บทที่ 681 ปลีกตัวฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“เจ้ายินดีเดินทางไปดินแดนทวีปกับพวกข้าและหยูเฟยหรือไม่!”
ตวนมู่ชิงมีสีหน้าเคร่งพลางจ้องมองไปที่จ้าวเฟิง
ขณะนี้ในมิติเงียบสงบจนผิดแผก
ตวนมู่ชิงและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบของจ้าวเฟิง
วงหน้างามของจ้าวหยูเฟยแดงก่ำ นัยน์ตาแฝงความเขินอายเล็กน้อย ก้มศีรษะเม้มริมฝีปากอย่างกระวนกระวาย
วินาทีนี้ทั้งสองคนและเศษเสี้ยววิญญาณล้วนรอคำตอบของจ้าวเฟิง
สีหน้าของจ้าวเฟิงไม่คล้อยตามนัก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ
“จ้าวเฟิง หากเจ้ามุ่งหน้าไปดินแดนทวีปกับข้า การคุกคามของจักรพรรดิแห่งความตายจะลดต่ำลงได้” ตวนมู่ชิงพูดขึ้น
การคุกคามจากจักรพรรดิแห่งความตาย คนในที่แห่งนี้ล้วนแต่รู้กันดี
เศษเสี้ยววิญญาณเอ่ยขึ้นอีกว่า “จ้าวเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้ายังห่วงใย ‘คู่หมั้น’ ผู้นั้นอยู่ แต่ว่าโอกาสที่นางจะยังมีชีวิตอยู่แทบเป็นศูนย์”
“เจ้าและหยูเฟยเติบโตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ลึกซึ้งแนบแน่น พลังสายเลือดก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เป็นคู่ที่เหมาะสมไร้ที่ติอย่างแท้จริง”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอาทฤษฎีมาโน้มน้าวจ้าวเฟิง
นี่ไม่ได้เกี่ยวแต่เพียงความสุขในชีวิตของคนเป็นลูกศิษย์นาง ทว่าอาจช่วยให้แผนการฟื้นฟูตระกูลของตวนมู่ชิงบรรลุผลขึ้นมาได้ด้วย
เฮ้อ!
จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว กลับผงกศีรษะน้อยๆ “รอให้ข้ารู้ข่าวคราวว่าฉินซินเป็นตายร้ายดีอย่างไรก่อนข้าถึงจะไปดินแดนทวีป มีเพียงวิธีนี้จึงจะเป็นไปตามความตั้งใจเดิมของข้าและไม่หลงเหลืออะไรค้างคาใจอีก”
เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ร่างของจ้าวหยูเฟยสั่นระริก นัยน์ตาพร่ามัวด้วยหยดน้ำ ขอบตาแดงระเรื่อ ประกายระยิบระยับระเหยหายไปในทันที
ตวนมู่ชิงถอนหายใจยาว
เขาและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจึงไม่ได้พูดโน้มน้าวอะไรอีก
ทางเลือกของจ้าวเฟิงเป็นการทำตาม ‘ความตั้งใจเดิม’ ไม่มีการตัดพ้อและไม่เสียใจภายหลัง
ในขณะเดียวกัน นี่ก็เกี่ยวข้องกับขอบเขตพลังของจิตใจ ถ้าหากจ้าวเฟิงทรยศความตั้งใจของตนเอง ก็จะส่งผลร้ายต่อการฝึกบำเพ็ญตนในภายภาคหน้า
จริงอยู่ที่จ้าวเฟิงเองก็รู้ การตามวนมู่ชิงไปจะช่วยลดอันตรายจากคำสั่งล่าสังหารไปได้มากที่สุด
สำหรับหยูเฟ่ยเขามีความรู้สึกดีให้ตั้งแต่เด็ก มิตรภาพเช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งหลอกลวง
แต่ว่า
จ้าวเฟิงเองกลับไม่เคยลืมคำสัญญาของตน ใบหน้างดงามคล้ายตัดพ้อต่อว่า ทั้งสีหน้าบึ้งตึงและยิ้มแย้ม ราวกับยังอยู่ในสายตาเบื้องหน้า
ท่าทางสง่างามสงบเงียบ เรือนร่างอรชรในชุดกระโปรงสีขาวบางเบาคล้ายดั่งเทพธิดาในภาพวาด
ถ้าหากนางยังมีชีวิตอยู่จะยังยึดมั่นในคำสัญญาเมื่อคราก่อนหรือไม่?
