้องเก็บตำราแห่งนี้โดยส่วนมากสามารถเปิดอ่านได้ แต่ว่าจะมีการจำกัดจำนวนต่อวัน
อันดับแรก หนังสือที่นี่ไม่สามารถเอาออกไปได้
อนึ่ง ในหนึ่งวันสามารถอ่านหนังสือภายในห้องหนังสือได้มากที่สุดเพียงแค่ห้าสิบเล่ม
“หากต้องอ่านหนังสือที่นี่ให้จบหมด ต่อให้ใช้ความเร็วสูงสุดก็ต้องใช้เวลาสิบวัน” จ้าวเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม
จะต้องรู้ว่า เวลาที่อุทยานครึ่งเซียนเปิดนั้นมีเพียงครึ่งเดือน
ใครจะยินยอมใช้เวลาสองในสามของทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือภายในห้องหนังสือเล่า
ที่ผ่านมา เมื่ออุทยานครึ่งเซียนเปิดออก มีคนจำนวนน้อยเหลือเกินที่ใช้เวลาหลายวันหมกอยู่ภายในห้องเก็บตำราเพื่ออ่านตำรา นอกจากได้เพิ่มเติมความรู้แล้วก็ไม่ได้เก็บเกี่ยวโอกาสอันดีใดๆ อีก
“ในเมื่อข้าสามารถทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกัน ไม่สู้อยู่อ่านหนังสือที่นี่ด้วย” จ้าวเฟิงตัดสินใจแล้ว
‘หมื่นห้วงคิดเซียน ’ ทำให้เขาแบ่งจิตทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกัน ในขณะที่อ่านหนังสือ ยังไปสังเกตการณ์การศึกแย่งชิงเลือดครึ่งเซียนได้อีกด้วย
ตอนนี้ ภายในอุทยานครึ่งเซียน
มีเพียงเลือดครึ่งเซียนเท่านั้นที่เย้ายวนใจจ้าวเฟิงอย่างยิ่งยวด
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงแบ่งออกเป็นสามกลุ่มอย่างรวดเร็ว
กลุ่มแรก ใช้เพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์ของ ‘เลือดครึ่งเซียน’
กลุ่มที่สอง อยู่ที่ห้องเก็บตำราเพื่ออ่านหนังสือหรือไม่ก็สำรวจห้องหนังสือ
กลุ่มที่สาม ใช้เพื่อศึกษาฝึกตน
เมื่ออยู่ในอุทยานครึ่งเซียนยังพอมีเวลาว่างให้ฝึกตนได้
ถ้าหากอัจฉริยะคนอื่นรู้เข้าก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
อัจฉริยะทั่วไปเมื่อเข้ามาภายในอุทยานครึ่งเซียน จะมีคนไหนไม่คิดหาวิธีช่วงชิงเอาผลประโยชน์ มา
ครึ่งชั่วยามจากนั้น
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็สอดส่ายสายตาไปทั่วทุกซอกมุมของห้องเก็บตำรา และไม่ได้ค้นพบจุดน่าสงสัยอะไร
ห้องหนังสือของครึ่งเซียน นอกจากหนังสือตำราต่างๆ แล้ว ก็มีเพียงแต่ของประจำห้องหนังสือสี่ชิ้น[1]เท่านั้น
วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่ไม่ธรรมดา แต่เมื่ออยู่ภายใต้พลังครึ่งเซียนจะไม่สามารถทำลายหรือเอาออกไปได้
“หรือว่าภายในห้องเก็บตำราจะไม่มีผลประโยชน์ใดจริงๆ?” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำในใจ
แต่ทว่า ตำราภายในห้องเก็บตำราเหล่านี้ เดิมที่ก็ดึงดูดใจจ้าวเฟิงอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังแบ่งสมาธิไปทำหลายอย่าง นอกเหนือจากการอ่านหนังสือแล้ว ยังมีเวลาว่างในการฝึกฝนและสังเกตการณ์เลือดครึ่งเซียน
จ้าวเฟิงยังสามารถแบ่งห้วงคิดไปควบคุมมนุษย์แมลงปอ รวมทั้งไปยังสวนร้อยบุปผาแย่งชิงเอาสมบัติล้ำค่าส่วนหนึ่ง
