บทที่ 674 การกลับมา
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน คฤหาสน์จักรพรรดิ
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ กำลังสังเกตการเติบโตของเด็กน้อยคุนอวิ๋น
ทันใดนั้นเอง
เขารู้สึกใจเย็นวาบ กลิ่นอายมรณะลุกลามในส่วนลึกของดวงวิญญาณ
“คำสั่งล่าสังหาร!”
จ้าวเฟิงตกใจจนตัวสั่น ความรู้สึกอันตรายเช่นนี้ย่อมต้องไม่ใช่องครักษ์แห่งความตายทั่วไปหรือราชาจิตวิญญาณมรณะจะนำมาให้ได้
ในส่วนลึกของดวงวิญญาณ
กลิ่นอายพลังเนตรมรณะกระตุกน้อยๆ แล้วเกิดปฏิกิริยาประหลาดกับบางอย่างที่อยู่ไกลๆ
หน้าของจ้าวเฟิงมืดคล้ำลงเมื่อคาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง
จนถึงตอนนี้
การไล่ล่าของราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสี่และสามสิบหกองครักษ์แห่งความตายยังไม่สำเร็จ
ศิษย์ของจักรพรรดิแห่งความตายก็เกือบสิ้นชีพอยู่ในอุทยานครึ่งเซียน
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จักรพรรดิแห่งความตายอาจจะออกหน้าด้วยตนเอง
“สู้กันตัวต่อตัว ขนาดลูกศิษย์ของเขาข้ายังอาจจะเอาชนะไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับจักรพรรดิแห่งความตายที่อาวุโสและมีฝีมือเป็นเลิศ”
จ้าวเฟิงสูดหายใจลึก
ในอุทยานครึ่งเซียน เขาและหนานกงเซิ่งร่วมมือกัน บวกกับข้อได้เปรียบจากดวงตาข้ามระยะทาง ยังไม่สามารถสังหารเวินลั่วอันได้เลย
ภายในนั้นความสามารถของเวิ่นลั่วอันยังโดนจำกัดไว้อีกด้วยซ้ำไป
ต่อให้เป็นเช่นนั้น
ในคราแรก ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงประลองตัวต่อตัวกับเขาก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะพ่ายแพ้
สายเลือดหนึ่งร้อยอันดับแรกในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ กำลังรบล้วนแต่เก่งกล้าเกินกว่าหลักการทั่วไป
“เรื่องด่วนในตอนนี้คือข้าจะต้องเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วต้องหาทางทำลายกลิ่นอายพลังของเนตรมรณะนี้ไปพร้อมกัน” ในใจของจ้าวเฟิงผุดแผนการคร่าวๆ
เมื่ออยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียเจิน ขอแค่จักรพรรดิตวนมู่ชิงยังอยู่ จักรพรรดิมรณะผู้นั้นย่อมไม่สามารถคุกคามจ้าวเฟิงได้โดยตรง
ด้วยเพราะที่แห่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ จักรพรรดิแห่งความตายถือว่าเป็นจักรพรรดิผู้มาเยือนจากภายนอก
ยิ่งไปกว่านั้นในดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คนในระดับจักรพรรดิใช่ว่าจะไร้เทียมทานอะไรขนาดนั้น
วูบ~
จ้าวเฟิงปิดดวงตาลงแล้วใช้ ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ เนื้อหา ‘ตำราหมิงถง’ ภายในหัวก็ปรากฏขึ้นไม่หยุด
ในหมู่วิชาเหล่านี้
ผลของ ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ทำให้จ้าวเฟิงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทำให้ศาสตร์ด้านวิญญาณของเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น
วิชาเซียนดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำเพื่อวางรากฐานและทะลวงผ่านขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะ ทว่ายังส่งผลช่วยจ้าวเฟิงคลี่คลายกลิ่นอายพลังของเนตรมรณะด้วย
ในระดับชั้นวิญญาณ
ห้วงคิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงกระจายตัวออกเกือบร้อยเส้นสาย เป็นประหนึ่งมือจำนวนนับไม่ถ้วนมุดลงไปในส่วนลึกของดวงวิญญาณ แล้วค่อยๆ ทำลายกลิ่นอายพลังของดวงตามรณะ
กลิ่นอายพลังกลุ่มนั้นไม่เพียงแต่เป็นของคนในขั้นจักรพรรดิ แต่ยังมาจาก ‘เนตรมรณะ’ จึงมีความพิเศษอย่างมาก
จักรพรรดิแห่งความตายชำนาญในวิชาวิญญาณรวมไปถึงศาสตร์มรณะด้วย
กลิ่นอายพลังที่เขาทิ้งไว้ ขนาดจักรพรรดิตวนมู่ชิงยังไม่กล้าลงมือด้วยตนเองเพราะกังวลว่าจะทำให้จ้าวเฟิงบาดเจ็บไปด้วย
