บทที่ 679 ยอมรับความพ่ายแพ้
“ประลองแลกเปลี่ยนวิชากัน?”
จ้าวเฟิงได้ยินก็ใจเย็นวาบ ขาแทบจะโซเซ
จ้าวหยูเฟยในวันนี้ไม่เหมือนอย่างวันก่อนๆ ที่ผ่านมา
เมื่อสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณในตัวนางตื่นขึ้น ก็ได้ทำลายเส้นแบ่งขอบเขตพลังจนกล้าท้าทายคนในขั้นราชันได้ราวกับเป็นปฏิหาริย์
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองเห็นการประลองเมื่อครู่อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ไม่ว่าจะเป็นกำลังรบของหนานกงเซิ่งหรือว่าจ้าวหยูเฟย ก็รุนแรงมากพอจะทำให้คนเพิ่งตื่นจากหลับลึกอย่างเขาทำได้เพียงแหงนหน้ามองดู เรียกได้ว่าเป็นการเปิดทางอะไรหลายอย่างให้แก่เขา
“ทำไมล่ะ…หรือว่าพี่เฟิงไม่กล้า?” จ้าวหยูเฟยเอ่ยแล้วแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
จ้าวเฟิงกลอกตาใส่
“ตั้งแต่ในวัยเด็กสมัยตระกูลจ้าว หยูเฟยทำได้เพียงเดินตามเงาของท่านเท่านั้น”
แพขนตาของจ้าวหยูเฟยขยับแผ่วเบา ใบหน้างามหวนระลึกถึงอดีต
“เมืองประกายอรุณ…สกุลจ้าว…” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
เวลาผ่านไปหลายปีเพียงชั่วพริบตาเดียว
สกุลจ้าวที่ยิ่งใหญ่ในสายตายามก่อน ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป มันเป็นยามเยาว์วัยที่ยาวนานมากมายเพียงใดกัน?
ยามนี้
ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยังเหมือนเดิม สนิทชิดเชื้อกันยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
แต่ที่ต่างไปคือ คนทั้งสองในขณะนี้ยืนอยู่เหนืออัจฉริยะของดินแดนเกาะมากมาย
จาก ‘คำพูดกระตุ้น’ ของจ้าวหยูเฟย จ้าวเฟิงก็ยังสงบนิ่งดังเก่า มีเพียงอาการหวนคิดถึงอดีตเล็ดลอดออกมาเท่านั้น
“ได้! ข้ารับคำท้าประลองของเจ้า”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงแต้มรอยยิ้ม ยังคงสงบนิ่งมั่นใจอย่างที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าเขาเผชิญหน้ากับจ้าวหยูเฟยในตอนนี้ จะมีโอกาสเอาชนะได้ไม่มากเท่าไหร่
จ้าวหยูเฟยมองมาที่เขา แววตาสุกใสเกิดเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงระเรื่อ
บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินในครรลองสายตา ภาพจำของเขาในใจนางเหมือนไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย
“เริ่มได้!”
จักรพรรดิตวนมู่หัวเราะเสียงดัง พลังมหาศาลของจักรพรรดิปกคลุมจ้าวหยูเฟยและจ้าวเฟิงที่อยู่ด้านข้าง
ขวับ!
ภาพเบื้องหน้าสั่นไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วคนทั้งหมดก็ปรากฏอยู่ในมิติสีฟ้าที่กว้างไกล
สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาคือความเขียวขจี เนินเขา พื้นหญ้า แอ่งทะเลสาบ และป่าไม้
“ท่านอาจารย์ ที่นี่คือมิติที่ท่านบุกเบิกเองเช่นนั้นหรือ?” ใบหน้าของจ้าวหยูเฟยฉายแววตกใจ
มิติที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่แค่ภาพมายา แต่ว่าเป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง ทั้งยังเต็มไปด้วยพลังในธาตุไม้จำนวนมหาศาล
แน่นอนว่าเมื่อเปรียบกับซากปรักหักพังสือเฉิงและอุทยานครึ่งเซียนแล้ว มิติรูปธรรมนี้ก็เป็นเพียงแค่ภาพจำลอง
ราชันกับจักรพรรดิ เซียนและครึ่งเซียน ความต่างของพวกเขามองเพียงปราดเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจน
ราชันทั่วไป อย่างมากที่สุดคือสรรสร้างเขตแดนพื้นที่มิติขึ้น แต่ว่าไม่ใช่มิติที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
แต่จักรพรรดิสามารถสร้างพื้นที่มิติที่เป็นรูปธรรมได้อย่างแท้จริง
“ไม่แปลกประหลาดอะไรหรอก ด้วยจุดเด่นของดวงตาเทพเจ้าและระดับชั้นวิญญาณในตอนนี้ของเจ้า การสร้างมิติก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม” ตวนมู่ชิงเอ่ยยิ้มๆ
การสร้างพื้นที่มิติ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะต้องมีดวงวิญญาณแข็งแกร่งกับระดับขั้นของสำนึกรู้
ข้าเองก็อาจจะทำเช่นนั้นได้หรือ?
