Skip to content

King of Gods 662

King Of Gods

บทที่ 662 ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

ห้องเก็บตำรา ณ อุทยานครึ่งเซียน

“เผ่าพันธุ์นักรบสุริยัน จัดเป็นสายเลือดในตำนานอันดับที่เก้าสิบแปดจากรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ!”

จ้าวเฟิงตกใจในพลังที่แท้จริงที่บุรุษหนุ่มหยางกวง

เขาเคยอ่าน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ ย่อมเข้าใจว่าหากสามารถเข้าสู่หนึ่งร้อยรายชื่อแรกได้ย่อมต้องมีความน่ากลัวเอาการอยู่

ในวินาทีนี้ ห้วงคิดส่วนมากของเขาพุ่งทะยานไปที่ตำหนักหย่างซิน

บุรุษหนุ่มหยางกวงผู้นั้นลอยลงมาประหนึ่งเทพนักรบสีทองร่างหนึ่ง เป็นศัตรูที่เหมาะสมจะประมือกับคนในขั้นราชัน

หนานกงเซิ่งและเมิ่งซีที่ประลองมาเป็นเวลาหนึ่งวันกว่าๆ รู้สึกอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อย ไม่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์ที่สุด

แต่ที่แปลกประหลาดยิ่งไปกว่านั้นคือเลือดครึ่งเซียนสูญสลายไปมาก แรงต้านทานก็ลดลงไปไม่น้อยจากการต่อสู้กันของอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสองคน

ในวินาทีช่วงสำคัญ บุรุษหนุ่มหยางกวงก็สอดมือเข้ามายุ่ง

สามารถพูดได้ว่าตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1]

วิ้ง!

เลือดครึ่งเซียนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมือขนาดใหญ่สีทองสั่นสะท้านน้อยๆ แล้วพลังเซียนของมันก็ค่อยๆ หมุนวน แต่กลับไม่ได้รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา

เวินลั่วอันที่ยืนนิ่งอยู่ ผิวหนังและเรือนผมเป็นสีทอง ทั่วร่างเปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้า

 

กลิ่นอายสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ทำให้เหล่าอัจฉริยะจำนวนมากภายในตำหนักหย่างซินต้องสั่นสะท้านในใจด้วยความหวาดกลัว

“เก็บ!”

มือใหญ่ที่ส่องแสงสว่างของเวินลั่วอันเป็นประหนึ่งเหล็กที่ถูกหลอมเหลว เอื้อมจับเลือดครึ่งเซียนกลางอากาศเข้ามาใกล้กับแหวนเก็บของของตน

แต่ทว่าเลือดครึ่งเซียนมีชีวิตจิตใจ จึงดิ้นรนอย่างสุดแรงเกิด

ถ้าหากว่าเลือดดังกล่าวสามารถช่วงชิงเอาไปได้อย่างง่ายดาย พลังเคลื่อนย้ายมิติของจ้าวเฟิง หรือกระทั่งเคล็ดวิชามิติของหนานกงเซิ่งคงทำสำเร็จไปนานแล้ว

ทว่าพื้นฐานของบุรุษหนุ่มหยางกวงล้ำหน้าไปไกลกว่าหนานกงเซิ่งและเมิ่งซี

เขาฝืน ‘ควบคุม’ เลือดครึ่งเซียนเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการจับความว่างเปล่าก็ตามแต่

เขาเพียรพยายามเอาเลือดครึ่งเซียนเข้ามาใกล้แหวนเก็บของตัวเอง

“ฝันไปเถอะ!”

หนานกงเซิ่งและเมิ่งซีจะปล่อยให้เขาสมดังใจหวังได้อย่างไร รีบร้อนกันโจมตีเขาในทันที

เมื่อเวินลั่วอันเห็นดังนั้นก็ทำได้เพียงแค่ปัดป้องการโจมตีจากสัตว์อสูรต่างเผ่าพันธุ์ แล้วจึงต้านรับการปะทะจากหนานกงเซิ่ง

เปรี้ยง โครม!

