Skip to content

King of Gods 663

King Of Gods

บทที่ 663 ตำนานบรรพบุรุษดวงตา

ใจของจ้าวเฟิงเต้นระรัว ตกอยู่ในภวังค์ไปเล็กน้อยเมื่อมองหนังสือเล่มบางๆ นี้ในมือของตน

เขาคาดคิดไม่ถึงเลยว่าภายในห้องหนังสือของครึ่งซียนจะมีเกร็ดประวัติที่เกี่ยวข้องกับ ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ ด้วย

แต่ทว่าตำราเล่มนี้บางอย่างยิ่ง เนื้อหาภายในจึงน้อยนิดนัก ไม่เหมือนกับ ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ เล่มนั้นที่หนาปึก และมีการวิเคราะห์แจกแจงความสามารถพิเศษและประวัติศาสตร์ที่มาที่ไปของเผ่าพันธุ์ต่างๆ อย่างครบถ้วน

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็ตื่นเต้นอย่างยิ่งแล้ว

ดวงตาซ้ายของเขามีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นดวงตาเทพเจ้าประเภทหนึ่ง เป็นดวงตาเทพเจ้าประเภทที่เก้า!

จ้าวเฟิงค่อยๆ เปิดอ่าน ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ ด้วยอารมณ์เช่นนี้

“หลังจากยุคบรรพกาลอันวุ่นวายผ่านพ้นไป ผืนพสุธาในโลกใหม่เกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ภายในทวีปจึงได้ถือกำเนิดแปดเนตรเทพเจ้า…”

จ้าวเฟิงถูกเนื้อหาภายในหนังสือดึงดูดความสนใจไป

ตามที่หนังสือบรรยาย แปดเนตรเทพเจ้ามีความพิเศษอย่างยิ่ง อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งในฟ้าดิน

“…เพราะความพิเศษเฉพาะตัว แปดเนตรเทพเจ้าจึงไม่ได้จัดอยู่ใน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’”

“มิฉะนั้น ดวงตาเทพเจ้าทุกชนิดอย่างน้อยๆ จะจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกหรือกระทั่งสิบอันดับแรก ทั้งหมดย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง”

เมื่อจ้าวเฟิงอ่านมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มกระจ่างแจ้ง

แปดเนตรเทพเจ้าพิเศษมากจนเกินไป มีความเกี่ยวโยงไปถึงวัฏจักรของผืนพสุธาฟ้าดิน

ด้วยเหตุนี้ แปดเนตรเทพเจ้าและรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอย่างน้อยจึงมีความเกี่ยวข้องกัน หนำซ้ำยังพิเศษยิ่งกว่า

ในหนังสืออธิบายเกี่ยวกับพลังของแปดเนตรเทพเจ้าเอาไว้ ถึงแม้ว่าสำหรับครึ่งเซียนแล้ว แปดเนตรเทพเจ้าเป็นเพียงเรื่องในตำนานก็เท่านั้น แปดเนตรเทพเจ้าแบ่งออกเป็น เนตรสังสารวัฏ เนตรมิติ เนตรทำนาย เนตรมรณะ เนตรชีวิต เนตรดับสูญ…

จากชื่อเรียกนั้นดูออกไม่ยากเลยว่า แปดเนตรเทพเจ้าเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่มีรากฐานและแหล่งกำเนิดจากฟ้าดินและผืนพสุธา

ไม่ว่าจะสังสารวัฏ มิติ หรือชีวิต ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะอยู่ในรูปธรรม

อย่างเช่น เนตรมิติที่สามารถควบคุมเวลาและมิติได้

จ้าวเฟิงตั้งใจอ่านเรื่องพลังของ ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ จนจบ

ในความเป็นจริงแล้ว พลังของแปดเนตรเทพเจ้าในหนังสือส่วนมากเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

จ้าวเฟิงตั้งใจวิเคราะห์แจกแจง ‘เนตรมรณะ’ เป็นพิเศษ

“เมื่ออยู่ต่อหน้าเนตรมรณะ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมความเป็นความตายของตนเอง ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนสวรรค์ก็ตาม”

จ้าวเฟิงอ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกสะท้านในใจ

ใน ‘บทสุดท้าย’ ของ ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ จ้าวเฟิงมองเห็นตัวอักษรหลายตัว นั่นก็คือ ‘บรรพบุรุษดวงตาสูงสุด’

 

“ว่ากันว่า เมื่อรวมแปดเนตรเทพเจ้าไว้ด้วยกันจะเรียก ‘บรรพบุรุษดวงตาสูงสุด’ ออกมา และจะสามารถพลิกฟ้าพลิกดิน จัดลำดับของพสุธาใหม่อีกครั้ง”

สูงสุด? บรรพบุรุษดวงตา!

