Skip to content

King of Gods 680

King Of Gods

บทที่ 680 ราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป

เจตจำนงดวงตาของจ้าวเฟิงเอาชนะพลังขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันของจ้าวหยูเฟยได้ในกระบวนท่าเดียว

ในระดับชั้นวิญญาณ

จิตสำนึกและดวงวิญญาณของจ้าวหยูเฟยหนาวเหน็บสั่นสะท้านเมื่อถูกกดดันเข้าจังๆ ใบหน้างดงามแดงก่ำ

นี่ขนาดนางมีกำลังหนุนของโลกมิติส่วนตัวด้วย

เจตจำนงดวงตาจ้าวเฟิงคือพลังน่าสะพรึงกลัวที่ทะลุผ่านทั้งรูปธรรมและนามธรรม มากพอที่จะกดข่มราชันในขอบเขตปราณเทวะธรรมดาได้

“โซ่ตรึงวิญญาณ!”

เส้นอัสนีสีม่วงเข้มที่โปร่งแสงตรงเข้ารัดร่างของจ้าวหูเฟยด้วยการชี้นำจาก ‘เจตจำนงดวงตา’

โซ่ตรึงวิญญาณนี้จะเรียกว่าคุกกักวิญญาณก็ได้เช่นกัน

แก่นแท้ของมันคือมัดดวงวิญญาณของเป้าหมายเอาไว้

เมื่อดวงวิญญาณถูกมัดและกักขังแล้ว กำลังรบที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็เป็นเพียงแค่แรงที่ไร้ค่าเท่านั้น

“ร่างของข้า…”

จ้าวหยูเฟยดิ้นรน ทั่วร่างปลดปล่อยระลอกแสงสีม่วงแวววาวที่มีอานุภาพรุนแรง

ผิวทั่วร่างกายของนางส่องสว่างเป็นประกาย ประหนึ่งเป็นเทพธิดาผลึกน้ำแข็ง

ทว่าถึงพลังของชั้นรูปธรรมจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากมายกับระดับชั้นวิญญาณ

‘เจตจำนงดวงตา’ ของจ้าวเฟิงทะลวงผ่านทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทำให้พลังของวิชาดวงตาวิญญาณบรรลุไปจนถึงขั้นสุดยอด ยิ่งเข้าใกล้พลังอันมหาศาลของขั้นราชันไปทุกที

“เขาวงกตไร้จุดจบ!”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมีสีม่วงคล้ายภาพลวงตา เลือนรางคล้ายถูกบดบังด้วยหมอกควัน

“หยูเฟย อย่ามองดวงตาของเขา!” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยเตือน

แต่ว่าคำเตือนของนางช้าไปเสียแล้ว

วูบ!

ภาพเบื้องหน้าของจ้าวหยูเฟยเปลี่ยนเป็นเขาวงกตที่มีหมอกหนาลอยวนในทันที

เขาวงกตแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใหญ่ แต่ไม่ว่านางจะเดินอย่างไรก็ล้วนแต่ไม่มีสิ้นสุด

หนึ่งชั้น สองชั้น สามชั้น… เขาวงกตนั้นขยายออกอย่างไร้จุดจบ

“เขาวงกตไร้จุดจบคือเมืองวงกตมายาแบบที่เพิ่มความแข็งแกร่ง ทำให้จิตใต้สำนึกของสิ่งมีชีวิตตกลงไปในเขาวงกตที่ไม่มีวันสิ้นสุด”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นยิ้มเย็น

หลังจากดวงตาเทพเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว วิชาดวงตาแขนงวิญญาณของเขาให้ความรู้สึกราวกับว่าเรียกลมเรียกฝนได้

ในมิติดวงตาข้างซ้าย

ทะเลวิญญาณสีม่วงมีเส้นผ่านศูนย์กลางขยายไปเป็นพันจั้ง แสดงถึงพลังดวงตาที่มีจำนวนมหาศาล

ทะเลสาบสีฟ้าในอดีตมีอาณาเขตเพียงหนึ่งในสิบของมันเท่านั้น

เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว วิชาดวงตาวิญญาณของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดทีเดียว

“หยูเฟย เจ้าต้องตั้งสติและพึ่งพลังของตนเองเพื่อทำลายขอบเขตลวงตานี้” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงกล่าวขึ้น

พลังเศษเสี้ยววิญญาณแทรกผ่านโลกมิติส่วนตัวเข้าไปในวิญญาณของจ้าวหยูเฟย

จ้าวหยูเฟยรู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของตนเองพัฒนาเพิ่มขึ้นมาก ‘เขาวงกตไร้จุดจบ’ ที่ปรากฏในครรลองสายตาเบื้องหน้าพลันอับแสงลง แล้วกลายเป็นเงาว่างเปล่ากึ่งโปร่งแสง

“ไม่เสียทีที่เป็นเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง” จ้าวเฟิงชื่นชมในใจ

โครม ฉัวะ!

