Skip to content

King of Gods 675

King Of Gods

บทที่ 675 หญ้าอมตะ

จ้าวหยูเฟยไม่เข้าใจในมูลค่าของ ‘สุราเซียนมายา’ แต่ไม่มีทางที่ตวนมู่ชิงจะไม่รู้

ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ ของอุทานครึ่งเซียนอย่างมากด้วย

ความยากในการไปเก็บเกี่ยวเอาสุราเซียนมายาไม่ใช่ระดับธรรมดา

หลายพันปีก่อน อัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนก่อนทำสำเร็จเพราะโชคชะตาเป็นสาเหตุหลัก

“จ้าวเฟิง เจ้าคงไม่ได้ใช้วิธีนั้นหลอกลวงองค์หญิงเงือกให้เกิดความรู้สึกต่อเจ้าเพื่อเอาสุราเซียนมายามากระมัง?” ตวนมู่ชิงจ้องมองที่เขาอย่างคาดคะเน

ระดับขั้นชีวิตของจ้าวเฟิงเทียบเท่ากับราชัน จึงมีพลังระดับครึ่งก้าวสู่ราชันได้แล้ว

“องค์หญิงเงือก?”

จ้าวหยูเฟยนิ่วหน้าน้อยๆ แค่นเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“ไม่ใช่ ข้าใช้วิธีจับองค์หญิงเผ่าเงือก…”

จ้าวเฟิงเอ่ยอธิบายง่ายๆ

เมื่อได้ยินขั้นตอนในการพิชิตอาณาจักรเงือกของจ้าวเฟิง

ตวนมู่ชิงและจ้าวหยูเฟยอดประหลาดใจไม่ได้

จ้าวหยูเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งกังวลและหวาดกลัว

ความกล้าของจ้าวเฟิงไม่ธรรมดาเลย กล้าใช้วิธีแบบนี้ต่อต้านราชันในขอบเขตปราณเทวะ แล้วช่วงชิงเอาสุราเซียนมายาและน้ำอมฤตมา

ตวนมู่ชิงลอบชื่นชมในใจ จ้าวเฟิงบรรยายทุกขั้นตอนอย่างสงบนิ่ง เห็นได้ว่าเขาไม่ได้มีเพียงแค่ความกล้า แต่ยังมีปัญญาและมันสมองอีกด้วย

 

“จ้าวเฟิง ขอบใจเจ้ามากที่มอบเหล้าเซียนที่มีค่าเช่นนี้ให้จ้าวหยูเฟย” เสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงลอยล่องมา

ในตอนนี้

โลกมิติส่วนตัวของจ้าวหยูเฟยและนางหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งในระดับชั้นจิตวิญญาณ

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงฟื้นฟูพลังและดวงวิญญาณจนเทียบเท่าขั้นราชันแล้วด้วยความช่วยเหลือของตวนมู่ชิง

“ในซากปรักหักพังสือเฉิง ท่านผู้อาวุโสช่วยเหลือข้าไว้ไม่น้อย เมื่อเทียบกันแล้วสุราเซียนมายาน้อยนิดเท่านี้นับว่ายังไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ

หวนนึกถึงในอดีต การเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิงสองครั้งทำให้พลังของ

จ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ถ้าหากไม่มีซากปรักหักพังสือเฉิงก็คงไม่มีจ้าวเฟิงในวันนี้

“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ ท่านเพิ่งบอกว่าสายเลือดของหยูเฟยคือเผ่าพันธุ์อะไร?” จ้าวเฟิงพลันเอ่ยแทรกขึ้น

“เผ่าพันธุ์วิญญาณ” ครั้งนี้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเป็นคนเอ่ยตอบ

เผ่าพันธุ์วิญญาณ!

กายและใจของจ้าวเฟิงค้างแข็ง สูดลมหายใจเย็นเข้าปอด

เขาเคยอ่าน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ ย่อมต้องรู้ถึงความน่ากลัวของเผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นอย่างดี

“เผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นเผ่าพันธุ์อันดับที่สิบเก้าในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ!”