จ้าวเฟิงแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อคาดการณ์ดู ตนเองในอดีตที่ผ่านมาก็สามารถสร้างมิติคุกลวงตา รวมไปถึงเมืองวงกตมายาได้ ถึงแม้ว่าพวกนั้นล้วนแต่เป็นมิติที่สร้างจากมายาในจิตวิญญาณ
แต่ว่า
ขอเพียงแค่ดวงวิญญาณและขอบเขตพลังแข็งแกร่ง ก็สามารถทำให้มิติที่สร้างจากจิตวิญญาณกลายเป็นอาณาเขตขึ้นมาได้ หรือแม้แต่กระทั่งทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นได้!
ตวนมู่ชิงเป็นจักรพรรดิที่สามารถทำให้พื้นที่มิติกลายเป็นรูปธรรม
แน่นอนว่าเขาไม่เพียงแต่ทำให้เป็นรูปธรรมได้ มิติเช่นนี้ก็ยังพอจะเรียกว่า ‘โลกมิติส่วนตัว’ ได้เหมือนกัน
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีระบบระเบียบของโลก
วัตถุข้างในนั้นกับวัตถุจริงในโลกภายนอกย่อมมีความแตกต่างกันอยู่
เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนความแตกต่างของดอกไม้สดและดอกไม้ประดับ ภูเขาจริงกับภูเขาปลอม
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คราวนี้ ทำให้ระดับขั้นของดวงตาอยู่เหนือกว่าที่ผ่านมามากนัก
“สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ สำหรับผู้ฝึกตนจำนวนนับร้อยล้านบนผืนพสุธาก็นับได้ว่าเป็นวิธีในตำนานที่คนพวกนั้นไม่มีทางไล่ตามทันแล้ว”
จ้าวเฟิงสำรวมจิตใจ
รอให้เขาทะลวงผ่านขั้นราชันให้ได้ก่อน จะต้องลองสร้างเขตแดนมิติให้ได้
มิติของจักรพรรดิเป็นผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่ม
จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยยืนประจันหน้ากันจากที่ไกลๆ
“ข้าจะจำกัดพลังของพวกเจ้า” ตวนมู่ชิงเปิดปากเอ่ย
ห้วงความคิดของเขาขยับเพียงเล็กน้อย พลังมหาศาลในฟ้าและดินก็ลอยละลิ่วลงบนร่างของคนทั้งสอง
ฉับพลันใจจ้าวเฟิงก็หนักอึ้ง
ที่นี่คือโลกขนาดย่อมของจักรพรรดิ พลังของตวนมู่ชิงคือ ‘มติสวรรค์’ ของที่นี่
“พลังจะถูกกดไว้ให้เหลือหนึ่งในสิบ” ตวนมู่ชิงผงกศีรษะน้อยๆ
ถ้าหากไม่จำกัดพลังเอาไว้ ด้วยกำลังรบในขั้นราชันของจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟย เกรงว่าจะทำให้มิติขนาดเล็กของเขาพังพินาศเอาได้
“พี่จ้าวเฟิง ท่านควรระวังตัวเอาไว้”
จ้าวหยูเฟยยิ้มมุมปาก แล้วร่างกายก็เปล่งแสงสีม่วงออกมา นางกลายเป็นลำแสงแล้วหายวับไป
รวดเร็วเสียจริง! ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถมองเห็นร่องรอยความเร็วของจ้าวหยูเฟยได้อย่างปรุโปร่ง
สิ่งที่ควรรู้คือ ในมิติของจักรพรรดิ พลังของทั้งสองถูกจำกัดเอาไว้ที่หนึ่งในสิบเท่านั้น
สถานการณ์แบบนี้ จ้าวหยูเฟยยังคงรวดเร็วได้ขนาดนี้ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“วงแหวนวายุอัสนี!”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเบา ร่างกายล้อมรอบไปด้วยกระแสวายุอัสนีสีม่วงสีสว่างเจิดจ้า แสงวงแหวนสว่างไสวพุ่งทะลวงออกไปทั้งแปดทิศ
ฟุ่บ โครม ตูม!
ลำแสงแวววาวสีม่วงบนร่างของจ้าวหยูเฟยแข็งแกร่งจนน่าตกใจ ต้านรับแรงปะทะของลำแสงวงแหวนนั่นเอาไว้
มองข้ามวายุอัสนีพิฆาตของจ้าวเฟิงไปทั้งอย่างนั้น!
จ้าวเฟิงหน้าขึ้นสีไปชั่วขณะหนึ่ง
จากนั้นกลิ่นหอมที่คุ้นเคยก็ใกล้เข้ามา
วูบ!
มือขาวนวลของจ้าวหยูเฟยโบกน้อยๆ ประกายแสงสีม่วงกลุ่มก้อนนั้นตรงดิ่งมาหาจ้าวเฟิง
ทันใดนั้น
ปราณที่แท้จริงและสายเลือดภายในร่างจ้าวเฟิงก็รู้สึกหายใจติดขัด เคลื่อนไหวยากลำบาก
ไม่ว่าจะเป็นระดับปราณที่แท้จริงหรือว่าพลังสายเลือด จ้าวหยูเฟยก็สะกดเขาเอาไว้
“ทำลาย!”