เขาวงกตไร้จุดจบแตกละเอียดต่อหน้าจ้าวหยูเฟยอย่างรวดเร็ว

แต่ว่านางยังไม่ทันได้ดีใจ

“หนามจิตวิญญาณ! ”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปลดปล่อยหนามแหลมจิตวิญญาณสีม่วงอ่อนที่เย็นเยียบตรงดิ่งไปทางจ้าวหยูเฟย

หนามจิตวิญญาณเป็นการโจมตีวิญญาณที่ดั้งเดิมที่สุดและง่ายที่สุด

ภายใต้เจตจำนงดวงตา ‘หนามจิตวิญญาณ’ ทะลวงผ่านชั้นรูปธรรมและนามธรรม หนามแหลมคมทิ่มแทงเข้ามา ในขณะที่การโจมตียังไม่ทันถึงร่างก็มีเสียงอึกทึกครึกโครม แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้เศษเสี้ยววิญญาณธรรมดาแตกกระสานซ่านเซ็น

 

ฟุ่บ!

จ้าวหยูเฟยหรือกระทั่งเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงถูกโจมตีจนตั้งไม่รับ

ความเจ็บปวดจากการถูกหนามทิ่มแทงออกมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ

ความรุนแรงของ ‘หนามจิตวิญญาณ’ ในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่ายามประมือกับ

ถูจิ่วเซินที่อุทยานครึ่งเซียนเกือบสิบเท่า!

จ้าวหยูเฟยขมวดคิ้ว ใบหน้าตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขณะเค้นเสียงเบาๆ

ความเจ็บปวดจากการถูกหนามทิ่มแทงกระจายไปทั่วร่างกายและจิตใจของนาง ดวงวิญญาณย่อมเกิดอาการบาดเจ็บเล็กน้อย

นี่ขนาดว่ามีเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเป็นกำลังหนุนของนางอยู่

“เนตรมารจู่โจม!”

ในอากาศ ‘เงาเนตรมายาสีม่วง’ ที่ไร้รูปร่างทะลวงเข้าไปในดวงวิญญาณของจ้าวหยูเฟยด้วยสภาพของเจตจำนงดวงตา

ความเจ็บปวดในวิญญาณของจ้าวหยูเฟยยังไม่ทันหาย ร่างกายก็โดนโจมตีอีกครั้ง

วิชาดวงตาวิญญาณที่บ้าคลั่งรุนแรงเข้าครอบครองสตินึกคิดของนาง กระทั่งว่าทะลวงเข้าไปในเส้นประสาทด้วยซ้ำ

“เกิดอะไรขึ้น…”

จิตใต้สำนึกและความคิดของจ้าวหยูเฟยถูกควบคุมด้วยเจตจำนงดวงตา แต่ร่างกายไม่ถูกควบคุมไปด้วย

สมองของนางเกิดความรู้สึกหลอนจากฝันร้าย สภาพจิตใจสับสนวุ่นวายในเวลาเดียวกัน

 

“เนตรมารจู่โจม? ขั้นตอนเหมือนกับวิชาเทพมารจู่โจม แต่กลับใช้รูปแบบของวิชาดวงตาวิญญาณเรียกมันออกมา”

ตวนมู่ชิงกล่าวด่วยเสียงต่ำ

เนตรมารจู่โจมถือได้ว่าเป็นวิชาดวงตาวิญญาณขั้นสูง จนถึงขั้นว่าเป็นวิชาต้องห้าม

วิชานี้จ้าวเฟิงฝึกฝนมากจาก ‘ตำราหมิงถง’ และผสานรวมกับกับวิชาดวงตาเทพเจ้าของตนเพื่อให้สมบูรณ์ไปอีกขั้นหนึ่ง