คิดไม่ถึงเลยว่าสายเลือดของจ้าวหยูเฟยจะจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ

“เผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์โบราณในตำนาน เมื่อถือกำเนิดขึ้นก็จะมี ‘ร่างต้นกำเนิดจิตวิญญาณ’ ซึ่งเหนือกว่าร่างวิญญาณดั้งเดิมของกายเนื้อ พวกนั้นดูดกลืนไอบริสุทธิ์ในฟ้าดินเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง จัดเป็นเผ่าพันธุ์อันดับหนึ่งที่คุ้นเคยกับไอสวรรค์ เผ่าพันธุ์วิญญาณเมื่อเติบโตแล้วจะมีกำลังรบซึ่งสามารถประมือกับราชันได้ไม่ยากนัก ความเร็วในการฝึกตนอยู่เหนือกาลเวลาใด”

จ้าวเฟิงย้อนนึกถึงคุณสมบัติพิเศษของ ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’

เผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นเผ่าพันธุ์ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ

เผ่าพันธุ์นี้มีร่างกายในสภาวะวิญญาณ ซึ่งอยู่เหนือขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป

ยกตัวอย่างเช่น อันดับเจ็ดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอย่าง ‘เผ่าพันธุ์แห่งแสง’ พวกมันเป็นเพียงแค่ร่างแปลงของแสงสว่าง กลืนกินเวลาเป็นอาหาร

ทว่าเผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นร่างแปลงของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ในฟ้าดิน เป็นหนึ่งเดียวกับไอสวรรค์ในใต้หล้า

“หลังจากสายเลือดที่แท้จริงของ ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ ในตัวหยูเฟยตื่นขึ้น นางก็แทบไม่ติดอุปสรรคใดๆ กับขั้นต่ำกว่าราชันลงไป ถ้าหากว่าขอบเขตพลังของนางมากพอ ตอนนี้ก็สามารถเลื่อนเป็นราชันได้แล้ว” ตวนมู่ชิงเอ่ยอธิบาย

สายเลือดที่จัดอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ชะตาลิขิตไว้ว่าสวรรค์เป็นใจเปิดทางให้

ส่วนสุราเซียนมายาที่จ้าวเฟิงนำมานั้นเป็นส่วนที่จ้าวหยูเฟยขาดไปพอดี

ต้องรู้ไว้ว่า ตอนนี้ปราณที่แท้จริงในร่างของจ้าวหยูเฟยได้ทำลายเส้นแบ่งของขอบเขตพลัง ข้ามไปถึงระดับขั้นราชันแล้ว

ถัดจากนั้น

จ้าวเฟิงจึงเล่าสถานการณ์ในอุทยานครึ่งเซียนอย่างคร่าวๆ ครั้งหนึ่ง

เมื่อได้ยินเรื่องของ ‘เลือดครึ่งเซียน’ ตวนมู่ชิงอดตกใจไม่ได้

เพียงแต่เรื่องที่ได้เลือดครึ่งเซียนมา จ้าวเฟิงเก็บงำมาตลอด

นี่ไม่ใช่เพราะมูลค่าของเลือดครึ่งเซียน แต่เป็นเพราะแผนการ ‘ชุบชีวิตจากเลือด’ ชวนสะพรึงขวัญเกินไป

เวลาผ่านไปสักพัก

จ้าวหยูเฟยจูงมือของจ้าวเฟิงก้าวเดินไปด้วยความอิ่มเอมใจ

จ้าวเฟิงมีสีหน้าเหนื่อยล้า ในขณะที่ความอ่อนเพลียทั้งหลายประเดประดังเข้ามา เขาก็ทนไปจนถึงขีดสุดแล้ว

ในเวลานี้เอง

จ้าวหยูเฟยมองมาที่เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ “พี่จ้าวเฟิง ‘คู่หมั้น’ ที่ท่านเอ่ยถึงเมื่อคราวก่อน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ท่านหานางพบหรือไม่?”

“คู่หมั้น?” จ้าวเฟิงรู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง

ในหัวของเขาปรากฏวงหน้างามที่อมทุกข์น้อยๆ ท่าทางนิ่งสงบราวเซียนในภาพวาด

“พี่จ้าวเฟิง ท่านต้องตั้งใจตอบคำถามข้า” จ้าวหยูเฟยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