พลังรบที่ปะทะกันเข้าอย่างจังของขั้นราชัน พลังมหาศาลและกลิ่นอายที่น่ากลัว หมุนเคว้งออกไปเป็นรัศมีครึ่งลี้

ในระยะยี่สิบลี้ใกล้กับบริเวณสระน้ำ ไม่มีอัจฉริยะคนอื่นหลงเหลืออยู่อีกต่อไป

ตุบ เคร้ง!

หนานกงเซิ่งทิ้งรอยแผลไว้บนลำคอของเวินลั่วอัน ในครั้งนี้มีคราบเลือดน้อยๆ ซึมออกมาด้วย

อัก!

บุรุษหนุ่มหยางกวงร้องออกมา แล้วทั่วร่างก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า บริเวณรอยแผลก็สมานกันสนิทด้วยความรวดเร็วจนตาเปล่าสามารถมองเห็นได้

สายเลือดที่อยู่หนึ่งในร้อยอันดับต้นของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ พลังฟื้นฟูของมันย่อมต้องเหนือกว่าคนทั่วไปขั้นหนึ่ง

“ถอย!”

บุรุษหนุ่มหยางกวงฝืนต้านทานกระบวนท่าโจมตีของหนานกงเซิ่งแล้วทะยานหนีไป

ถ้าได้ครอบครองเลือดครึ่งเซียน จะต้องแลกด้วยอะไรก็ถือว่าคุ้มค่าทั้งนั้น

“ช้าก่อน!”

บุรุษหนุ่มหยางกวงที่เพิ่งจะข้ามอากาศไปได้เจ็ดแปดจั้ง ข้างกายมีเงาสีเงินกวาดผ่านอย่างรวดเร็วพร้อมระลอกของอากาศที่สั่นสะเทือน

กระบี่ฟ้าดิน!

เงาสีเงินนั้นรวมกันเป็นร่างเงาของหนานกงเซิ่ง แรงสั่นสะเทือนสาดซัดออกมาในวินาทีที่ตวัดมรดกกระบี่วิเศษ

“ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์! พรสวรรค์ด้านมิติของและกายจิตว่างของหนานกงเซิ่ง ไม่มีทางปล่อยให้เวินลั่วอันหนีออกมาได้แน่นอน”

จ้าวเฟิงมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างใกล้ชิดผ่านเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

ไม่มีใครสังเกตเลยว่า เหนืออากาศของตำหนักหย่างซินมีเนตรสวรรค์ดวงหนึ่งที่เป็นเงาเลือนรางปรากฏอยู่ แล้วหนีหายไปอย่างรวดเร็ว

เปรี๊ยะ!

หมัดสีทองสว่างเจิดจ้าของบุรุษหนุ่มหยางกวงปะทะเข้ากับ ‘กระบี่ฟ้าดิน’ ร่างกายสั่นสะท้าน เลือดครึ่งเซียนที่อยู่ในมืออีกข้างเกือบจะหลุดออกจากฝ่ามือของเขาไป

พลังของกระบี่ฟ้าดินช่างน่ากลัวนัก ถึงแม้เมื่ออยู่ในมือของหนานกงเซิ่งแล้วจะสำแดงพลังออกมาได้เพียงแค่ปลายขนเท่านั้น

โครม เปรี๊ยะ!

บุรุษหนุ่มหยางกวงยืนนิ่งไม่ไหวติง เรือนผมยาวสลวยราวน้ำตก ลำแสงมายา หมุนวนอยู่ที่มืออีกข้างหนึ่งของเขา

ในมือข้างนั้นจับเลือดครึ่งเซียนไว้แน่น

เปรี้ยง!

เลือดครึ่งเซียนในมือของบุรุษหนุ่มหยางกวงดิ้นรนอย่างรุนแรงจนหลุดออกมา

“วิ้ง!”