บนพื้นฐานของหนามจิตวิญญาณ ความคิดและจิตใต้สำนึกของจ้าวหยูเฟยถูกหนามทิ่มแทงจนรู้สึกสับสนวุ่นวาย ความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆ ก็ลดลง

จ้าวเฟิงอาศัยโอกาสนี้เรียกวิชา ‘เนตรมารจู่โจม’ ออกมาสมบูรณ์ในครั้งเดียว

ในเวลาดังกล่าว จ้าวหยูเฟยรู้สึกกระสับกระส่าย แทบทั้งร่างกายได้รับผลกระทบจากจ้าวเฟิง

ถ้าหากเข้าใกล้ไปอีกก้าว จ้าวเฟิงอาจจะควบคุมร่างกายของนางก็เป็นได้

“หยูเฟย มีเพียงขอบเขตจิตวิญญาณของเจ้าเท่านั้นที่ไม่มากพอ ถึงแม้ว่าจะมีพลังชดเชยของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงก็ตาม” จ้าวเฟิงกระซิบแผ่วเบา

เขาจำกัดกระบวนท่า ‘เนตรมารจู่โจม’ ให้อยู่ในอาณาเขตที่เหมาะสม แล้วใช้สภาพการณ์ต่างๆ ควบคุมและส่งผลกระทบต่อความคิดของจ้าวหยูเฟย

ในระยะเวลาสั้นๆ

จ้าวหยูเฟยก็ตกอยู่ในขั้น ‘จิตใจขัดแย้ง’ เสมือนว่าโดนโจมตีจากเนตรมารจริงๆ จนธาตุไฟเข้าแทรก

จ้าวเฟิงใช้วิชา ‘เนตรมารจู่โจม’ ตัวเขาเองก็เปรียบเหมือนกับ ‘เทพมารจากภายนอก’ ที่รุกรานเข้ามาในความคิดของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เพื่อให้เป้าหมายลุ่มหลงมัวเมาหรือกระทั่งล้างสมองของอีกฝ่าย เพื่อที่จะได้ควบคุมลึกซึ้งไปอีกขั้น

“ศาสตร์วิญญาณของจ้าวเฟิงบรรลุมาถึงขั้นนี้แล้ว”

ตวนมู่ชิงและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงไม่รู้สึกประหลาดใจ

ทั้งสองไม่ได้ขัดขวางจ้าวเฟิงแต่อย่างใด

เมื่อวิชาเนตรมารจู่โจมอยู่ในอาณาเขตที่เหมาะสม สำหรับจ้าวหยูเฟยแล้วก็คือการชะล้างและขัดเกลาขอบเขตดวงวิญญาณอย่างหนึ่ง

เวลาครึ่งชั่วยามต่อมา

จ้าวหยูเฟยเหงื่อไหลโทรมกาย นางใช้จิตใจที่มั่นคงจัดแจง ‘กำจัดจิตมาร’ ที่อยู่ภายในร่างกายทิ้งไป

เมื่อเสร็จสิ้นขั้นนี้ไปเรียบร้อยแล้ว จ้าวหยูเฟยใบหน้าซีดเซียวด้วยแทบจะใช้พลังทั้งหมดที่มี

“สามกระบวนท่าได้จบลงแล้ว ผลการประลองแลกเปลี่ยนวิชาในครั้งนี้จบลงที่เสมอก็แล้วกัน” จ้าวเฟิงเอ่ยยิ้มๆ

การต่อสู้ในระดับชั้นวิญญาณอันตรายมากเกินไป ไม่เหมาะกับการประลองแลกเปลี่ยนวิชาธรรมดา

แต่ถ้าหากเป็นการประลองแลกเปลี่ยนวิชาตามกฏกติกาทั่วไปแล้วล่ะก็ จ้าวเฟิงอาจจะโดนจ้าวหยูเฟยเอาชนะไปได้แล้ว

“สายเลือดดวงตาของพี่จ้าวเฟิง ไม่เสียทีที่อาจจะเป็นเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า”

ภายในใจของจ้าวหยูเฟยยังคงมีร่องรอยของหวาดกลัวหลงเหลืออยู่

เกี่ยวกับความน่าจะเป็นที่จ้าวเฟิงอาจจะครอบครองดวงตาเทพเจ้า ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงก็ไม่ได้เป็นความลับสำคัญอะไรแล้ว

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตวนมู่ชิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อถึงตอนนี้ได้เห็นความน่ากลัวของกำลังรบจ้าวเฟิง จึงเชื่อเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

ถ้าหากสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเป็นดวงตาเทพเจ้าจริงๆ เกรงว่าพรสวรรค์อาจจะเทียบเท่ากับสิบอันดับแรกในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์!