จ้าวเฟิงจึงทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง แล้วกระตุ้นวิชาเซียนเพื่อค่อยๆ ทำลายกลิ่นอายพลังของดวงตามรณะ
ในส่วนลึกของดวงวิญญาณ
กลิ่นอายพลังที่เนตรมรณะทิ้งเอาไว้เป็นดั่งตราประทับมืดมิด ปรากฏในลักษณะร่างเงา คล้ายคลึงกับดวงตาข้ามระยะทางของจ้าวเฟิง
กลิ่นอายจิตวิญญาณทั่วไป ขอเพียงสัมผัสผนึกเนตรมรณะนี้ก็จะสูญสลายตายไปในทันที
“ไม่เสียทีที่เป็นพลังผนึกของเนตรมรณะอันเกิดจากคนในขั้นจักรพรรดิ”
จ้าวเฟิงรู้สึกยุ่งยากอย่างยิ่ง
ถ้าหากเขาไม่ได้ฝึกฝน ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ก่อนเพิ่มขั้นขึ้นเป็นจักรพรรดิคงยากจะคุกคามกลิ่นอายพลังนี้ได้
‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ทำให้เคล็ดวิชาวิญญาณของจ้าวเฟิงไปถึงระดับใหม่
เขาสร้างห้วงคิดจิตวิญญาณเป็นใบมีด ร่วมกับพลังเพลิงเนตร ค่อยๆ ทำลายกลิ่นอายพลังกลุ่มนั้นไป
ในขั้นตอนทั้งหมดนี้ พลังดวงตาและวิญญาณของจ้าวเฟิงถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อใช้ไปจนหมดสิ้นแล้วก็นั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลัง
หลังจากที่ฟื้นฟูเสร็จ จ้าวเฟิงก็ทำลายกลิ่นอายพลังนั้นต่อ
ทำเช่นนี้ซ้ำไปมาไม่หยุด
‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ของจ้าวเฟิงก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกวันตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
หลายวันถัดมา
“เสียดายที่กลิ่นอายพลังมรณะนี้ระดับขั้นสูงยิ่งนัก ถูกทำลายก็ช้า หรือบางทีอาจต้องรอให้ระดับชั้นวิญญาณของข้าเพิ่มไปจนถึงขั้นราชันก่อน หลังจากดวงตาเทพเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงในครั้งต่อไปจึงจะเร็วกว่าเดิมบ้าง” จ้าวเฟิงถอนหายใจ
ในเวลาเดียวกันนี้เอง
มิติดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ทะเลสาบพลังดวงตาก็ขยายขอบเขตจนมีรัศมีกว้างเป็นร้อยจั้ง
ความอ่อนล้าจากดวงตาเทพเจ้าด้านซ้ายลามไปทั่ววิญญาณ ขยายไปทั่วร่าง
จ้าวเฟิงพยายามต่อต้านความรู้สึกอ่อนล้านั้นอย่างสุดความสามารถ
ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ทันทีที่ไม่สามารถต้านทานความอ่อนล้าได้ จ้าวเฟิงก็จะอยู่ในสภาวะหลับลึก และตกเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลงของดวงตาเทพเจ้า
เขาต้องรอให้อาจารย์และจ้าวหยูเฟยกลับมาก่อน แล้วจึงค่อยเข้าสู่สภาวะหลับลึก
จ้าวเฟิงไม่ได้กระตุ้น ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’’ ซ้ำอีก
เขาค้นพบว่าการใช้วิชานี้ซ้ำไปมาจะช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงของดวงตาเทพเจ้า
เวลาแต่ละวันค่อยๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไป
หลังจากที่เด็กน้อยคุนอวิ๋นเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ พลังฝึกตนสะสมเพิ่มขึ้นไม่หยุด
ในทุกช่วงระยะเวลาสั้นๆ เด็กน้อยผิวทองผู้นี้จะมาหาจ้าวเฟิงเพื่อเอาสมบัติล้ำค่าต่างๆ
ดีที่จ้าวเฟิงมีทรัพยากรพร้อมพรั่ง มิฉะนั้นแล้วเขาเพียงคนเดียวจะต้องให้ทรัพยากรในการฝึกตนแก่คนทั้งสาม ก็นับว่ากดดันเอาการทีเดียว
จ้าวเฟิง เจ้าแมวขโมยตัวน้อย และเด็กน้อยคุนอวิ๋นล้วนแต่ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก
ในกลุ่มนี้เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเขมือบทรัพยากรประเภทต่างๆ ไปมากที่สุด
ดีที่เจ้าแมวเผชิญภัยอันตรายไปพร้อมกับจ้าวเฟิง ยังไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
ในวันนี้
ขั้นฝึกตนของเด็กน้อยคุนอวิ๋นเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเข้าไปทุกที จึงมาขอทรัพยากรส่วนหนึ่งจากจ้าวเฟิง
หืม?