แม้ว่าในความคิดของจ้าวเฟิง โอกาสที่หลิวฉินซินจะยังมีชีวิตอยู่แทบเป็นศูนย์ก็ตาม
ขวับ!
จ้าวเฟิงและพวกกลับไปคฤหาสน์จักรพรรดิอีกครั้ง
“จ้าวเฟิง ไม่กี่เดือนหลังจากนี้พวกข้าจะใช้ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ ออกไป เมื่อถึงเวลานั้น หากเจ้าจะมุ่งหน้าไปที่ ‘ดินแดนจิตวิญญาณฝูเมิ่ง’ ก็ต้องใช้ทางนี้” จักรพรรดิตวนมู่เอ่ยกำชับ
จ้าวเฟิงค้อมกายทำความเคารพ แล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไป
“พี่เฟิง ในเมื่อท่านเลือกนางแล้ว หยูเฟยก็จะไม่ไปเป็นมือที่สาม จะขอเดินออกมาเอง”
ใบหน้าของจ้าวหยูเฟยขาวซีดเล็กน้อย มีแววเด็ดเดี่ยวจากการตัดสินใจแล้วอย่างเด็ดขาด
“หยูเฟย…”
จ้าวเฟิงพูดไม่ออก
น้ำเสียงของจ้าวหยูเฟยฟังดูคล้ายอยากจะตัดสัมพันธ์จากเขาทั้งหมด
ขวับ!
จ้าวหยูเฟยหายตัวไปจากที่เดิมในชั่วพริบตา
ตาข้างซ้ายของจ้าวเฟิงกลับสามารถมองทะลุเห็นเค้าโครงของโลกมิติส่วนตัวได้
เขาถอนหายใจยาวแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ในซากปรักหักพังสือเฉิง โลกมิติส่วนตัว
“หยูเฟย เจ้าอย่าขุ่นเคืองนักเลย ไม่ช้าเร็วเขาก็ต้องกลับมาอยู่ข้างกายเจ้า”
เศษเสี้ยววิญญาณกล่าวด้วยเสียงปลอบประโลม
น้ำตาบนในหน้างามของหยูเฟ่ยยังไหลไม่หยุด นางขบริมฝีปากแน่น แพขนตากระพือน้อยๆ ดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอมนัก
“แล้วถ้าหากนางยังมีชีวิตอยู่เล่า…..” จ้าวหยูเฟยเจ็บปวดใจเหมือนโดนมีดทิ่มแทง
การเลือกของจ้าวเฟิงมีความหมายแฝงอยู่ ในดวงใจของเขาคู่หมั้นผู้นั้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้นางกังวลใจมากที่สุดคือถ้าหากว่าหลินฉินซินผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
“เจ้าวางใจเถอะ” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยปลอบใจ “หลิวฉินซินมีโอกาสน้อยมากที่จะยังมีชีวิตอยู่ จ้าวเฟิงก็แค่ทำตามความตั้งใจของเขา มิฉะนั้นเขาจะไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ เจ้าไม่เข้าใจผู้ชาย อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย ”
“อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”
จ้าวหยูเฟยเผยรอยยิ้มทั้งน้ำตา เปรียบดั่งดอกไม้แย้มบานหลังฝนตก สวยสดจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้
แต่ภายในใจของนางยังคงอธิษฐานต่อเทพยดาฟ้าดิน ขอให้หลินฉินซินอย่าได้ปรากฏตัวออกมาเลย
แค่เพียงหลิวฉินซินไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้ว เช่นนั้นก็จะไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งของนาง ในใจของจ้าวเฟิงได้
ณ ยอดเขาจิตวิญญาณหลัก
จ้าวเฟิงกลับไปยังที่ที่ตนอยู่ ภายในใจค่อยๆ สงบลง
ตั้งแต่ลึกซึ้งใน ‘ผลึกน้ำตาเงือก’ ขอบเขตวิญญาณของเขาก็กระจ่างใสดั่งแก้วผลึก
“ยังมีเวลาอยู่อีกสองสามเดือนก็จะต้องออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ข้าต้องรีบฝึกตนเพื่อเพิ่มพลังและทำลายพลังดวงตามรณะ”
จ้าวเฟิงชัดแจ้งในเป้าหมายหลัก
คำสั่งล่าสังหารเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