มนุษย์แมลงปอสองตัวกำลังรบเข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ราชัน ความเร็วและความยืดหยุ่นเกินมนุษย์ทั่วไป
ตั้งแต่นั้นมา ห้วงคิดของจ้าวเฟิงก็ถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม
ในวันนี้ เขามีพลังของครึ่งก้าวสู่ราชัน ขอบเขตของวิชา ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ เข้าใกล้หนึ่งห้วงคิดแบ่งเป็นร้อย ทำให้ไม่ได้เปลืองแรงอะไร
เมื่อคิดว่า ‘อย่างไรเสียก็ไม่ขาดทุน’ จ้าวเฟิงจึงสำรวมจิตใจอ่านตำราต่างๆ ไป
ถ้าจะเรียกว่าอ่านศึกษา ไม่สู้เรียกว่าลอกเลียนแบบน่าจะดีกว่า
บันทึกเหล่านั้นอยู่ในมือของจ้าวเฟิง ทั้งหมดถูกพลิกจนครบทุกหน้า แล้วเนื้อหาของหนังสือก็ปรากฏอยู่ในหัวของเขา
รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏบันทึกโบราณเก่าๆ ขาดๆ เล่มหนึ่ง
เนื้อหาของบันทึกในมือบรรยายเกี่ยวกับรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณและเผ่าพันธุ์สายเลือดนับพัน
ขนาดมรดกสายเลือดของ ‘เมิ่งซี’ และ ‘เจียงฟาน’ ก็ถูกบรรยายไว้ในนี้ด้วย
สายเลือดของเมิ่งซีคือ ‘เผ่าพันธุ์มายามาร’ ที่มาจากยุคโบราณ จัดเป็นอันดับที่สองร้อยสามสิบเก้าในหมื่นเผ่าพันธุ์
สำหรับความสามารถต่างๆ ของเผ่าพันธุ์มายามาร หลังจากที่จ้าวเฟิงดูจนหมดแล้วก็อดจะตกใจไม่ได้
เผ่าพันธุ์มายามารมีความสามารถที่น่ากลัวอย่างยิ่ง สามารถเข้าไปในห้วงฝันของผู้อื่น แล้วสังหารฝ่ายตรงข้าม
แล้วภายในห้วงฝันนั้น พลังของเผ่าพันธุ์มายามารแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
แต่ทว่า พลังเช่นนี้กลับมีข้อจำกัดมาก ด้วยเพราะเมื่ออยู่ภายในอุทยานครึ่งเซียนนี้ มีคนจำนวนน้อยนักที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา หากจะแทรกซึมเข้าไปภายในห้วงความฝัน เจ้าตัวที่อยู่ในเผ่าพันธุ์มายามารเองก็จะต้องนอนหลับเพื่อเข้าไปในนั้นด้วย
แน่นอนว่าสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างที่สุดคือเผ่าพันธุ์ในตำนานที่อยู่ในอันดับแรกๆ ของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
“อันดับหนึ่ง…เผ่าพันธุ์โบราณ!”
เมื่อจ้าวเฟิงพบชื่อเผ่าพันธุ์นี้ สายเลือดและวิญญาณของเขาสะท้าน ขนาดดวงตาเทพเจ้ายังเกิดการสั่นไหวน้อยๆ
เพียงแค่ชื่อนี้ก็ก่อให้เกิดความกดดันลี้ลับในสายเลือดของคนรุ่นหลังได้
เผ่าพันธุ์โบราณเป็นเผ่าพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสุดในโลก มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ‘เผ่าพันธุ์เทพเจ้าที่แท้จริง’ หลังจากที่เกิดการรบในยุคโบราณแล้ว เผ่าพันธุ์นี้ก็สูญสลายไปเกือบหมด ทันทีที่เผ่าพันธุ์โบราณถือกำเนิดขึ้นจะมี ‘ร่างเทพเจ้าโดยกำเนิด’ ถึงจะเป็นเพียงเด็กน้อยก็มีคุณสมบัติเทียบเท่าครึ่งเซียน เมื่อเติบโตขึ้นไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ก็สามารถเป็นเทพเจ้าโบราณได้!