เลือดครึ่งเซียนหลุดรอดออกจากการควบคุม ล่องลอยอยู่กลางอากาศ สาดแสงสีทองกระจ่างแล้วส่งเสียงร้อง

อัจฉริยะทั้งสามยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับ เหตุการณ์ทั้งหมดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

สวบ!

เลือดครึ่งเซียนลอยแหวกอากาศไป เหมือนไม่สามารถอดทนต่อการทรมานของอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสาม

“ตาม!”

ปฏิกิริยาของหนานกงเซิ่งว่องไวที่สุด เงาสีเงินเข้มกวาดผ่าน บินตรงไปยังทิศทางที่ ‘เลือดครึ่งเซียน’ ล่องลอยไป

บุรุษหยางกวงมีท่าทีโกรธเกรี้ยวและตามไปในทันที เมื่อครู่เหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะได้เลือดครึ่งเซียนมาครอบครองแล้ว

เวินลั่วอันไม่ยอมรับไม่ได้ว่าตนเองประเมินพลังของหนานกงเซิ่งต่ำไป

กำลังรบของหนานกงเซิ่งเทียบเท่าได้กับราชัน พรสวรรค์มิติอย่างกายจิตว่างยิ่งไม่มีใครสามารถคาดเดาได้

แถมเมิ่งซียังมีสัตว์อสูรในขั้นราชันและมีพลังเทียบเท่ากับราชันเช่นกัน

“อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสาม…”

เหล่าอัจฉริยะในตำหนักหย่างซินทำได้เพียงแหงนหน้ามองเงาร่างทั้งสามเท่านั้นแต่ก็มีอัจฉริยะส่วนหนึ่งตามเหล่าราชันผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามไป

เมี้ยว~

ร่างของเจ้าแมวสั่นสะท้านน้อยๆ แล้วข้ามผ่านอากาศเพื่อติดตามอัจฉริยะทั้งสามคน

“ดีมาก ตามเมิ่งซีไป” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเห็นด้วย

เมิ่งซีที่นั่งอยู่บนร่างของสัตว์ขั้นราชัน กลิ่นอายพลังรุนแรงของราชามหาศาลจนเรียกความสนใจจากผู้อื่น

อัจฉริยะคนอื่นที่อยากได้เลือดครึ่งเซียน โดยมากพากันตามเมิ่งซีไปติดๆ

พรึ่บ!

จิตใจส่วนมากของจ้าวเฟิงแบ่งกลับมาที่ห้องเก็บตำรา

‘เลือดครึ่งเซียน’ บินจากไป สถานการณ์การต่อสู้ของอัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามจะเริ่มซับซ้อนยิ่งขึ้น

จ้าวเฟิงคาดเดาว่า ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ การแย่งชิงเลือดครึ่งเซียนคงยากจะรู้ผล

อัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามคน ขอเพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งช่วงชิงเลือดเซียนไปได้ อัจฉริยะอีกสองคนที่เหลือย่อมต้องร่วมมือกันโจมตีอีกฝ่ายแน่

ภายในห้องเก็บตำรา จ้าวเฟิงแบ่งห้วงความคิดไปใช้อย่างหลากหลาย ในขณะที่กำลังอ่านหนังสือก็ยังฝึกตนไปด้วย

กฎกติกาภายในห้องเก็บตำราคือหนึ่งวันสามารถอ่านหนังสือได้เพียงห้าสิบเล่ม

ด้วยเหตุนี้ หนังสือห้าสิบเล่มที่ต้องอ่านในทุกๆ วัน เขาจึงสามารถอ่านจบได้อย่างรวดเร็ว

และเมื่อจ้าวเฟิงคิดจะยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มที่ห้าสิบเอ็ดก็ต้องเผชิญหน้ากับแรงต้านทานที่รุนแรง