จ้าวเฟิงใจเต้นระรัว

“แต่ทว่า ในทันทีที่บรรพบุรุษดวงตาตื่นขึ้น สรรพสิ่งนับหมื่นล้านบนโลกใบนี้จะหายไป ว่ากันว่าทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเป็นเพียงความฝัน เมื่อบรรพบุรุษดวงตาลืมตาขึ้นมา ‘ห้วงฝัน’ นั้นก็จะหายไปจนหมด”

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงอดไม่ได้ที่จะขนลุกอย่างหวาดกลัว

นี่มันเขย่าขวัญคนที่ได้ยินมากเกินไปแล้ว

หมื่นสรรพชีวิตใต้หล้าเป็นเพียงแค่ห้วงความฝัน ในทันทีที่บรรพบุรุษดวงตาสูงสุดตื่นขึ้น ทั้งหมดก็จะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป

แน่นอนว่าตามที่ในหนังสือได้บรรยายไว้ นี่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น

ตั้งแต่ที่ผืนพสุธาถือกำเนิดขึ้น บรรพบุรุษดวงตาสูงสุดไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

แปดเนตรเทพเจ้าก็ไม่เคยเรียกบรรพบุรุษดวงตาสูงสุดออกมาด้วย

ในหนังสือวิเคราะห์เรื่องเกี่ยวกับ ‘เนตรเทพเจ้าชนิดที่เก้า’ ไว้เช่นกัน

“เลขเก้าถือเป็นที่สุด ผืนผสุธานี้น่าจะยังขาดดวงตาเทพเจ้าชนิดที่เก้า บางทีเก้ารวมเป็นหนึ่ง อาจจะทำให้พิสูจน์ความจริงแท้ของ ‘บรรพบุรุษดวงตาสูงสุด’ ได้”

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หนังสือ ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ เล่มบางๆ นี้ก็สิ้นสุดลง

พู่ว!

จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว แปดเนตรเทพเจ้าลี้ลับมากเกินไป เหมือนว่าจะอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

ในตอนนี้ จ้าวเฟิงยังไม่เคยเห็นดวงตาเทพเจ้าสักดวง ขนาดเจ้าของอุทยานครึ่งเซียนก็ยังไม่เคยเห็นเช่นกัน

เมื่ออ่าน ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ จบ จ้าวเฟิงก็สงบสติอารมณ์แล้วเริ่มอ่านหนังสือเล่มต่อไป

หนังสือในห้องเก็บตำรายังต้องใช้เวลาอีกสี่ห้าวันถึงจะอ่านจนหมด

เป้าหมายของจ้าวเฟิงคือการอ่านหนังสือทั้งหมดภายใน ‘ห้องเก็บตำรา’

จนในวันนี้ ยังไม่เคยมีอัจฉริยะคนใดสามารถทำสถิตินี้ได้สำเร็จ

ในอุทยานครึ่งเซียนมีโอกาสอันดีจำนวนมาก แต่ภายในห้องเก็บตำราจะได้เพียงแค่ความรู้ส่วนหนึ่งเท่านั้น

อีกทั้งความรู้พวกนี้โดยส่วนมากแล้วสามารถอ่านเจอได้ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ไม่มีใครยินดีใช้เวลาสองในสามหมดไปกับการอ่านหนังสือ

จ้าวเฟิงกลับอยู่นอกเหนือจากนั้น

เขาฝึกฝน ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ใช้หนึ่งจิตใจทำอะไรได้หลายอย่าง

อีกอย่างคือเขาสงบจิตสงบใจอย่างแท้จริง จึงเกิดความสนใจจะศึกษาตำราภายในห้องเก็บตำรา

สองวันถัดมา

จ้าวเฟิงอ่านหนังสือพลางใช้ ‘ดอกบัวเพลิง’ ฝึกฝน ‘วายุอัสนีพิฆาตสีชาด’ ที่เป็นระดับสูงกว่า

สำนึกรู้ราชาของเขาได้ช่วยผลักดันให้ความเร็วในการฝึกเพิ่มขึ้น

วันที่เจ็ดของการเข้าไปภายใน ‘ห้องเก็บตำรา’ ความเร็วในการฝึกวายุอัสนีพิฆาตสีชาดของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นถึงยี่สิบสามสิบส่วน

แซ่ด วิ้ง!

กลางฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏวายุอัสนีสีชาดขนาดเล็กปนเปอยู่ภายในกลุ่มวายุอัสนีพิฆาตสีม่วง

“วายุอัสนีพิฆาตสีชาดลึกซึ้งไปได้สองสามส่วนแล้ว ครึ่งก้าวสู่ราชันธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าน่าจะไม่สามารถตอบโต้กลับได้” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

วายุอัสนีพิฆาตสีชาด พลังทำลายล้างไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น ยังมีคุณสมบัติเผาผลาญอยู่เรื่อยๆ ด้วย

พลังที่วายุอัสนีพิฆาตสีชาดจะทำลายเป้าหมายเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

จ้าวเฟิงเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า หากคราวหน้าต้องเผชิญหน้ากับ ‘เหลยเจิ้น’ ต่อให้โดนควบคุมพลัง ตนเองก็สามารถใช้วายุอัสนีพิฆาตสีชาดเป็นจุดแข็งได้

ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากจ้าวเฟิงใช้กลยุทธ์เน้นจุดแข็งเลี่ยงจุดอ่อน ด้วยพลังดวงตาและวิญญาณของเขา  ฝ่ายหลังจะไม่มีโอกาสลงมือโต้กลับเลย

เพียงแต่ในตอนนี้จ้าวเฟิงยังเก็บกักพลังส่วนหนึ่งเอาไว้

ในขณะที่เวลาหมุนวนไปเรื่อยๆ

จ้าวเฟิงคอยสังเกตการณ์สถานการณ์ฟาก ‘เนินหลุมศพ’ อย่างใกล้ชิด

เนินหลุมศพ!

เมี้ยว~

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเร้นกายอยู่ในมุมหนึ่งของสุสานตรงไหล่เขา ระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด

‘เลือดครึ่งเซียน’ สีทองสุกสว่างลอยอยู่เหนือสุสานขนาดใหญ่

อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนตอบโต้กันไปมา ไม่มีใครยอมแพ้ถอดใจ

สุสานนั้นมีรัศมีร้อยจั้ง ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเนินหลุมศพ

เนินหลุมศพมีไอเย็นมืดทมิฬครอบคลุมจนตกอยู่ในความมืดมิดตลอดเวลา ทั้งยังมีพลังคำสาปที่ไร้รูปร่างดำรงอยู่

กลางอากาศจะมีดวงวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งลอยผ่านมาเป็นระยะๆ บาดแผลเละเทะมีเลือดไหล เขี้ยวยาวมือขาวซีด มีส่วนหนึ่งที่ในยามมีชีวิตเป็นราชันหรือจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ

ถ้าหากเป็นอัจฉริยะธรรมดาเข้ามาภายในส่วนลึกของเนินหลุมศพ ต่อให้รอดชีวิตหนีไปได้ก็ต้องบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย

“โชคดีที่เป็นเจ้าแมวขโมยตัวน้อย หากว่าเป็นข้ารับใช้ตัวอื่นน่าจะตายไปนานแล้วด้วยน้ำมือของวิญญาณอาฆาตและคำสาป” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

เขาเลิกสนใจเจ้าแมวขโมยตัวน้อย แล้วจับจ้องไปที่เลือดครึ่งเซียน ด้วยมีเจตนาที่จะคาดการณ์ถึงสถานการณ์วุ่นวายต่างๆ

เมี้ยว~

เจ้าแมวขโมยอยู่ในห้วงความมืดมิด กลิ่นอายร่างกายของมันหลอมรวมเข้ากับม่านราตรีด้านหลัง เข้าไปอยู่ในระดับชั้นพิศวงในที่ดังกล่าว

มือของมันกุม ‘กริชจักรพรรดิเงาสังหาร’ ซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แขนงเงาสังหาร เป็นประหนึ่งราชันที่ยิ่งใหญ่ในความมืดมิดแห่งนี้ พลังคำสาปที่เข้ามาใกล้ร่างก็โดนทำให้แตกกระสานซ่านเซ็นไปจนหมด

โครม โครม เปรี้ยง!

อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคน พลังล้วนแต่แตะถึงขั้นราชัน เมื่อสู้รบตบมือกันขึ้นมา พลังอาฆาตและคำสาปเหล่านั้นล้วนแต่โดนผลกระทบไปด้วย

 

นอกเหนือจากอัจฉริยะขั้นราชันทั้งสาม ยังมีอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกน้อยนิดเช่นขั้นสิบอัจฉริยะที่สามารถอยู่รอดในเนินหลุมศพ

หรือไม่ก็ผู้แข็งแกร่งดังเช่นสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ที่มีความสามารถเหมือนกับดวงตาเทพเจ้า ทำให้ภูติผีต้องหนีหายขวัญกระเจิง

เจียงฟานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาปลดปล่อยสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณออกมา ทำให้พลังคำสาปต้องถอยร่นหนีไป

อัจฉริยะที่เชี่ยวชาญในการจับปีศาจมาเป็นทาส ก็สามารถอยู่ในเนินหลุมศพได้ชั่วขณะหนึ่ง

นอกเหนือจากนี้

ยังมีอัจฉริยะส่วนหนึ่งที่รนหาที่ตาย หลังจากเข้าไปในเนินหลุมศพแล้วไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ มีบางส่วนที่หนีรอดออกมาได้ มีบางส่วนที่ตายอยู่ในนั้น

จ้าวเฟิงอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ตนเองอยู่ด้านนอก

“เมื่ออัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามต่อสู้จนเหนื่อยล้า จิตสำนึกในวิญญาณของเลือดครึ่งเซียนลดลงไปมาก ก็จะเป็นเวลาเหมาะสมที่สุดที่ข้าจะลงมือ” จ้าวเฟิงวางแผนในใจ

แต่ทว่า อัจฉริยะทั้งสามเป็นถึงระดับขั้นราชัน พลังภายในร่างกายแทบจะเป็นอนันต์ไม่มีสิ้นสุด ด้วยเพราะพวกเขาล้วนแต่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทำให้ ‘คุณสมบัติ’ ของปราณที่แท้จริงดีขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ไม่เพียงทำให้สามารถดูดกลืนไอสวรรค์ในฟ้าดินได้อย่างสบายๆ แต่ยังสามารถกระตุ้นพลังของจักรวาลได้อีกด้วย

เวลาอีกหนึ่งวันก็ผ่านไป

เลือดครึ่งเซียนที่โดนอัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามตามควบคุมสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างน่าประหลาด แล้วเร้นกายหายเข้าไปภายในสุสานขนาดใหญ่

“เนินหลุมศพ สุสานตรงจุดศูนย์กลาง!”

หนานกงเซิ่ง เมิ่งซี เวินลั่วอัน คนทั้งสามหน้าเปลี่ยนสีในทันที

สุสานหลักเป็นดินแดนต้องห้ามภายในอุทยานครึ่งเซียน

ที่ผ่านมาในทุกครั้งที่อุทยานครึ่งเซียนถูกเปิดออก แทบจะไม่มีใครสามารถหนีออกมาจากสุสานตรงกลางได้เลย

และแน่นอนว่ามีคนจำนวนน้อยนิดที่จะกล้าเข้าไปภายในนั้น

ในเนินหลุมศพ นอกเหนือจากความน่ากลัว ตัวของมันเองก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรมากมายให้เข้าไปค้นหา

“ตาม!”

บุรุษหนุ่มหยางกวงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเร่งตามไปอย่างรวดเร็ว เขามีความเชื่อมั่นในสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณของตนเองอย่างยิ่ง

พรึ่บ แซ่ด!

เงาสว่างสีเงินตามเข้าไปในสุสานเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง

“ไม่เสียทีที่เป็นหนานกงเซิ่ง!”