จ้าวเฟิงอ่านคำแนะนำเผ่าพันธุ์จนจบแล้วต้องสูดหายใจลึก
พลังของครึ่งเซียนน่ากลัวเพียงใด สามารถเห็นได้แล้วจากร่องรอยความยิ่งใหญ่ทั้งหมดของอุทยานครึ่งเซียน
แต่ทว่าเผ่าพันธุ์โบราณนี้ เมื่อเกิดมาก็มีร่างเทพเจ้า ต่อให้เป็นเพียงแค่เด็กน้อยก็มีพื้นฐานเทียบเท่ากับครึ่งเซียนแล้ว
“ช่างพิสดารนัก ยังดีที่เผ่าพันธุ์โบราณนี้สาบสูญไป ต่อมาในภายหลังก็ไม่ปรากฏขึ้นมาอีก”
จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว
แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในสิบอันดับต้นๆ ก็สาบสูญไปเกือบหมด ไม่ก็เกือบจะสูญพันธุ์แล้ว
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ ‘เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์’ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในอันดับห้าจากสิบอันดับแรก
เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาที่สุดในผืนพสุธาแห่งนี้ กระทั่งสามารถตามรอยกลับไปถึงก่อนช่วงบรรพกาลได้
และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์สร้างอาวุธทำลายล้างหลายชิ้น สามารถทำลายฟ้าดิน หรือกระทั่งสร้างเครื่องมือที่ข้ามผ่านกาลเวลาออกมาได้
ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่รอให้คนมาฉกฉวยเอาไปก็ตาม
“ดูไปแล้ว ตอนที่ซินอู๋เหินเข้าไปภายในมรดกความลับสวรรค์ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ” จ้าวเฟิงคิดคำนึงในใจ
อันดับแรก เผ่าพันธุ์โบราณ
อันดับที่สอง เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์
……
อันดับที่เจ็ดสิบ เผ่าพันธุ์แห่งแสง
อันดับที่แปดสิบ เผ่าพันธุ์วิหคทอง
อันดับที่เก้าสิบ เผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกา
……
อันดับที่สิบเก้า เผ่าพันธุ์วิญญาณ
หลังจากที่จ้าวเฟิงอ่านตำนานของลำดับรายชื่อเผ่าพันธุ์เหล่านี้แล้ว เขาสะท้อนในอกอย่างที่สุด เมื่อรู้สึกอย่างแท้จริงว่าตนเองนั้นช่างเล็กจ้อยเหลือเกิน
บันทึก ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ เล่มนี้มีส่วนหนึ่งชำรุดทรุดโทรมไปมาก จึงไม่ได้มีบันทึกของทุกเผ่าพันธุ์
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
จ้าวเฟิงก็อ่าน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ จนจบ เขาเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านและใฝ่ฝันถึงยุคโบราณอันไกลโพ้นนั้น
ยากเกินที่จะคิดจินตนาการได้ว่า เผ่าพันธุ์พันธุ์ต่างๆ ในช่วงเวลานั้นจะมีตำนานอย่างไร
เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ
จ้าวเฟิงหลงลืมการสำรวจค้นหาโอกาสอันดีในห้องเก็บตำรา แต่กลับจมดิ่งลงในกองหนังสือ
ตำรับตำราเหล่านี้กล่าวถึงดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเรื่องพลังแม้แต่น้อย
แต่เมื่อจ้าวเฟิงอ่านตำราโบราณพวกนี้ เขาได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมาย ทำให้โลกทัศน์ของเขาเปิดกว้างมากขึ้น
“ที่แท้ดินแดนทวีปในตำนานมีอยู่จริงๆ เมื่อข้าม ‘ชางไห่’ ไปแล้วเดินทางผ่าน ‘ทะเลแดนใต้’ ก็จะไปถึงดินแดนทวีปได้”