เมื่อเป็นไปตามนี้ จ้าวเฟิงจึงมีพลังเพิ่มมากขึ้น เขานำไปใช้ฝึกตน รวมไปถึงควบคุมมนุษย์แมลงปอทั้งสองตัวที่อยู่ไกลๆ ด้วย

กำลังรบของแมลงปอทั้งสองตัวเข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ราชัน เคลื่อนไหวว่องไวอย่างยิ่ง โดยปกติแล้วต่อให้เผชิญหน้ากับอันตรายก็สามารถหนีไปได้

ในทุกๆ สองวัน มนุษย์แมลงปอทั้งสองจะกลับมาครั้งหนึ่ง เพื่อเอาสมบัติล้ำค่าต่างๆ มาส่งให้กับจ้าวเฟิง

“ผลประโยชน์ในสวนร้อยบุปผาสมบูรณ์พร้อมกว่าทะเลสาบจื่อเยียนส่วนหนึ่ง”

จ้าวเฟิงจัดการของล้ำค่าจากมนุษย์แมลงปอทั้งสอง

มนุษย์แมลงปอสองตัวเป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์ประเภทหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์เงือก ต่อให้จ้าวเฟิงไม่ลงมือด้วยตนเอง สมบัติที่มนุษย์แมลงปอสืบเสาะค้นหามาก็ถือว่าดียิ่ง

“ดอกบัวเพลิง…โสมขั้นนภา…ดีมาก!”

แววตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปที่ทรัพย์สมบัติล้ำค่าสองชิ้นในนั้น ใบหน้ามีวี่แววของความปีติยินดี

มูลค่าของสมบัติล้ำค่าทั้งสองอย่างนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าหญ้าเกล็ดม่วงเลยแม้แต่น้อย

ดอกบัวเพลิงแฝงไปด้วยพลังบริสุทธิ์ของเพลิงสีชาด สามารถทำให้ลึกซึ้งในพลังของเพลิงสีชาดมากขึ้น

ทั้งนี้จ้าวเฟิงลึกซึ้งในวิชาวายุอัสนีพิฆาตสีชาด บังเอิญต้องการฝึกพลังเพลิงสีชาดพอดี

เมื่อหลอมรวมพลังเพลิงนี้เข้ากับวายุอัสนีพิฆาตสีชาด จะทำให้พลังทำลายล้างเพิ่มขึ้น อีกทั้งสามารถเผาผลาญฝ่ายตรงข้ามได้เป็นเวลานาน

ส่วน ‘โสมชั้นนภา’ คือสมบัติล้ำค่าที่ช่วยเหลือในการฝึกตนเพื่อเพิ่มระดับปราณที่แท้จริงและเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติร่างกาย สำหรับคนในขั้นต่ำกว่าราชันย่อมเท่ากับโอสถชั้นเลิศ

“มี ‘โสมชั้นนภา’ นี้ พลังฝึกตนของข้าสามารถทะลวงผ่านไปถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ดอกบัวเพลิงจะเพิ่มพลังของ ‘วายุอัสนีพิฆาตสีชาด’ ได้ ”

จ้าวเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึมลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ ‘โสมชั้นนภา’ ซึ่งก็คือการยืมพลังจากภายนอกเพื่อเพิ่มขอบเขตพลังฝึกตน จึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง

แต่จ้าวเฟิงคำนวณว่า ตนเองได้หลอมรวม ‘แก่นผลึก’ เอาไว้นานแล้ว ทั้งยังลึกซึ้งในสำนึกรู้ราชัน สภาวะวิญญาณก็แทบไม่ต่างกับคนในขั้นราชันเลย

ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว การจะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงจึงแทบไม่มีอุปสรรคใดๆ

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงเอา ‘โสมชั้นนภา’ ออกมาใช้อย่างไม่ลังเล

 

