Skip to content

King of Gods 681

King Of Gods

บทที่ 681 ปลีกตัวฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“เจ้ายินดีเดินทางไปดินแดนทวีปกับพวกข้าและหยูเฟยหรือไม่!”

ตวนมู่ชิงมีสีหน้าเคร่งพลางจ้องมองไปที่จ้าวเฟิง

ขณะนี้ในมิติเงียบสงบจนผิดแผก

ตวนมู่ชิงและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบของจ้าวเฟิง

วงหน้างามของจ้าวหยูเฟยแดงก่ำ นัยน์ตาแฝงความเขินอายเล็กน้อย ก้มศีรษะเม้มริมฝีปากอย่างกระวนกระวาย

วินาทีนี้ทั้งสองคนและเศษเสี้ยววิญญาณล้วนรอคำตอบของจ้าวเฟิง

สีหน้าของจ้าวเฟิงไม่คล้อยตามนัก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ

“จ้าวเฟิง หากเจ้ามุ่งหน้าไปดินแดนทวีปกับข้า การคุกคามของจักรพรรดิแห่งความตายจะลดต่ำลงได้” ตวนมู่ชิงพูดขึ้น

การคุกคามจากจักรพรรดิแห่งความตาย คนในที่แห่งนี้ล้วนแต่รู้กันดี

เศษเสี้ยววิญญาณเอ่ยขึ้นอีกว่า “จ้าวเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้ายังห่วงใย ‘คู่หมั้น’ ผู้นั้นอยู่ แต่ว่าโอกาสที่นางจะยังมีชีวิตอยู่แทบเป็นศูนย์”

“เจ้าและหยูเฟยเติบโตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ลึกซึ้งแนบแน่น พลังสายเลือดก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เป็นคู่ที่เหมาะสมไร้ที่ติอย่างแท้จริง”

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอาทฤษฎีมาโน้มน้าวจ้าวเฟิง

นี่ไม่ได้เกี่ยวแต่เพียงความสุขในชีวิตของคนเป็นลูกศิษย์นาง ทว่าอาจช่วยให้แผนการฟื้นฟูตระกูลของตวนมู่ชิงบรรลุผลขึ้นมาได้ด้วย

 

 

เฮ้อ!

จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว กลับผงกศีรษะน้อยๆ “รอให้ข้ารู้ข่าวคราวว่าฉินซินเป็นตายร้ายดีอย่างไรก่อนข้าถึงจะไปดินแดนทวีป มีเพียงวิธีนี้จึงจะเป็นไปตามความตั้งใจเดิมของข้าและไม่หลงเหลืออะไรค้างคาใจอีก”

เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ร่างของจ้าวหยูเฟยสั่นระริก นัยน์ตาพร่ามัวด้วยหยดน้ำ ขอบตาแดงระเรื่อ ประกายระยิบระยับระเหยหายไปในทันที

ตวนมู่ชิงถอนหายใจยาว

เขาและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจึงไม่ได้พูดโน้มน้าวอะไรอีก

ทางเลือกของจ้าวเฟิงเป็นการทำตาม ‘ความตั้งใจเดิม’ ไม่มีการตัดพ้อและไม่เสียใจภายหลัง

ในขณะเดียวกัน นี่ก็เกี่ยวข้องกับขอบเขตพลังของจิตใจ ถ้าหากจ้าวเฟิงทรยศความตั้งใจของตนเอง ก็จะส่งผลร้ายต่อการฝึกบำเพ็ญตนในภายภาคหน้า

จริงอยู่ที่จ้าวเฟิงเองก็รู้ การตามวนมู่ชิงไปจะช่วยลดอันตรายจากคำสั่งล่าสังหารไปได้มากที่สุด

สำหรับหยูเฟ่ยเขามีความรู้สึกดีให้ตั้งแต่เด็ก มิตรภาพเช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งหลอกลวง

แต่ว่า

จ้าวเฟิงเองกลับไม่เคยลืมคำสัญญาของตน ใบหน้างดงามคล้ายตัดพ้อต่อว่า ทั้งสีหน้าบึ้งตึงและยิ้มแย้ม ราวกับยังอยู่ในสายตาเบื้องหน้า

ท่าทางสง่างามสงบเงียบ เรือนร่างอรชรในชุดกระโปรงสีขาวบางเบาคล้ายดั่งเทพธิดาในภาพวาด

ถ้าหากนางยังมีชีวิตอยู่จะยังยึดมั่นในคำสัญญาเมื่อคราก่อนหรือไม่?