จ้าวเฟิงสัมผัสบางอย่างได้ในฉับพลัน เป็นพลังมหาศาลที่มาเยือนคฤหาสน์ของจักรพรรดิตวนมู่ชิงในทันใด
วูบ!
จ้าวเฟิงโบกมือครั้งหนึ่งให้เด็กน้อยคุนอวิ๋นเข้าไปภายในคฤหาสน์
“ขั้นจักรพรรดิ! กลิ่นอายกลุ่มก้อนนี้น่าจะเข้าใกล้ขอบเขตเทวาเร้นลับเลยทีเดียว…”
เด็กน้อยคุนอวิ๋นเอ่ยพึมพำแล้วเก็บงำกลิ่นอาย ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที
ในตอนนี้มีเพียงแค่จ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่รู้เรื่องการชุบชีวิตด้วยเลือดของครึ่งเซียนคุนอวิ๋น
ถ้าหากให้คนทั้งโลกล่วงรู้ว่าครึ่งเซียนถือกำเนิดใหม่อีกครั้งจะทำให้เกิดความอลหม่านวุ่นวาย
เมื่อถึงเวลาดังกล่าว เด็กน้อยคุนอวิ๋นอาจจะต้องเผชิญหน้ากับความตายก็เป็นได้
“ท่านอาจารย์”
จ้าวเฟิงก้าวเท้าเดินออกจากในโถงลับแล้วเดินมาถึงภายในตำหนัก
ในเวลานี้เอง
ฉับพลันปรากฏบุรุษท่าทางองอาจ เรือนผมขาวปลอดราวหิมะ มีลำแสงสีเขียวหมุนวนทั่วร่าง ดูโดดเด่นยอดเยี่ยมยิ่ง
ในขณะที่จักรพรรดิอาวุโสผู้นี้มาถึงยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือในสำนักจำนวนมากล้วนแต่สัมผัสได้ ดวงวิญญาณพลันหลักอึ้ง
“พี่จ้าวเฟิง!”
ในกลุ่มลำแสงสีเขียวข้างกายของจักรพรรดิตวนมู่ชิง ยังมีดรุณีในชุดกระโปรงสีม่วงผู้ผุดผ่องราวเทพธิดา
ดรุณีชุดม่วงใบหน้างดงามโดดเด่น ผิวขาวนวลเนียนราวหยก เปล่งแสงกระจ่างราวกับไม่ใช่กายเนื้อธรรมดา แต่ว่าเป็นรูปสลักจากหยกชั้นดี
“หยูเฟย!”