ยามนี้นางรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง

นางไม่อาจทนให้ชายอันเป็นที่รักชอบสตรีอื่นในเวลาเดียวกัน

ถึงแม้ว่าในโลกนี้ ชายผู้เก่งกล้ามีภรรยาหลายคนจะเป็นเรื่องธรรมดามากก็ตาม

แพขนตาของจ้าวหยูเฟยสั่นเทาน้อยๆ นัยน์ตาพร่ามัวไปด้วยละอองน้ำ

นางจ้องไปที่จ้าวเฟิงอย่างตั้งใจเพื่อรอคำตอบของฝ่ายหลัง

นางตัดสินใจแล้ว หากว่าจ้าวเฟิงยังเลือกที่จะชอบหญิงอีกคนหนึ่ง นางก็คงทำได้เพียงแค่ถอยออกมา แล้วทุ่มเทแรงใจทั้งหมดไปกับชะตาชีวิตของตน

ขณะเดียวกัน

ผู้ที่รอฟังคำตอบของจ้าวเฟิงไม่ได้มีเพียงจ้าวหยูเฟย แต่ยังมีเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกมิติส่วนตัวด้วย

นางเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง

แต่ในยามนี้

จ้าวเฟิงกลับปิดตาสนิทแล้วเข้าสู่สภาวะหลับลึกเพราะความอ่อนล้าที่ถาโถมเข้ามา

“พี่จ้าวเฟิง! ท่านเป็นอะไรไป…”

จ้าวหยูเฟยหน้าถอดสี โอบกอดจ้าวเฟิงไว้แน่น

นางพบว่าเรือนผมของเขาปรากฏเส้นผมสีม่วงอ่อนจำนวนมากขึ้น

“เกรงว่าดวงตาเทพเจ้าของเขาจะตื่นขึ้นไปอีกขั้น” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ย

จากการที่ดวงตาเทพเจ้าตื่นขึ้นไม่หยุด แล้วยังสอดประสานกับจ้าวเฟิงไปอีกขั้นหนึ่ง แหล่งกำเนิดพลังของเขาจึงยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ

อีกทั้งความเป็นไปได้ที่คนภายนอกจะช่วงชิงดวงตาเทพเจ้าไปก็น้อยลงทุกที

จ้าวหยูเฟยกระทืบเท้าอย่างขัดใจ นางสงสัยว่าจ้าวเฟิงจงใจเลี่ยงคำถามแล้วเข้าสู่สภาวะหลับลึกในตอนนี้หรือไม่

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดเพียงครั้งดียวก็ปรากฏกายบนไหล่ของจ้าวเฟิง

 

ในทุกครั้งที่ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลง ล้วนแต่มีมันคอยปกป้องอยู่ข้างกาย

เรียกได้ว่าจ้าวแมวขโมยตัวน้อยเคียงข้างจ้าวเฟิงในตลอดหนทางของการเติบโต

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยทำท่าทำทางอยู่สักพัก แต่ไม่ได้ขับไล่จ้าวหยูเฟยแต่อย่างใด

จ้าวหยูเฟยเข้าใจในความหมายของมันอย่างรวดเร็ว จึงรีบนำจ้าวเฟิงเข้าไปภายในโถงลับในคราวก่อน

เมี้ยว~

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปิดประตูลงแล้วนั่งบนร่างของผู้เป็นนาย

แน่นอนว่าเด็กน้อยคุนอวิ๋นที่กำลังฝึกตนอยู่ภายในแหวนเหล็กโบราณย่อมต้องการทรัพยากรเพิ่มเติม

เมื่อผู้เป็นนายไม่อยู่ ของเหล่านี้จึงมีเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นผู้รับผิดชอบ

“จ้าวเฟิงผู้นี้เหมือนจะตกอยู่ในสภาวะอะไรสักอย่าง”

เด็กน้อยครึ่งเซียนสัมผัสสภาวะของจ้าวเฟิงได้จากเมล็ดดวงใจทมิฬ

เขาลอบยินดีในใจ หากฉวยโอกาสนี้ บางทีตนเองอาจจะเอาทรัพยากรสมบัติล้ำค่ามาจากเจ้าแมวได้มากกว่าเดิม

แล้วถ้าหากจ้าวเฟิงหลับลึกเป็นเวลานาน เมื่อเขาฝึกตนไปจนถึงขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ช่วงสุดยอด จะหลอมรวมกับพลังครึ่งเซียน และทะลวงผ่านขั้นราชันในครั้งเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะถอนตราผนึกเมล็ดดวงใจนี่ได้

ด้วยเพราะในขณะที่จ้าวเฟิงหลับไปน่าจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเมล็ดดวงใจทมิฬ

แต่ว่าแผนการที่เด็กน้อยครึ่งเซียนต้องการก็ไม่สมดังใจเขา

เวลาช่วงหนึ่งหลังจากนั้น เขาก็โดนเจ้าแมวตัวน้อยลดทอนและจำกัดทรัพยากรอย่างเข้มงวด

เด็กน้อยครึ่งเซียนย่อมคัดค้านอยู่แล้ว เขาเป็นถึงครึ่งเซียน จะยอมให้แมวตัวหนึ่งเหยียบศีรษะได้อย่างไร

ป๊าบ ป๊าบ!