แม้ว่าในความคิดของจ้าวเฟิง โอกาสที่หลิวฉินซินจะยังมีชีวิตอยู่แทบเป็นศูนย์ก็ตาม

ขวับ!

จ้าวเฟิงและพวกกลับไปคฤหาสน์จักรพรรดิอีกครั้ง

“จ้าวเฟิง ไม่กี่เดือนหลังจากนี้พวกข้าจะใช้ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ ออกไป เมื่อถึงเวลานั้น หากเจ้าจะมุ่งหน้าไปที่ ‘ดินแดนจิตวิญญาณฝูเมิ่ง’ ก็ต้องใช้ทางนี้” จักรพรรดิตวนมู่เอ่ยกำชับ

จ้าวเฟิงค้อมกายทำความเคารพ แล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไป

“พี่เฟิง ในเมื่อท่านเลือกนางแล้ว หยูเฟยก็จะไม่ไปเป็นมือที่สาม จะขอเดินออกมาเอง”

ใบหน้าของจ้าวหยูเฟยขาวซีดเล็กน้อย มีแววเด็ดเดี่ยวจากการตัดสินใจแล้วอย่างเด็ดขาด

“หยูเฟย…”

จ้าวเฟิงพูดไม่ออก

น้ำเสียงของจ้าวหยูเฟยฟังดูคล้ายอยากจะตัดสัมพันธ์จากเขาทั้งหมด

ขวับ!

จ้าวหยูเฟยหายตัวไปจากที่เดิมในชั่วพริบตา

ตาข้างซ้ายของจ้าวเฟิงกลับสามารถมองทะลุเห็นเค้าโครงของโลกมิติส่วนตัวได้

เขาถอนหายใจยาวแล้วหมุนตัวเดินจากไป

ในซากปรักหักพังสือเฉิง โลกมิติส่วนตัว

“หยูเฟย เจ้าอย่าขุ่นเคืองนักเลย ไม่ช้าเร็วเขาก็ต้องกลับมาอยู่ข้างกายเจ้า”

เศษเสี้ยววิญญาณกล่าวด้วยเสียงปลอบประโลม

น้ำตาบนในหน้างามของหยูเฟ่ยยังไหลไม่หยุด นางขบริมฝีปากแน่น แพขนตากระพือน้อยๆ ดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอมนัก

“แล้วถ้าหากนางยังมีชีวิตอยู่เล่า…..” จ้าวหยูเฟยเจ็บปวดใจเหมือนโดนมีดทิ่มแทง

การเลือกของจ้าวเฟิงมีความหมายแฝงอยู่ ในดวงใจของเขาคู่หมั้นผู้นั้นมาเป็นอันดับหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้นางกังวลใจมากที่สุดคือถ้าหากว่าหลินฉินซินผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้

“เจ้าวางใจเถอะ” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยปลอบใจ “หลิวฉินซินมีโอกาสน้อยมากที่จะยังมีชีวิตอยู่ จ้าวเฟิงก็แค่ทำตามความตั้งใจของเขา มิฉะนั้นเขาจะไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ เจ้าไม่เข้าใจผู้ชาย อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย ”

“อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”

จ้าวหยูเฟยเผยรอยยิ้มทั้งน้ำตา เปรียบดั่งดอกไม้แย้มบานหลังฝนตก สวยสดจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้

แต่ภายในใจของนางยังคงอธิษฐานต่อเทพยดาฟ้าดิน ขอให้หลินฉินซินอย่าได้ปรากฏตัวออกมาเลย

แค่เพียงหลิวฉินซินไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้ว เช่นนั้นก็จะไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งของนาง ในใจของจ้าวเฟิงได้

ณ ยอดเขาจิตวิญญาณหลัก

จ้าวเฟิงกลับไปยังที่ที่ตนอยู่ ภายในใจค่อยๆ สงบลง

ตั้งแต่ลึกซึ้งใน ‘ผลึกน้ำตาเงือก’ ขอบเขตวิญญาณของเขาก็กระจ่างใสดั่งแก้วผลึก

“ยังมีเวลาอยู่อีกสองสามเดือนก็จะต้องออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ข้าต้องรีบฝึกตนเพื่อเพิ่มพลังและทำลายพลังดวงตามรณะ”

จ้าวเฟิงชัดแจ้งในเป้าหมายหลัก

คำสั่งล่าสังหารเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

แล้วในขณะนี้

ราชันธรรมดายากที่จะคุกคามจ้าวเฟิงได้ จักรพรรดิแห่งความตายย่อมต้องลงมือเองอย่างแน่นอน

ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มก้อนในทันที

หนึ่งกลุ่มในนั้นใช้เพื่อลดพลังดวงตามรณะโดยเฉพาะ

ส่วนกลุ่มที่สองใช้เพื่อฝึกฝน ‘วายุอัสนีพิฆาตสีชาด’ รวมทั้งยืมใช้พลังภายนอกจำพวก ‘สุราเพลิงมังกร’  และ ‘สุราเมฆาอัสนี’ เป็นต้น

ส่วนที่สามใช้เพื่อฝึกฝน ‘ปีกวายุอัสนี’ โดยเฉพาะ

ตอนที่อยู่ในอุทยานครึ่งเซียน จ้าวเฟิงทำความเข้าใจ ‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ จนสำเร็จ แล้วเปิดประตูก้าวเข้าสุ่การฝึกวิชาข้ามมิติด้วยศาสตร์อัสนี

“พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของจักรพรรดิวายุอัสนีในยามก่อนก็คือความเร็วที่อยู่เหนือกว่าใครในฟ้าและดิน มี ‘ปีกวายุอัสนี’ เป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งสำคัญใด”

จ้าวเฟิงตระหนักได้ว่า จักรพรรดิวายุอัสนีมีความเร็วเป็นที่หนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิทั้งหลาย

กระทั่งว่าเขาหนีเอาชีวิตรอดจากเซียนจื่อเย่มาได้สำเร็จหลายครั้งหลายคราว

“ถ้าหากข้าทำความเข้าใจในความรวดเร็วของ ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ แล้วสามารถเพิ่มระดับความเร็วจนถึงขีดสุด ต่อให้จักรพรรดิความตายมาเยือนถึงหน้าประตูก็ทำอะไรข้าไม่ได้”

จ้าวเฟิงคาดหวังไว้อย่างยิ่ง

วิชาในใต้หล้านี้ใครดีใครได้

เหตุผลข้อนี้ถึงจะเป็นคนในระดับขั้นจักรพรรดิหรือราชันก็ใช้ได้เช่นกัน

เป้าหมายของมรดกจักพรรดิวายุอัสนีก็คือการโจมตีและความเร็วในขั้นสูงสุด

ด้วยเหตุผลนี้จ้าวเฟิงจึงแบ่งห้วงคิดหนึ่งเอาไว้เพื่อฝึกฝน ‘ปีกวายุอัสนี’ โดยเฉพาะ

ห้วงคิดทั้งสามมีทิศทางสามอย่างแยกกันไปอย่างชัดเจน

ทำลายพลังมรณะให้หมดไปเพื่อคลี่คลายภยันอันตราย

ฝึกฝนวายุอัสนีพิฆาตสีชาดเพื่อเพิ่มความสามารถให้แข็งแกร่ง

ฝึกฝนปีกวายุอัสนีเพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอด

“ลดความอันตราย…เพิ่มพลังให้แข็งแกร่ง…หลบหนีเอาตัวรอด….”

แนวคิดของจ้าวเฟิงชัดเจนและแน่วแน่

นี่เรียกได้ว่าสามอย่างร่วมด้วยช่วยกัน

เพราะว่าฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ซึ่งเป็นศาสตร์วิญญาณที่เหนือธรรมดามากนัก จ้าวเฟิงถึงควบคุมสามอย่างในเวลาเดียวกันเช่นนี้ได้

วันเวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป

หนึ่งเดือนต่อมา

พลังเนตรมรณะในวิญญาณจ้าวเฟิงอ่อนกำลังลงไปช้าๆ

ถึงแม้จะไม่ถือว่ามากมาย แต่อย่างน้อยก็ยังได้ผล

ความลึกซึ้งที่มีต่อ ‘ปีกวายุอัสนี’ ก็เพิ่มมากขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง

หลังจากที่จ้าวเฟิงได้ดื่มกินสุราเซียนมายาเข้าไปก็เข้าใจในสำนึกรู้ราชา ทั้งยังสร้างเจตจำนงดวงตาขึ้นได้

ประตูของวิชาปีกวายุอัสนี ทักษะการต่อสู้ และเคล็ดวิชาต่างๆ

เปิดอ้าให้กับจ้าวเฟิงแล้ว

‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ นั่นยิ่งเชี่ยวชาญขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

จ้าวเฟิงสามารถใช้ปีกวายุอัสนีและ ‘หายตัว’ ไปในเวลาเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้