หลังผ่านการสู้ครั้งนี้

จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวในสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของจ้าวหยูเฟยก็ปรากฏขึ้นทั้งหมด

“สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณประเภทนี้ ในแต่ละด้านล้วนแต่เกือบจะสมบูรณ์ ถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียก็คือชั้นวิญญาณไม่ได้ ‘โดดเด่น’ อะไร แต่ก็อยู่เหนืออัฉริยะธรรมดาไปมาก”

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงทอดถอนใจ

ในความเป็นจริงแล้ว พรสวรรค์ดวงวิญญาณของจ้าวหยูเฟยไม่ได้เลวร้ายนัก เพียงแแต่เมื่อเทียบกับคุณสมบัติวิญญาณของนาง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งของการฝึนบำเพ็ญปราณที่แท้จริงกลับเชื่องช้าเกินไป

“พอดีกับที่พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงค่อนไปทางแขนงวิญญาณ ถ้าหากทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว จะต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่ไร้เทียมทาน สามารถสั่นสะเทือนฟ้าและดินได้”

เสียงของตวนมู่ชิงลอยเข้ามา

สายเลือดของจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยต่างก็มีจุดแข็งของตน อีกทั้งยังเติมเต็มอีกฝ่ายได้พอดี

“นั่นสิ ถ้าจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยอยู่ร่วมกัน ในอนาคตการที่จะทำให้

‘สกุลตวนมู่’ กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งก็ไม่มีอุปสรรคใด”

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ในมิติของจักรพรรดิ

จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ยังไม่ได้ออกไปไหน

“พี่เฟิง ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกท่าน”

จ้าวหยูเฟยเชิดหน้าขึ้นเอ่ยอย่างจริงจัง

จ้าวเฟิงชะงักไปก่อนผงกศีรษะ

“ข้าสืบทอดมรดกที่หลงเหลือและพลังของท่านอาจารย์สือเฉิง และรับปากว่าจะทำให้ความปรารถนาในใจนางสำเร็จลุล่วง นั่นก็คือ…การกอบกู้บ้านสกุลมู่”

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินดังนั้น ภายในใจก็สั่นสะท้านขึ้นน้อยๆ

สกุลตวนมู่ นั่นไม่ใช่ตระกูลของตวนมู่ชิงและเซียนจื่อเย่ในอดีตรึ?

“ดังนั้น จากนี้ไม่นานข้าต้องตามอาจารย์ตวนมู่เดินทางไปยัง ‘ดินแดนทวีป’ ” จ้าวหยูเฟยเอ่ยอธิบาย

สกุลตวนมู่? ดินแดนทวีป?

จ้าวเฟิงยังคงมึนงง คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้

ดินแดนทวีปก็คือเขตพื้นที่ที่อยู่ในระดับสูงกว่า ‘ดินแดนหมู่เกาะ’

ทวีปบุปผาครามที่จ้าวเฟิงเคยอยู่ในอดีตก็เป็นเพียงแค่ดินแดนหมู่เกาะขนาดเล็กที่กำลังตกต่ำลง

หลังจากการล่มสลายในยุคบรรพกาล ฝุ่นธุลีก่อตัวรวมกันเป็นดินแดนอีกฟากหนึ่ง ซึ่งก็คือดินแดนหมู่เกาะเหล่านั้น

แต่ว่านอกจากฝุ่นธุลีเหล่านั้น ยังมีเศษชิ้นส่วนขนาดใหญ่บางส่วนกลายเป็น ‘ทวีป’ ที่อยู่ในขั้นสูงกว่า

นี่ต่างหากถึงจะเป็นทวีปที่แท้จริง!

สำหรับตำนานพวกนี้ ก่อนที่จ้าวเฟิงจะเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิงครั้งแรกก็ได้ยินมาจากปากอัจฉริยะต่างแดน

“จ้าวหยูเฟยสืบทอด ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ แล้วสรรสร้างโลกมิติส่วนตัว ได้รับมรดกสือเฉิงนับว่าเป็นโอกาสยิ่งใหญ่สะเทือนเลือนลั่น แต่ว่านางก็ยังต้องบรรลุภารกิจส่วนหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนด้วย”

ภายในใจของจ้าวเฟิงเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

หากได้มาก็ต้องจ่ายไป นี่คือภารกิจที่จ้าวหยูเฟยต้องแบกรับไว้

ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงอดจะครุ่นคิดไม่ได้ว่า ‘ดวงตาเทพเจ้า’ ที่ตนได้รับมาจะมีความปรารถนาใดฝากฝังไว้ที่เจ้าของหรือไม่?