เด็กน้อยครึ่งเซียนขัดขืนน้อยๆ แต่ก็ถูกเจ้าแมวใช้อุ้งมือตะปบลง ทำให้เวียนศีรษะตาลายอย่างยิ่ง

“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!” เด็กน้อยครึ่งเซียนเดิมทีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่กลับโดนลบหลู่อีก

“แมว…แมวตัวนี้เป็นเผ่าพันธุ์อะไรกันแน่”

เด็กน้อยครึ่งเซียนรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง

เขายังมีความสามารถและความทรงจำของครึ่งเซียนอยู่ส่วนหนึ่ง แต่กลับมองเจ้าแมวตัวนี้ตัวไม่ออก

ทว่าความสามารถของเจ้าแมวตัวนี้ไม่ได้แปลกประหลาดแบบธรรมดา มันมองทุกการกระทำของเขาออกอย่างปรุโปร่ง

ในความทรงจำของครึ่งเซียน วิธีการความสามารถบางส่วนย่อมต้องแปลกประหลาดกว่าปกติ

แต่วิชาทั้งหมดที่เด็กน้อยครึ่งเซียนมีกลับโดนเจ้าแมวขโมยตัวน้อยจัดการได้จนหมด

ในทุกครั้งที่เจ้าแมวตัวนั้น ‘รังแก’ เขาล้วนแต่มีท่าทางสนุกสนาน แทบจะไม่เห็นหัวเขาผู้มีสถานะเป็นครึ่งเซียนเลยเสียด้วยซ้ำ

“รอให้พลังที่แท้จริงของข้าฟื้นฟูกลับมาก่อนเถอะ จะกลั่นแกล้งเจ้าแมวตัวนี้ให้มันตายไปเลย”

เด็กน้อยครึ่งเซียนลอบจดจำความแค้นนี้ไว้ในใจ

สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนในตอนนี้คือเขาต้องเติบโตขึ้นอีก จึงไม่อาจทำผิดต่อเจ้าแมวได้

ในทุกครั้งที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเจ้าแมวขโมยตัวน้อย เขาจะค่อยๆ ทำตัวดีและออดอ้อนเป็นพิเศษ ถึงขั้นช่วยนวดหลังทุบบ่าให้ จนเจ้าแมวขโมยผงกศีรษะอย่างพออกพอใจ

ด้วยเหตุนี้เอง เด็กน้อยครึ่งเซียนจึงสะกดความละอายแล้วกลายเป็นศิษย์น้องของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไป

สองเดือนผ่านไปในชั่วพริบตา

เด็กน้อยครึ่งเซียนหลบซ่อนอยู่ภายในแหวนเหล็กโบราณตลอด ไม่กล้าที่จะออกมา

ในระยะเวลาสองเดือน พลังฝึกตนของเขาฟื้นฟูไปถึงขั้นยอดผู้สูงศักดิ์อย่างรวดเร็วจนน่ากลัว

“เหอะๆ! ขั้นฝึกตนของข้าตามจ้าวเฟิงนั่นทันแล้ว” เด็กน้อยครึ่งเซียนลำพองใจ

ตามการเพิ่มขึ้นของขั้นการฝึกตน ความสามารถและความทรงจำของครึ่งเซียนจะตื่นขึ้นมากกว่าเดิม

หากพูดเรื่องพลัง

เด็กน้อยครึ่งเซียนเชื่อมั่นในตัวเองอย่างยิ่งว่าจะอยู่เหนืออัจฉริยะยุคใหม่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

จากนั้นจะกำจัดพวกคนวิปริตอย่างหนานกงเซิ่งและจ้าวเฟิงเสีย

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กน้อยครึ่งเซียนหงุดหงิด คือร่างกายของเขาหยุดการเติบโตอยู่ที่เด็กสองสามขวบ การเติบโตเชื่องช้านัก

ตามหลักการทั่วไปแล้ว เขาถือกำเนิดมาจากเลือด ไม่ได้กำเนิดออกจากครรภ์มารดาคนใด

แล้วจากพื้นฐานของเลือดครึ่งเซียน เขาควรจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว

“ทำไมจึงเป็นเช่นนี้!” เด็กน้อยครึ่งเซียนรู้สึกหงุดหงิดจวนจะบ้าคลั่ง

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมีสีหน้านึกสนุกแล้วโบกกรงเล็บสองสามที

“อะไรนะ! น้ำอมฤต? ยังมีหญ้าอมตะด้วย!”