แล้วในขณะนี้
ราชันธรรมดายากที่จะคุกคามจ้าวเฟิงได้ จักรพรรดิแห่งความตายย่อมต้องลงมือเองอย่างแน่นอน
ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มก้อนในทันที
หนึ่งกลุ่มในนั้นใช้เพื่อลดพลังดวงตามรณะโดยเฉพาะ
ส่วนกลุ่มที่สองใช้เพื่อฝึกฝน ‘วายุอัสนีพิฆาตสีชาด’ รวมทั้งยืมใช้พลังภายนอกจำพวก ‘สุราเพลิงมังกร’ และ ‘สุราเมฆาอัสนี’ เป็นต้น
ส่วนที่สามใช้เพื่อฝึกฝน ‘ปีกวายุอัสนี’ โดยเฉพาะ
ตอนที่อยู่ในอุทยานครึ่งเซียน จ้าวเฟิงทำความเข้าใจ ‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ จนสำเร็จ แล้วเปิดประตูก้าวเข้าสุ่การฝึกวิชาข้ามมิติด้วยศาสตร์อัสนี
“พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของจักรพรรดิวายุอัสนีในยามก่อนก็คือความเร็วที่อยู่เหนือกว่าใครในฟ้าและดิน มี ‘ปีกวายุอัสนี’ เป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งสำคัญใด”
จ้าวเฟิงตระหนักได้ว่า จักรพรรดิวายุอัสนีมีความเร็วเป็นที่หนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิทั้งหลาย
กระทั่งว่าเขาหนีเอาชีวิตรอดจากเซียนจื่อเย่มาได้สำเร็จหลายครั้งหลายคราว
“ถ้าหากข้าทำความเข้าใจในความรวดเร็วของ ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ แล้วสามารถเพิ่มระดับความเร็วจนถึงขีดสุด ต่อให้จักรพรรดิความตายมาเยือนถึงหน้าประตูก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
จ้าวเฟิงคาดหวังไว้อย่างยิ่ง
วิชาในใต้หล้านี้ใครดีใครได้
เหตุผลข้อนี้ถึงจะเป็นคนในระดับขั้นจักรพรรดิหรือราชันก็ใช้ได้เช่นกัน
เป้าหมายของมรดกจักพรรดิวายุอัสนีก็คือการโจมตีและความเร็วในขั้นสูงสุด
ด้วยเหตุผลนี้จ้าวเฟิงจึงแบ่งห้วงคิดหนึ่งเอาไว้เพื่อฝึกฝน ‘ปีกวายุอัสนี’ โดยเฉพาะ
ห้วงคิดทั้งสามมีทิศทางสามอย่างแยกกันไปอย่างชัดเจน
ทำลายพลังมรณะให้หมดไปเพื่อคลี่คลายภยันอันตราย
ฝึกฝนวายุอัสนีพิฆาตสีชาดเพื่อเพิ่มความสามารถให้แข็งแกร่ง
ฝึกฝนปีกวายุอัสนีเพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอด
“ลดความอันตราย…เพิ่มพลังให้แข็งแกร่ง…หลบหนีเอาตัวรอด….”
แนวคิดของจ้าวเฟิงชัดเจนและแน่วแน่
นี่เรียกได้ว่าสามอย่างร่วมด้วยช่วยกัน
เพราะว่าฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ซึ่งเป็นศาสตร์วิญญาณที่เหนือธรรมดามากนัก จ้าวเฟิงถึงควบคุมสามอย่างในเวลาเดียวกันเช่นนี้ได้
วันเวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป
หนึ่งเดือนต่อมา
พลังเนตรมรณะในวิญญาณจ้าวเฟิงอ่อนกำลังลงไปช้าๆ
ถึงแม้จะไม่ถือว่ามากมาย แต่อย่างน้อยก็ยังได้ผล
ความลึกซึ้งที่มีต่อ ‘ปีกวายุอัสนี’ ก็เพิ่มมากขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง
หลังจากที่จ้าวเฟิงได้ดื่มกินสุราเซียนมายาเข้าไปก็เข้าใจในสำนึกรู้ราชา ทั้งยังสร้างเจตจำนงดวงตาขึ้นได้
ประตูของวิชาปีกวายุอัสนี ทักษะการต่อสู้ และเคล็ดวิชาต่างๆ
เปิดอ้าให้กับจ้าวเฟิงแล้ว
‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ นั่นยิ่งเชี่ยวชาญขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้าวเฟิงสามารถใช้ปีกวายุอัสนีและ ‘หายตัว’ ไปในเวลาเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้
เคล็ดวิชาต่อสู้บางส่วนของปีกวายุอัสนีเช่น ‘ประกายปีกอัสนี’ และ ‘คมปีกวายุอัสนี’ จ้าวเฟิงก็เริ่มจะเข้าใจในขั้นเบื้องต้นแล้ว
‘ประกายปีกอัสนี’ ใช้เพิ่มความเร็วในการโบยบินของปีกวายุอัสนี
โดยปกติแล้ว ‘ประกายปีกอัสนี’ จะสามารถเพิ่มระดับความเร็วในการโบยบินขี้นได้หลายเท่าไปจนถึงสิบเท่าเลยทีเดียว
เมื่อบรรลุถึงระดับราชัน ความเร็วในการบินเดิมทีก็น่ากลัวอยู่แล้ว
หากยังพยายามเพิ่มความเร็วอีกก็จะผิดธรรมดาอย่างยิ่ง
‘ประกายปีกอัสนี’ สามารถเพิ่มระดับความเร็วได้หลายเท่าเป็นอย่างน้อย แล้วยังเพิ่มได้ถึงสิบเท่าขึ้นไปด้วยซ้ำ
จักรพรรดิวายุอัสนีในอดีตฝึกฝนประกายปีกอัสนีไปจนถึงขั้นสูงสุด จนสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึงสิบหกเท่า
ในขณะนั้น
ขนาดเซียนส่วนหนึ่งยังไม่อาจตามจักรพรรดิวายุอัสนีได้ทัน
แน่นอนว่าประกายปีกอัสนีสิ้นเปลืองพลังอย่างมาก จึงเหมาะที่จะใช้ในเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ส่วน ‘คมปีกวายุอัสนี’ อีกวิชาหนึ่งเป็นการใช้ปีกอัสนีที่โบกสะบัดด้วยความเร็วสูง ฟาดฟันลงบนร่างของคู่ต่อสู้โดยอาศัยการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว สังหารอีกฝ่ายด้วยความว่องไวระดับสูงสุด
หนึ่งหมื่นปีก่อน
คู่ต่อสู้ที่ตายภายใต้คมปีกวายุอัสนีก็มีจำนวนไม่น้อย มีแม้กระทั่งขอบเขตปราณเทวะบางส่วนด้วย
ฟิ้ว ฟิ้ว~ วิ้ง!
ในอุ้งมือทั้งสองของจ้าวเฟิงปรากฏวายุอัสนีสีชาดที่มีกลิ่นอายทำลายล้างของการเผาไหม้
ในความเป็นจริงแล้ว
ในส่วนของมรดกวายุอัสนี วายุอัสนีพิฆาตสีชาดพัฒนาพลังบริสุทธิ์ไปจนถึงขีดสุดแล้ว
วายุอัสนีสีทองที่อยู่ในขั้นสูงกว่า วายุอัสนีสีทองเข้มจะผสมผสานกับพลังเสวียนอ้าวที่มีความพิเศษบางส่วนของจักรพรรดิวายุอัสนี ทำให้วายุอัสนีพิฆาตสีชาดพิสุทธิ์ขึ้น และสิ้นเปลืองพลังน้อยลง
วายุอัสนีพิฆาตสีชาด พลังของศาสตร์อัสนีชนิดนี้โหดร้ายป่าเถื่อนอย่างยิ่ง
อัสนีและอัคคีล้วนแต่เป็นธาตุที่แข็งแกร่งไปจนถึงขีดสุดในฟ้าดินนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสวียนอ้าวของวายุส่วนหนึ่งด้วย
“วายุอัสนีพิฆาตสีชาดโหดเหี้ยมรุนแรงอย่างมาก ยากที่จะควบคุม เมื่อฝึกฝนจนถึงตอนหลังๆ จะได้รับบาดเจ็บง่ายนัก” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
ในขณะที่จักรพรรดิวายุอัสนีฝึกฝนวายุอัสนีพิฆาตสีชาด เคยตกที่นั่งลำบากหรือแม้กระทั่งเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตหลายต่อหลายครั้ง
แต่ทว่า
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงควบคุมการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของวายุอัสนีไว้ได้อย่างแท้จริง
ทุกปัจจัยเป็นไปได้ที่ธาตุจะปะทะกันล้วนแต่โดนเขาค้นเจอเสียก่อน
ในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เขาดื่ม ‘สุราเพลิงมังกร’ และ ‘สุราเมฆาอัสนี’ ไป
เหล้าทั้งสองชนิดนี้มีชื่อเรียกเดียวกันกับสุราเซียนมายา แบ่งเป็นเจาะจงธาตุไฟและสายฟ้า