“ ‘สำนักห้าดาว’ ที่สูงส่ง กลับไม่เคยปรากฏขึ้นในดินแดนทวีปรวมไปถึงดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในละแวกใกล้เคียงนั้น ”
จ้าวเฟิงได้รับรู้ความลับที่คาดคิดไม่ถึงมาก่อน
ชางไห่ซึ่งเป็นที่ที่เขาอาศัยอยู่ สามดินแดนจิตวิญญาณยังเป็นแค่จุดเล็กๆ จุดหนึ่งของผืนพสุธาแห่งนี้
จ้าวเฟิงจมดิ่งอยู่กับหนังสือเหล่านี้ และแน่นอนว่าห้วงความคิดส่วนอื่นๆ ของเขาก็ไม่ได้อยู่ว่างเช่นกัน
กลุ่มหนึ่งใช้เพื่อฝึกตน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายดาย
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งใช้เพื่อควบคุมมนุษย์แมลงปอให้ไปสืบค้นสวนร้อยบุปผา และค้นหาสมบัติล้ำค่าต่างๆ ภายในนั้น
ส่วนที่สบายที่สุดก็คือฝั่งของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
จ้าวเฟิงรับรู้สถานการณ์ต่างๆ ที่ ‘ตำหนักหย่างซิน’ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งผ่านเจ้าแมวขโมย
ภายในตำหนักหย่างซิน มีอัจฉริยะครึ่งหนึ่งถอดใจในการแย่งชิง ‘เลือดครึ่งเซียน’ แล้ว
ส่วนที่ยังอยู่ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ จำนวนเกือบครึ่งฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
การต่อสู้ของหนานกงเซิ่งและเมิ่งซีตกอยู่ในสถานการณ์ชะงักงัน
ถ้าหากต่อสู้กัน ผลแพ้ชนะก็อาจจะตัดสินออกมาแล้ว
แต่ว่าพลังเซียนของเลือดครึ่งเซียนทำให้ความยากในการแย่งชิงยิ่งมากขึ้นอีก
ต่อให้เป็นถึงราชันที่แท้จริง เมื่ออยู่เบื้องหน้าเลือดครึ่งเซียนก็ยังต้องแบกรับแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน
เวลาหนึ่งวันผ่านไป
หนานกงเซิ่งและเมิ่งซีต่างมีสีหน้าอ่อนล้า กำลังรบก็ยังอ่อนแอลงไปด้วย
แต่ว่าคนทั้งสองไม่ได้ยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย ขอแค่มีคนหนึ่งคนใดยอมแพ้ อีกฝ่ายก็จะมีโอกาสได้เลือดครึ่งเซียนมา
“เหอะเหอะ ในเมื่อพวกเจ้ายังไม่รู้ผลแพ้ชนะ เลือดครึ่งเซียนนี้ก็ยกให้ข้าเป็นคนเก็บรักษาแล้วกัน” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากด้านบนศีรษะ
ใครกัน!
สีหน้าของหนานกงเซิ่งและเมิ่งซีเปลี่ยนแปลงไป แล้วแหงนศีรษะขึ้นด้านบนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เจ้าของน้ำเสียงนั้นกลับสามารถเข้าใกล้คนทั้งสองรวมไปถึงเลือดครึ่งเซียนได้
พรึ่บ!
บุรุษหนุ่มที่สดใสอบอุ่นราวแสงอาทิตย์ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือเลือดครึ่งเซียน ร่างกายทะลักกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา
“เก็บ!”
บุรุษหนุ่มหยางกวงยื่นมือออกมา ทะลวงผ่านตรงกลางของคนทั้งสอง ตรงดิ่งไปเก็บเอาเลือดครึ่งเซียน
วูบ!
วินาทีที่บุรุษหนุ่มหยางกวงโบกมือ เกิดการสั่นไหวเล็กน้อยในอากาศ ผิวหนังทุกส่วนทั่วร่างกายเขาห้อมล้อมไปด้วยลำแสงสีทองเจิดจ้าแสบตา
เมื่อมองดูดีๆ เรือนผมและผิวหนังของบุรุษหนุ่มหยางกวงล้วนเป็นประกายสีทองเรืองรอง
เมื่อมองจากไกลๆ เป็นประหนึ่งเทพสงครามพระอาทิตย์
“อย่าได้คิด!”