เด็กน้อยครึ่งเซียนตะโกนออกมาอย่างตกใจ กระฟัดกระเฟียดอยู่ภายในแหวนเหล็กโบราณ

ถ้าหากเป็นน้ำอมฤตบริสุทธิ์ก็แล้วไป เพราะจะสามารถยืดอายุขัยของชีวิตได้

แต่ว่าเมื่อบวกกับ ‘หญ้าอมตะ’ ผลลัพธ์ก็จะเปลี่ยนไป

หญ้าอมตะจะทำให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ สภาพร่างกายและสภาวะชีวิตจะคงอยู่เป็นนิรันดร์เหมือนดังเก่า

ถ้าหากใช้ ‘หญ้าอมตะ’ ยามอายุสิบแปดปี ร่างกายก็จะไม่แก่ตัวลง จะมีใบหน้าและร่างกายเหมือนคนอายุสิบแปดปีตลอดไป

เมื่อใช้ร่วมกับน้ำอมฤต ผลลัพธ์เช่นนี้ของหญ้าอมตะจะแข็งแกร่งกว่าหลายต่อหลายเท่า

ไม่ว่าจะน้ำอมฤตหรือว่าหญ้าอมตะล้วนแต่เป็นสิ่งของในตำนาน

 

ของชิ้นแรกส่งผลให้มีอายุยาวนานนับหมื่นปี ส่วนของชิ้นหลังสามารถทำให้ใบหน้าคงความเยาว์วัยไว้

สำหรับผู้หญิงแล้วนี่เป็นส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง

เพียงแต่ว่าเด็กน้อยครึ่งเซียนพบคนผิด (เจ้าแมว) ในเวลาที่ผิด จึงใช้ของทั้งสองสิ่งนี้พร้อมกัน

“น้ำอมฤตและหญ้าอมตะเป็นสิ่งของฝืนลิขิตฟ้าที่อยู่นอกเหนือ ‘ขอบเขตของเทพเจ้า’ หากใช้ก่อนขึ้นเป็นเซียนจะลบล้างผลลัพธ์ของทั้งสองสิ่งได้ยาก”

แววตาเด็กน้อยครึ่งเซียนเป็นประกายเมื่อแจกแจงจนเสร็จสิ้น

ครั้นได้ผลลัพธ์ออกมา เขาก็ระเบิดอารมณ์อย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

เขาเกลียดเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเข้ากระดูกดำ

จะต้องเป็นเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่เอาหญ้าอมตะปะปนเข้ามาในทรัพยากรต่างๆ แล้วเอาให้เขาบริโภคแน่

หญ้าดังกล่าวได้มาจากสวนร้อยบุปผาในอุทยานครึ่งเซียน เกรงว่าต่อให้เป็น

จ้าวเฟิง ตอนที่ได้ของสิ่งนี้มาก็คงยังไม่รู้ถึงผลลัพธ์นั้น

“ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…”

เด็กน้อยครึ่งเซียนกระโดดออกจากแหวนเหล็กโบราณราวสายอัสนี

เขาเองก็มีพลังข้ามมิติเช่นกัน

ฟุ่บ!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยตะปบมือลงบนใบหน้าของเขาจนมึนไปครู่หนึ่ง

แต่ครึ่งเซียนมีสายเลือดและร่างกายที่แข็งแกร่ง จึงรับการโจมตีซึ่งๆ หน้า แล้วพุ่งไปทางเจ้าแมวขโมยตัวน้อยอีกครา

ยามนี้

เด็กน้อยครึ่งเซียนและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเริ่มทะเลาะวิวาท

พู่ว~

จ้าวเฟิงที่กำลังนอนหลับลึกพลิกกายในฉับพลัน เรือนผมสีดำแฝงม่วงโบกสะบัดแม้ไร้ลม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version