แต่ว่าฤทธิ์ของเหล้าทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้รุนแรงบ้าคลั่งธรรมดา
แม้ว่าระดับขั้นชีวิตของจ้าวเฟิงบรรลุไปถึงราชัน การป้องกันทางกายแข็งแกร่ง ร่างกายก็ยังต้องแบกรับฤทธิ์รุนแรงของเหล้าอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราเพลิงมังกรที่ผสมกลิ่นอายอัคคีของมังกรเพลิงโบราณเข้าไปด้วย
เมื่อดื่ม ‘สุราเพลิงมังกร’ ลงไปแล้ว ทั่วร่างกายของจ้าวเฟิงรู้สึกร้อนรุ่มดังไฟเผา แทบจะ ‘เผาตัวเองตายแล้วเกิดใหม่’ ไปแล้ว
ยังดีที่จ้าวเฟิงมีสายเลือดเหมันต์วารีจึงผ่านวิกฤตนั้นมาได้
ผลของเหล้าสองชนิดนี้น่าตกใจอย่างยิ่ง ทำให้ปราณที่แท้จริงของวายุอัสนีพิฆาตสีชาดในร่างกายจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นมาก
พลังของครึ่งเซียนที่ซุกซ่อนอยู่ในสุราเพลิงมังกรและสุราเมฆาอัสนีเติบโตขึ้นภายในร่างกายของจ้าวเฟิง
เมื่อฝึกฝนต่อไปอีกครึ่งเดือน
จ้าวเฟิงถึงจะซึมซับพลังสองส่วนนี้ได้จนหมด ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจในวายุอัสนีพิฆาตสีชาดขึ้นไปอีกขั้น
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งจนทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง และยังจะเพิ่มขึ้นอีก
“วายุอัสนีพิฆาตสีชาดของข้าในตอนนี้ได้เรียนรู้ไปมากกว่าห้าสิบส่วนแล้ว ไม่เสียทีที่เหล้าสองชนิดนี้มีชื่อเสียงเท่าเทียมกันกับสุราเซียนมายา”
จ้าวเฟิงสะท้อนในอก
เขาเพียงแค่ดื่ม ‘สุราเพลิงมังกร’ และ ‘สุราเมฆาอัสนี’ ลงไปไม่กี่อึก
เขาเชื่อว่าหากดื่มอีกครั้ง จะเพิ่มปริมาณแน่นอนแล้วทุ่มเทฝึกตน วายุอัสนีพิฆาตสีชาดนั่นย่อมต้องพัฒนาขึ้นไปได้อีก
ในวันนี้
จ้าวเฟิงนำกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลกลับมาฝึกฝนใหม่อีกครั้ง เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของ ‘วายุอัสนีพิฆาตสีชาด’
ภายใต้อิทธิพลของกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล ก็ทำให้วายุอัสนีพิฆาตสีชาดเปลี่ยนไปมั่นคงยิ่งกว่าเดิม
อุปสรรคเรื่องการกระทบกระทั่งกันของธาตุจึงสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ต้องรู้ว่าจักรพรรดิวายุอัสนีในยามก่อนก็เคยต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้มาแล้ว
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ การกระทบกระทั่งกันของธาตุต่างๆ ในวายุอัสนีพิฆาตสีชาดซึ่งไม่อาจควบคุมได้ เขาจัดการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดเขาก็วางใจได้ และลองหลอมรวม ‘อาวุธสังหาร’ อีกอย่างเข้าไปด้วย
ขวับ!
ศีรษะสีดำไหม้เกรียมปรากฏยังเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
ในฉับพลันนั้นเอง
กลิ่นอายต้องห้ามน่าพรั่นพรึงของเทพเจ้าก็สาดซัดออกมาจากศีรษะสีดำไหม้นั้น
ภายในแหวนเหล็กโบราณ เด็กน้อยครึ่งเซียนและแมวขโมยตัวน้อยใจเต้นด้วยความหวาดกลัว
“ศีรษะอำนาจเทวะ!”
สายตาจ้าวเฟิงมีความตื่นเต้นรอคอยพาดผ่าน
พลังอัสนีจากอำนาจเทวะ นั่นเป็นสิ่งที่ควบคุมพลังดั้งเดิมของผู้ฝึกตนทั้งหมดทั่วโลกนี้