เคล็ดวิชาต่อสู้บางส่วนของปีกวายุอัสนีเช่น ‘ประกายปีกอัสนี’ และ ‘คมปีกวายุอัสนี’ จ้าวเฟิงก็เริ่มจะเข้าใจในขั้นเบื้องต้นแล้ว

‘ประกายปีกอัสนี’ ใช้เพิ่มความเร็วในการโบยบินของปีกวายุอัสนี

โดยปกติแล้ว ‘ประกายปีกอัสนี’ จะสามารถเพิ่มระดับความเร็วในการโบยบินขี้นได้หลายเท่าไปจนถึงสิบเท่าเลยทีเดียว

เมื่อบรรลุถึงระดับราชัน ความเร็วในการบินเดิมทีก็น่ากลัวอยู่แล้ว

หากยังพยายามเพิ่มความเร็วอีกก็จะผิดธรรมดาอย่างยิ่ง

‘ประกายปีกอัสนี’ สามารถเพิ่มระดับความเร็วได้หลายเท่าเป็นอย่างน้อย แล้วยังเพิ่มได้ถึงสิบเท่าขึ้นไปด้วยซ้ำ

จักรพรรดิวายุอัสนีในอดีตฝึกฝนประกายปีกอัสนีไปจนถึงขั้นสูงสุด จนสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึงสิบหกเท่า

ในขณะนั้น

ขนาดเซียนส่วนหนึ่งยังไม่อาจตามจักรพรรดิวายุอัสนีได้ทัน

แน่นอนว่าประกายปีกอัสนีสิ้นเปลืองพลังอย่างมาก จึงเหมาะที่จะใช้ในเวลาสั้นๆ เท่านั้น

 

ส่วน ‘คมปีกวายุอัสนี’ อีกวิชาหนึ่งเป็นการใช้ปีกอัสนีที่โบกสะบัดด้วยความเร็วสูง ฟาดฟันลงบนร่างของคู่ต่อสู้โดยอาศัยการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว สังหารอีกฝ่ายด้วยความว่องไวระดับสูงสุด

หนึ่งหมื่นปีก่อน

คู่ต่อสู้ที่ตายภายใต้คมปีกวายุอัสนีก็มีจำนวนไม่น้อย มีแม้กระทั่งขอบเขตปราณเทวะบางส่วนด้วย

ฟิ้ว ฟิ้ว~ วิ้ง!

ในอุ้งมือทั้งสองของจ้าวเฟิงปรากฏวายุอัสนีสีชาดที่มีกลิ่นอายทำลายล้างของการเผาไหม้

ในความเป็นจริงแล้ว

ในส่วนของมรดกวายุอัสนี วายุอัสนีพิฆาตสีชาดพัฒนาพลังบริสุทธิ์ไปจนถึงขีดสุดแล้ว

วายุอัสนีสีทองที่อยู่ในขั้นสูงกว่า วายุอัสนีสีทองเข้มจะผสมผสานกับพลังเสวียนอ้าวที่มีความพิเศษบางส่วนของจักรพรรดิวายุอัสนี ทำให้วายุอัสนีพิฆาตสีชาดพิสุทธิ์ขึ้น และสิ้นเปลืองพลังน้อยลง

วายุอัสนีพิฆาตสีชาด พลังของศาสตร์อัสนีชนิดนี้โหดร้ายป่าเถื่อนอย่างยิ่ง

อัสนีและอัคคีล้วนแต่เป็นธาตุที่แข็งแกร่งไปจนถึงขีดสุดในฟ้าดินนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสวียนอ้าวของวายุส่วนหนึ่งด้วย

“วายุอัสนีพิฆาตสีชาดโหดเหี้ยมรุนแรงอย่างมาก ยากที่จะควบคุม เมื่อฝึกฝนจนถึงตอนหลังๆ จะได้รับบาดเจ็บง่ายนัก” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ในขณะที่จักรพรรดิวายุอัสนีฝึกฝนวายุอัสนีพิฆาตสีชาด เคยตกที่นั่งลำบากหรือแม้กระทั่งเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตหลายต่อหลายครั้ง

แต่ทว่า

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงควบคุมการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของวายุอัสนีไว้ได้อย่างแท้จริง

ทุกปัจจัยเป็นไปได้ที่ธาตุจะปะทะกันล้วนแต่โดนเขาค้นเจอเสียก่อน

ในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

เขาดื่ม ‘สุราเพลิงมังกร’ และ ‘สุราเมฆาอัสนี’ ไป

เหล้าทั้งสองชนิดนี้มีชื่อเรียกเดียวกันกับสุราเซียนมายา แบ่งเป็นเจาะจงธาตุไฟและสายฟ้า