ในมุมมืด จ้าวเฟิงรู้สึกสะท้านในอกเมื่อมองเห็นทุกอย่างผ่านครรลองสายตาของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

จากการวิเคราะห์ของเขา หนานกงเซิ่งจัดว่าเป็น ‘ยอดฝีมือ’ ที่เก่งกล้าที่สุดในหมู่อัจฉริยะราชันทั้งสาม

ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้พึ่งพาสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ และไม่มีพลังหนุนจากสัตว์อสูรในขั้นราชันตัวใดทั้งสิ้น

หนานกงเซิ่งมีพลังราชันอยู่ ฝึกตนเข้าใกล้ขั้นราชันเข้าไปทุกที มีพรสวรรค์ด้านมิติกับมรดกเคล็ดวิชา ทั้งหมดอยู่ในขั้นที่เกินกว่าจะคาดคิดได้

คุณสมบัติของกายจิตว่างทำให้เขากลมกลืนกับฟ้าดินมากยิ่งขึ้น

“อุทยานครึ่งเซียนเปิดออกในครั้งนี้ กำลังรบของอัจฉริยะทั้งหลายสุดยอดอย่างมาก ต่อให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามก็ยังบุกเข้าไป”

เมิ่งซีเป็นคนที่สามที่เข้าไปภายในสุสานใจกลางต่อจากเวินลั่วอัน

“เวินลั่วอัน”

ในเวลาเดียวกันกับที่เมิ่งซีก้าวเท้า นางเอ่ยเรียกบุรุษหนุ่มหยางกวงซึ่งกำลังมุ่งไปด้านหน้า

“มีอะไรจะชี้แนะงั้นหรือ?”

บุรุษหนุ่มหยางกวงรีบตามหนานกงเซิ่งและเลือดครึ่งเซียนไป

ภายในทางเดินของสุสาน

วิ้ง!

หนานกงเซิ่งสำแดงท่าร่างมิติ แล้วตามเลือดครึ่งเซียนไปติดๆ เพื่อควบคุมมันเอาไว้

“เจ้ากับข้าร่วมมือกันจัดการหนานกงเซิ่งก่อน แล้วค่อยถกเถียงกันเรื่องการแบ่งเลือดครึ่งเซียน” เมิ่งซีเอ่ยปากบอก

ขีดจำกัดพลังของบุรุษหนุ่มหยางกวงนางรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เวินลั่วอันเข้ามาภายในอุทยานครึ่งเซียนได้ด้วยเพราะอาศัยอิทธิพลของสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย

คนทั้งสองเหมาะที่จะร่วมมือเป็นพันธมิตรกันอย่างยิ่ง

“ได้” บุรุษหนุ่มหยางกวงตอบตกลง

กำลังรบที่น่ากลัวของหนานกงเซิ่งกับความสามารถด้านมิติทำให้เขาปวดหัวอยู่ไม่น้อย

“สังหาร!”

หลังจากที่คนทั้งสองปรึกษาหารือเสร็จสิ้น ก็ตรงดิ่งไปสังหารหนานกงเซิ่งในทันทีอย่างไม่ลังเล

ทั่วร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวงเปล่งแสงสีทองสว่างเรืองรอง มือสีทองขนาดใหญ่ฟาดลงไปที่หนานกงเซิ่ง

“มิติมายามาร!”

ร่างของเมิ่งซีกวาดผ่านมา แล้วลำแสงมายาที่เลือนลางก็ทะลักเข้าสู่อากาศทุกสารทิศ

พลังของมิติมายามารแทรกซึมออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง กำลังรบของเมิ่งซีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นได้ เส้นผมกับลำแขนยาวยืดออกมาสองสามเท่า ก่อนตรงดิ่งไปหาหนานกงเซิ่ง

ความสามารถเช่นนี้ทะลวงผ่านขีดจำกัดของความเป็นจริง แทบจะเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการ

“เหอะ!” หนานกงเซิ่งหัวเราะเสียงเย็น รอบๆ ร่างมีลำแสงสีเงินหมุนวน ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่าอากาศเป็นระลอกคลื่น

เปรี้ยง โครม ตูม!

ราชันทั้งสองคนร่วมมือกันโจมตี ทำให้ร่างของหนานกงเซิ่งสั่นสะท้าน เคล็ดวิชาป้องกันในอากาศรอบๆ ตัว ไม่มั่นคงอยู่บ้าง

แล้วในวินาทีหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง

เมี้ยว!

แมวตัวเล็กสีเทาเงินตัวหนึ่ง หลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่าที่มืดมิดตรงทางเดินในสุสาน มือของมันกุมกริชสีดำมืดราวกับเงา

ในขณะเดียวกัน

ดวงตาที่ไร้รูปร่างก็ปรากฏขึ้นเลือนรางอยู่ท่ามกลางความมืด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version