ฤทธิ์โอสถของ ‘โสมชั้นนภา’ รุนแรงอย่างมาก ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดโดยทั่วไปจะต้องนำมาหลอมเป็นโอสถวิญญาณ หรือไม่ก็แบ่งใช้หลายๆ ครั้ง

ทว่าจ้าวเฟิงก็ไม่ได้กังวลอะไร กลืนลงไปทั้งหมดในคราเดียว

ในระยะเวลาสั้นๆ

ไอสวรรค์ในฟ้าดินที่รุนแรงแข็งกล้าก็ก่อกำเนิดขึ้นภายในร่างของจ้าวเฟิง ประหนึ่งสายวารีทะลักออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง

หากเปลี่ยนเป็นผู้สูงศักดิ์ เกรงว่าจะต้องเสี่ยงกับการที่ร่างกายจะระเบิดจนตาย

แต่จ้าวเฟิงกลับรู้สึกว่าร่างกายก็มีไออบอุ่น

เขาใช้ ‘พลังครึ่งก้าวสู่ราชัน’ ควบคุมไอสวรรค์ในฟ้าดินที่ทรงอานุภาพ แล้วหลอมรวมมันเข้ากับแก่นผลึกอย่างสบายๆ

ครึ่งวันจากนั้น

ฤทธิ์โสมขั้นนภาถูกจ้าวเฟิงทำให้เสถียรได้อย่างง่ายดาย

ในวันใหม่ เขายังคงแบ่งจิตใจออกเป็นหลายๆ กลุ่ม ฟากหนึ่งฝึกฝน อีกฟากก็อ่านตำราไป

การอ่านหนังสือเป็นเรื่องไม่เปลืองแรง ด้วยเพราะจำนวนที่อ่านได้มากที่สุดต่อวันคือห้าสิบเล่ม ซึ่งจ้าวเฟิงสามารถอ่านจบได้อย่างรวดเร็ว

การแย่งชิง ‘เลือดครึ่งเซียน’ เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย

ในวันแรกที่ออกจากตำหนักหย่างซิน เลือดครึ่งเซียนก็หายสาบสูญไป

ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเลือดครึ่งเซียนบินอย่างว่องไว และขนาดก็เล็กยิ่งนัก

เช่นนั้นแล้ว เลือดหยดหนึ่งซุกซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของอุทยานครึ่งเซียน นับเป็นการค้นหาที่ยากเย็นเอาการทีเดียว

อัจฉริยะในขั้นราชันสามคนหรือกระทั่งเหล่าอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่ยอมแพ้ กระตุ้นพลังจำนวนมากเพื่อตามหาเลือดครึ่งเซียน

ถึงแม้ว่าเลือดครึ่งเซียนจะหายสาบสูญ แต่ว่ามีราชันทั้งสามตามหา จึงสามารถยืนยันอาณาเขตคร่าวๆ ได้

อัจฉริยะที่เข้ามาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้มีมรดกสายเลือดและเคล็ดวิชาต่างๆ มากมาย ในที่สุดแล้วจึงสามารถหาเลือดครึ่งเซียนจนเจอ

ฟุ่บ!

เลือดครึ่งเซียนสว่างวาบ หายไปจากใบไม้ใบหนึ่งบนต้นไม้ใหญ่

“ตาม!”

อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามได้ยินข่าวคราวแล้วตามไปอย่างไม่ลดละ

ในครั้งนี้ เลือดครึ่งเซียนบินว่อนอยู่นาน จากนั้นมันก็เข้าไปภายในสุสานที่มืดมิดน่ากลัว

สุสานแห่งนี้อยู่ที่มุมเขาด้านหลังของอุทยานครึ่งเซียน อ้างว้างอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด มองเห็นเพียงแต่ป้ายหลุมศพเท่านั้น

“เนินหลุมศพ!”