กิเลนหยกสีม่วงในมือของเมิ่งซีควบคุมอสูรในขั้นราชันให้โจมตีบุรุษหนุ่มหยางกวง
“มาเลย!”
บุรุษหนุ่มหยางกวงไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว ฝ่ามือหนึ่งผนึกการโจมตีของสัตว์อสูรขั้นราชันราวกับเทพสงครามสีทอง
โครม เปรี้ยง!
ระลอกกลิ่นอายสีทองและเพลิงอัสนีสีม่วงที่น่ากลัว ทะลวงผ่านครึ่งหนึ่งของตำหนักหย่างซิน
อัจฉริยะในละแวกใกล้เคียงตกใจจนพูดไม่ออก
“กำลังรบสามารถประมือกับราชันได้ นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!” ขนาดเมิ่งซียังแทบจะสิ้นสติไป
เป็นเพราะดวงวิญญาณถูกควบคุมส่วนหนึ่ง สัตว์เขาเดียวตัวนี้ของนางจึงใช้กำลังรบในขั้นราชันได้แค่เจ็ดสิบส่วน แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งแล้ว
ตุบ โครม!
หนานกงเซิ่งเองก็สร้างรองแยกสีเงินสว่างเรืองรองขึ้น พลังต้องห้ามของ ‘รอยแยกเวหามายา’ ปะทะลงบนร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวง ก่อให้เกิดเสียงกระทบกันของเหล็กและโลหะ
บนผิวหนังสีทองของบุรุษหนุ่มหยางกวงถูกกรีดเป็นรอยแผล แต่กลับไม่มีเลือดไหลแต่อย่างใด
ในวินาทีนั้น
เขาเหมือนกลายมาเป็นเทพสงครามสีทองผู้มากความสามารถอย่างแท้จริง
“กลิ่นอายสายเลือดโบราณ…”
เจียงฟานที่อยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง สายเลือดในร่างกายเหมือนโดนกดไว้
“รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอันดับที่เก้าสิบแปด ‘เผ่าพันธุ์นักรบสุริยัน’…”
ในดวงตางามกระจ่างราวความฝันของเมิ่งซีลอดแววตกใจออกมาเป็นครั้งแรก
รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอันดับที่เก้าสิบแปด
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องราวของสายเลือดหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณหนึ่งร้อยอันดับแรก
“รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณร้อยอันดับแรกล้วนแต่ขัดลิขิตสวรรค์ทั้งสิ้น!”
สายเลือดในร่างกายของเจียงฟานแบกรับการกดดันอย่างยิ่งยวด
สายเลือดเผ่าพันธุ์ของเขาอยู่ในรายชื่ออันดับที่สามสี่ร้อย เปรียบกับเผ่าพันธุ์นักรบสุริยันแล้วต่างกันอย่างยิ่ง
“หึ! รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณหนึ่งร้อยอันดับแรกเป็นสายเลือดสำคัญ สายเลือดของเผ่าพันธุ์นักรบสุริยันทำให้พลังรบของข้าสามารถต้านทานพลังของราชันได้ระยะหนึ่ง”
มุมปากของบุรุษหนุ่มหยางกวงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเรียบๆ เขาต้านทานพลังของสัตว์อสูรในขั้นราชัน และรับการโจมตีของหนานกงเซิ่ง
เวินลั่วอันผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเหล่าอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ร่างกายของเวินลั่วอันสั่นสะท้านน้อยๆ มือข้างหนึ่งฝืนกดเอาไว้
ภายใต้กลิ่นอายของสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณในร้อยอันดับแรก ขนาดเลือดครึ่งเซียนก็ยังสั่นสะท้านและถูกกดข่ม
มือสีทองของบุรุษหนุ่มหยางกวงกำ ‘เลือดครึ่งเซียน’ เอาไว้แน่น
………………………………………………..
[1]ของสี่ชิ้นประจำห้องหนังสือ คือ หมึก พู่กัน กระดาษ และแท่งฝนหมึก