แต่ว่าฤทธิ์ของเหล้าทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้รุนแรงบ้าคลั่งธรรมดา

แม้ว่าระดับขั้นชีวิตของจ้าวเฟิงบรรลุไปถึงราชัน การป้องกันทางกายแข็งแกร่ง ร่างกายก็ยังต้องแบกรับฤทธิ์รุนแรงของเหล้าอยู่ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราเพลิงมังกรที่ผสมกลิ่นอายอัคคีของมังกรเพลิงโบราณเข้าไปด้วย

เมื่อดื่ม ‘สุราเพลิงมังกร’ ลงไปแล้ว ทั่วร่างกายของจ้าวเฟิงรู้สึกร้อนรุ่มดังไฟเผา แทบจะ ‘เผาตัวเองตายแล้วเกิดใหม่’ ไปแล้ว

ยังดีที่จ้าวเฟิงมีสายเลือดเหมันต์วารีจึงผ่านวิกฤตนั้นมาได้

ผลของเหล้าสองชนิดนี้น่าตกใจอย่างยิ่ง ทำให้ปราณที่แท้จริงของวายุอัสนีพิฆาตสีชาดในร่างกายจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นมาก

พลังของครึ่งเซียนที่ซุกซ่อนอยู่ในสุราเพลิงมังกรและสุราเมฆาอัสนีเติบโตขึ้นภายในร่างกายของจ้าวเฟิง

เมื่อฝึกฝนต่อไปอีกครึ่งเดือน

จ้าวเฟิงถึงจะซึมซับพลังสองส่วนนี้ได้จนหมด ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจในวายุอัสนีพิฆาตสีชาดขึ้นไปอีกขั้น

พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งจนทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง และยังจะเพิ่มขึ้นอีก

“วายุอัสนีพิฆาตสีชาดของข้าในตอนนี้ได้เรียนรู้ไปมากกว่าห้าสิบส่วนแล้ว ไม่เสียทีที่เหล้าสองชนิดนี้มีชื่อเสียงเท่าเทียมกันกับสุราเซียนมายา”

จ้าวเฟิงสะท้อนในอก

เขาเพียงแค่ดื่ม ‘สุราเพลิงมังกร’ และ ‘สุราเมฆาอัสนี’ ลงไปไม่กี่อึก

เขาเชื่อว่าหากดื่มอีกครั้ง จะเพิ่มปริมาณแน่นอนแล้วทุ่มเทฝึกตน วายุอัสนีพิฆาตสีชาดนั่นย่อมต้องพัฒนาขึ้นไปได้อีก

ในวันนี้

จ้าวเฟิงนำกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลกลับมาฝึกฝนใหม่อีกครั้ง เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของ ‘วายุอัสนีพิฆาตสีชาด’

ภายใต้อิทธิพลของกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล ก็ทำให้วายุอัสนีพิฆาตสีชาดเปลี่ยนไปมั่นคงยิ่งกว่าเดิม

อุปสรรคเรื่องการกระทบกระทั่งกันของธาตุจึงสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ต้องรู้ว่าจักรพรรดิวายุอัสนีในยามก่อนก็เคยต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้มาแล้ว

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ การกระทบกระทั่งกันของธาตุต่างๆ ในวายุอัสนีพิฆาตสีชาดซึ่งไม่อาจควบคุมได้ เขาจัดการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

ในที่สุดเขาก็วางใจได้ และลองหลอมรวม ‘อาวุธสังหาร’ อีกอย่างเข้าไปด้วย

ขวับ!

ศีรษะสีดำไหม้เกรียมปรากฏยังเบื้องหน้าจ้าวเฟิง

ในฉับพลันนั้นเอง

กลิ่นอายต้องห้ามน่าพรั่นพรึงของเทพเจ้าก็สาดซัดออกมาจากศีรษะสีดำไหม้นั้น

ภายในแหวนเหล็กโบราณ เด็กน้อยครึ่งเซียนและแมวขโมยตัวน้อยใจเต้นด้วยความหวาดกลัว

“ศีรษะอำนาจเทวะ!”

สายตาจ้าวเฟิงมีความตื่นเต้นรอคอยพาดผ่าน

พลังอัสนีจากอำนาจเทวะ นั่นเป็นสิ่งที่ควบคุมพลังดั้งเดิมของผู้ฝึกตนทั้งหมดทั่วโลกนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version