อัจฉริยะส่วนหนึ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก จ้าวเฟิงเองก็จับจ้องเหตุการณ์ทั้งหมด

“เนินหลุมศพเป็นพื้นที่ต้องห้ามในอุทยานครึ่งเซียน” เหล่าอัจฉริยะเข้าใจพื้นที่ต้องห้ามภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี

จ้าวเฟิงก็รู้ถึงความน่ากลัวของเนินหลุมศพเช่นกัน

อัจฉริยะที่เข้าไปภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีไม่กี่คนที่ยินยอมไปที่เนินหลุมศพ

 

อย่างแรก เนินหลุมศพอันตรายอย่างยิ่ง มีดวงวิญญาณอาฆาตที่แข็งกล้า แล้วยังมีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในขั้นราชัน

อย่างที่สอง เนินหลุมศพเป็นแค่สุสานแห่งหนึ่ง ไม่มีโอกาสอันดีอะไรให้เก็บเกี่ยว

หนำซ้ำสุสานแห่งนี้ยังมีพลังคำสาปอาฆาตส่วนหนึ่งที่ดำรงอยู่มายาวนาน ทันทีที่ไม่ระมัดระวัง ตายไปอย่างไรก็ยังไม่รู้ตัว

พูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็คือ เนินหลุมศพแห่งนี้เหมือนกับแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ แต่ความอันตรายมีมากกว่านั้นเป็นร้อยพันเท่า

สวบ!

เลือดครึ่งเซียนหนีเข้าไปภายในเนินหลุมศพ

อัจฉริยะส่วนหนึ่งเกิดความลังเลอยู่บ้าง แต่อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนไม่มีใครหยุดชะงักไปแม้แต่น้อย บินเข้าไปในทันที

ในเวลาดังกล่าวเป็นวันที่ห้าของการอยู่ในห้องเก็บตำราของจ้าวเฟิง

เวลาห้าวัน จ้าวเฟิงอ่านหนังสือในห้องเก็บตำราไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ทั้งนี้ ‘โสมขั้นนภา’ ที่เขาใช้ สรรพคุณของโอสถถูกดูดซึมไปจนหมดแล้ว ทั้งนี้ยังรวมไปถึงผลลัพธ์ส่วนหนึ่งของน้ำอมฤตที่เขาดื่มไปก่อนหน้าด้วย

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงต้น!”

จ้าวเฟิงใช้พลังของครึ่งก้าวสู่ราชันควบคุมให้ปราณที่แท้จริงแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น

ขนาดของแก่นผลึกภายในร่างกายขยายใหญ่ไปอีกรอบ

ไม่ผิดจากที่คาด ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อจ้าวเฟิงทั้งสิ้น สิ่งที่ต้องการก็แค่ ‘ขนาด’ ครบแล้วก็จะสามารถทะลวงผ่านไปได้

 

“เพราะว่าข้าได้สร้างแก่นผลึกไว้นานแล้ว การจะทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงก็คือการขยายขนาดของมัน ไม่ได้ทำให้ความสามารถของข้าเพิ่มขึ้นมากนัก”

จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

กลับกัน เขาค่อนข้างจะสนใจ ‘ดอกบัวเพลิง’ ที่ส่งผลช่วยเขาฝึก ‘วายุอัสนีพิฆาตสีชาด’ มากกว่า

ในเวลาเดียวกันกับที่ฝึกตน จ้าวเฟิงแบ่งจิตใจไปทำอย่างอื่น เขายังอ่านหนังสือด้วยเช่นกัน

“หืม?”

จ้าวเฟิงกางหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นบนมือ ใจก็พลันเต้นรัว ‘แปดเนตรเทพเจ้า’?

หนังสือเล่มนี้ถูกวางไว้ในมุมอับสายตาของห้องเก็บตำรา

 

 

……………………………………….

 

[1] หมายถึง สนใจแต่ประโยชน์ตรงหน้า โดยลืมคิดว่าคนอื่นจะตลบหลังคืน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version