จ้าวเฟิงมีสีหน้ายินดี ขนาดความอ่อนล้าในส่วนลึกของดวงวิญญาณยังจางหายไปหลายส่วน
เขาอดคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยามใช้ผลึกน้ำตาเงือกในอาณาเงือกไม่ได้
ในวัยเด็ก
ดรุณีสะสวยสูงสง่า สนิทสนมกันราวกับเด็กหญิงข้างบ้าน นัยน์ตางามกระจ่างจ้องมองกลับมาอย่างแน่วแน่
เงาบอบบางในชุดม่วงผู้ที่เอาแต่แอบเป็นห่วงเป็นใยอยู่ด้านหลังและคอยตามติดไม่ห่าง
ได้พบพานหลังแยกจากกันไปนาน
นัยน์ตางามที่คลอด้วยหยดน้ำตาทำให้ภาพพร่ามัว อ้อมกอดที่อบอุ่น กลิ่นหอมที่คุ้นเคย ทุกสิ่งล้วนแต่ชัดเจนแจ่มแจ้ง
ดรุณีชุดม่วงผุดผ่องราวเทพธิดา โดดเด่นเหนือกว่าผู้ใดในวัยแรกแย้ม ชัดเจนขึ้นมาในยามนี้จากความทรงจำเก่าๆ
ดวงตาสี่ดวงของคนทั้งสองสอดประสาน
ละอองน้ำในนัยน์ตาพร่ามัวของจ้าวหยูเฟยไม่อาจจะปกปิดความยินดีหรือความเขินอายได้
โดยเฉพาะเมื่อสายตาของบุรุษในดวงใจทอดมองมายังตนเอง ไม่ได้ไร้ความรู้สึกเหมือนเช่นในยามก่อน สายตาเร่าร้อนรักใคร่เหมือนกับชายอื่นอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีสิ่งแอบแฝงใดซ่อนอยู่
ขณะที่ดวงตามองสบตากัน คนทั้งสองเข้าใจลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ในวินาที เพียงแค่สายตาเดียวก็อยู่เหนือคำพูดใดๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวเฟิงที่ในด้านความรู้สึกแข็งทื่อและมักจะไม่เข้าหาใคร
ปลายหางตาของจ้าวหยูเฟยแดงน้อยๆ ในตอนที่สุขสมยินดีก็มีอารมณ์อยากจะร่ำไห้อยู่เหมือนกัน
จ้าวเฟิงรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าสั่นน้อยๆ ร่างแบบบางอ่อนหวานเบื้องหน้าโผเข้ามาในอ้อมกอด หยาดน้ำตากระจายทั่ววงหน้างาม กลิ่นหอมที่คุ้นจมูกใกล้ชิดสนิทสนมราวกับเด็กหญิงเพื่อนบ้าน
ความรู้สึกงดงามเช่นนี้เหมือนความเศร้าโศกเสียใจและความหวานชื่นสวยงามที่เกิดขึ้นระหว่างการชะล้างของผลึกน้ำตาเงือก
วิญญาณของจ้าวเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการชำระล้าง ผลของผลึกน้ำตาเงือกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับประสบการณ์ชีวิตของตน
“หยูเฟย!”
จ้าวเฟิงเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนอย่างที่หาได้ยากยิ่ง เขากอดจ้าวหยูเฟยไว้ในอ้อมอกแน่น
เขาไม่รู้ว่าจะพูดอันใด ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ได้แต่เพียงทำตามใจตนเอง กอดสตรีเบื้องหน้าเอาไว้
ตั้งแต่ความเข้าใจในผลึกน้ำตาเงือก จนมาถึงการพบหน้ากันในครั้งนี้
จ้าวเฟิงก็ลึกซึ้งแล้วในความรู้สึกทั้งหมด รวมไปถึงความรู้สึกไร้เดียงสาอันคลุมเครือในวัยเด็กด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งจักรพรรดิตวนมู่กระแอมขึ้นมาเบาๆ คนทั้งสองจึงละม้ายคล้ายตื่นจากฝัน ใบหน้าแดงก่ำ
ครู่หนึ่งผ่านไป
คนทั้งสามเข้าไปนั่งภายในห้องโถง นี่จึงเป็นเวลาที่จ้าวเฟิงได้สำรวจจ้าวหยูเฟยอย่างถี่ถ้วน แล้วก็ต้องตกใจ
บนเรือนร่างของจ้าวหยูเฟยมีกลิ่นอายคล้ายกับเมิ่งซี เวินลั่วอัน และเจียงฟาน
นั่นก็คือกลิ่นอายสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
ไม่เพียงเท่านั้น แรงกดดันที่กลิ่นอายบนร่างของจ้าวหยูเฟยนำพามาให้เหนือกว่าเวินลั่วอันมากนัก
แต่ที่คิดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นคือ ขอบเขตของจ้าวหยูเฟยหยุดอยู่ที่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเท่านั้น แต่ระลอกปราณที่แท้จริงบนร่างบริสุทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าคนในขั้นราชันเลย
“พี่จ้าวเฟิง สายเลือดของข้าตื่นขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากจักรพรรดิตวนมู่ ข้าจึงสืบทอดซากปรักหักพังสือเฉิงสำเร็จ แล้วยังสามารถสร้างโลกมิติของตนเองได้ด้วย”
วงหน้างามของจ้าวหยูเฟยมีแววปลื้มปีติ เจือความภาคภูมิใจอยู่ด้วยเล็กน้อย
โลกมิติส่วนตัว?