ดวงตาจ้าวหยูเฟยเป็นประกายกระจ่างใสและแน่วแน่

“ด้วยสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของหยูเฟ่ย มีเพียงต้องไปอยู่ในทวีปที่ยิ่งใหญ่กว่า ถึงจะสามารถขุดเอาศักยภาพที่แท้จริงของนางออกมาได้ พวกเราจะต้องทำให้นางกลายเป็นยอดฝีมือในแผ่นดิน!”

ในดวงตาตวนมู่ชิงปรากฏแววกระหายการต่อสู้ที่หาได้ยากยิ่ง

“ดินแดนทวีปตกลงเป็นสถานที่อย่างไรกันแน่?” จ้าวเฟิงสนใจใคร่รู้

ตวนมู่ชิงและตวนมู่จื่อเย่ ในอดีตล้วนแต่มาจากดินแดนทวีปนั้น

“ในทวีป น่าจะเท่ากับอำนาจของสำนักระดับสี่ดาว กระทั่ง ‘ชางไห่’ ที่พวกเราอยู่รวมไปถึง ‘ทะเลแดนใต้’ ในละแวกนี้ ตามทฤษฎีล้วนเป็นขอบอาณาเขตของ ‘ราชวงศ์’ ” ตวนมู่ชิงยิ้มออกมา

 

อะไรกัน!

จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีท่าตกใจ แทบไม่อยากจะเชื่อ

เช่นนั้นก็พูดได้ว่า

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ว่านเซินต่างๆ ในดินแดนทะเลจำนวนมาก ดินแดนหมู่เกาะนับไม่ถ้วนที่ถูกปกครองล้วนเป็นชายแดนของอำนาจราชวงศ์งั้นรึ?

ฟังแล้วเหมือนเป็นเรื่องโกหกคำโตที่น่าตกใจแท้ๆ!

“ในยุคที่ ‘ราชวงศ์’ รุ่งโรจน์ที่สุด สามารถออกคำสั่งต่อดินแดนทะเลความว่างเปล่าได้จริง แต่ในตอนนี้…”

ตวนมู่ชิงถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

ราชวงศ์ แผ่นดินใหญ่

จ้าวเฟิงคิดทบทวนไปมาก็นึกขึ้นได้ทันทีถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘ราชวงศ์’

ทวีปบุปผาครามในอดีต ราชวงศ์ถือเป็นเรื่องต้องห้ามมาโดยตลอด

ราชวงศ์ที่เคยรุ่งโจน์ในช่วงเวลาหนึ่งถูกทำลายจนย่อยยับไปในคืนเดียว

ดังนั้นในทวีปบุปผาคราม จึงมีอาณาจักรเล็ก อาณาจักรแข็งแกร่ง อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีราชวงศ์เป็นของตนเอง

ตอนนี้เขาคิดออกแล้ว

เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดการก่อตั้งราชวงศ์ถึงเป็นเรื่องต้องห้าม

คิดอยู่เนิ่นนาน

ทวีปบุปผาคราม ดินแดนเกาะเทียนหลู กระทั่งชางไห่ที่ยิ่งใหญ่ สามดินแดนจิตวิญญาณล้วนเคยเป็นขอบเขตอำนาจของราชวงศ์

เพียงแต่ตอนนี้อิทธิพลของราชวงศ์ไม่เท่าเมื่อก่อน

แต่ถึงอย่างนั้น ราชวงศ์ก็ยังคงมีความน่ากลัวอยู่

“จ้าวเฟิง มิตรภาพระหว่างเจ้ากับหยูเฟย ข้าและท่านอาเห็นอยู่เสมอ”

ตวนมู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขณะมองไปทางจ้าวเฟิง

“ความหมายของท่านอาจารย์คือ…”

จ้าวเฟิงพอจะคาดเดาได้

“เจ้ายินดีเดินทางไปดินแดนทวีปกับพวกข้าและหยูเฟยหรือไม่!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version