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ จ้าวหยูเฟยไม่ได้มีพลังฝึกตนขั้นราชัน เหตุใดจึงมีโลกมิติส่วนตัวได้
“จ้าวเฟิง พวกเราได้พบหน้ากันอีกครั้งแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากจ้าวหยูเฟย
วิ้ง!
ระลอกคลื่นพลังสีม่วงที่เลือนรางครอบคลุมทั่วทั้งห้องเอาไว้ วินาทีต่อมา
จ้าวเฟิงและคนที่เหลือเข้ามาสู่มิติที่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง
“เป็นกลิ่นอายของซากปรักหักพังสือเฉิง แต่ว่าแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายสิบเท่า!”
จ้าวเฟิงอยู่ที่หุบเขาลี้ลับ ด้านข้างคือหอคอยพฤกษาปีศาจในยามก่อน
มิติที่อยู่เบื้องหน้านี้คือซากปรักหักพังสือเฉิง
แต่ต่างกันตรงที่ว่าโลกมิติส่วนตัวแห่งนี้มีรัศมีเพียงสิบลี้ ขนาดเล็กลงหลายร้อยเท่า
ในที่สุดจ้าวเฟิงก็เข้าใจว่าเพราะอะไรตวนมู่ชิงจึงจากไปนานแล้วเพิ่งจะกลับมา
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตวนมู่ชิงสามารถใช้ค่ายกลข้ามเขตได้ ใช้เวลาไม่นานนักก็ไปถึงดินแดนหมู่เกาะเทียนหลู
หลังจากที่ตวนมู่ชิงไปถึงที่นั่นแล้วได้ลงโทษสั่งสอนสำนักใหญ่ทั้งสามแห่ง
สำนักใหญ่ทั้งสาม ราชาทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่คุกเข่ายอมรับผิดแต่โดยดี
ต่อจากนั้น
ตวนมู่ชิงช่วยเฟลือจ้าวหยูเฟยขัดเกลาซากปรักหักพังสือเฉิง แล้วนำ ‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’ หลอมรวมเข้าภายในโลกมิติส่วนตัวด้วย
ในตอนนี้
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘โลกมิติส่วนตัว’ ของจ้าวหยูเฟย
มิฉะนั้นจ้าวหยูเฟยคงไม่อาจจะมีมิติส่วนตัวเช่นนี้
ต่อจากนี้ไป จ้าวหยูเฟยไม่เพียงแต่สืบทอดมรดกสือเฉิง แต่ยังสามารถทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงดำรงอยู่เช่นเดิม
เพื่อสิ่งนี้ จักรพรรดิตวนมู่ต้องจ่ายในราคาที่แพงอย่างยิ่ง ใช้เวลาหมดไปหลายเดือน
วูบ!
ตวนมู่ชิงและคนอื่นๆ กลับมายังที่พัก
“หยูเฟย นี่คือผลึกน้ำตาเงือกและสุราเซียนมายา” ใบหน้าของจ้าวเฟิงมีแววอ่อนล้า ฝืนเอาของล้ำค่าสองสิ่งมอบให้กับจ้าวหยูเฟย
สุราเซียนมายา?
จ้าวหยูเฟยไม่รู้ซึ้งถึงมูลค่าของสองสิ่งนี้
จักรพรรดิตวนมู่ชิงตกใจ “เจ้าได้สุราเซียนมายามาด้วยรึ? ของสองสิ่งนี้เหมาะกับหยูเฟยพอดี อย่างไรสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ กับปราณที่แท้จริงของนาง ก็มักจะเกินกว่าสำนึกรู้ในจิตวิญญาณของตนเอง”