จ้าวเฟิงตะโกนเสียงดังกึกก้อง บนผิวกายมีลวดลายสีม่วงลักษณะคล้ายเกล็ด ระลอกคลื่นสีฟ้าสั่นกระเพื่อม
สายเลือดป้องกันและพลังสายเลือดวารีค่อยๆ สำแดงเดชออกมา
ในเวลาเดียวกัน
กลางฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏวายุอัสนีสีชาด กำปั้นของเขาเหมือนกับลมพายุที่เผาผลาญลุกโชนด้วยสีแดง พร้อมที่จะโผเข้าโจมตี
“วายุอัสนีพิฆาตสีชาด” ดวงตาของจักรพรรดิตวนมู่สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย
วายุอัสนีพิฆาตของจ้าวเฟิงลึกซึ้งอย่างยิ่งแล้ว ทั้งยังควบคุมระดับพลังไฟไว้ได้ถึงสามส่วน
เปรี้ยง!
แสงแวววาวสีม่วงนั้นสว่างเจิดจ้า พลังอำนาจของหมื่นเผ่าพันธุ์ที่อยู่เหนือทุกสิ่งทำลายกำปั้นเพลิงจนแหลกละเอียด
โครม…ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!
จ้าวเฟิงถอยร่นไปสามก้าวติดกัน เลือดลมในกายปั่นป่วน
ปราณที่แท้จริงของคนทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับขั้นเดียวกันเลย
ถ้าหากจ้าวเฟิงไม่มีสายเลือดป้องกันหรือแก่นแท้ชีวิตที่อยู่เหนือกว่าราชันที่แท้จริง เกรงว่าน่าจะโดนโจมตีจนลอยละลิ่วแล้ว
“ไม่เสียทีที่เป็นสายเลือดของเผ่าพันธุ์วิญญาณ”
จ้าวเฟิงสูดหายใจลึก การประลองครั้งนี้มีความกดดันอย่างมาก
ถึงแม้ว่าดวงตาเทพเจ้าของเขาจะผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่กลับไม่มีส่วนช่วยอะไรมากนักกับพลังในระดับรูปธรรม
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี ความเร็ว หรือการป้องกันของจ้าวหยูเฟยก็ล้วนแต่ไร้ช่องโหว่
“คิกคิก ข้าเพิ่งจะใช้พลังไปแค่สี่ห้าสิบส่วนเท่านั้น” จ้าวหยูเฟยยิ้มเบิกบานราวดอกไม้แรกแย้ม
นับตั้งแต่สกุลจ้าวมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสามารถกดดันจ้าวเฟิงได้อย่างชัดเจน
“ปีกวายุอัสนี!”
ปีกวายุอัสนีคู่หนึ่งที่งอกออกมาจากหลังของจ้าวเฟิง เป็นประหนึ่งปีกอัสนีสีม่วงแดงที่เผาผลาญ มีกลิ่นอายทำลายฟ้าทะลวงแผ่นดิน
ขวับ แซ่ด!
ทั้งความเร็วและการโจมตีของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในวินาทีนี้ พลังในการต่อสู้ของเขาเข้าใกล้ระดับขั้นราชันไปทุกที
จ้าวเฟิงใช้วิธีการปะทะในระยะประชิด เพื่อที่จะได้สำแดงข้อได้เปรียบด้านพลังกายของเขา
ถึงแม้ปราณที่แท้จริงของจ้าวหยูเฟยจะแข็งแกร่งแตะไปถึงระดับราชันแล้ว แต่ระดับขั้นชีวิตและพลังร่างกายก็ยังไม่เท่าจ้าวเฟิง
เปรี้ยง!
วายุอัสนีสีชาดและลำแสงผลึกสีม่วงปะทะเข้าหากัน ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นไม่ขาด พลังที่หลงเหลือเป็นส่วนเกินทำให้พื้นดินเกิดหลุมลึกขนาดหลายสิบจั้ง
นี่ยังเป็นพลังของคนทั้งสองที่ถูกสะกดเอาไว้ที่หนึ่งในสิบด้วยซ้ำ
“พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเพียงแค่เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลางเท่านั้น แต่จ้าวหยูเฟยอย่างน้อยๆ ก็เทียบเท่าได้กับครึ่งก้าวสู่ราชัน”
จักรพรรดิตวนมู่ลอบถอนหายใจ
การประลองในครั้งนี้ หากจ้าวเฟิงพ่ายแพ้ก็ไม่น่าแปลกใจ
“ช่างต่างกันยิ่งนัก นอกเสียจากว่าข้าจะเลื่อนขั้นถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย แล้วฝึกฝนวิชาวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงห้าสิบส่วนขึ้นไป” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
ถึงแม้ว่าเขาจะเรียกใช้ปีกวายุอัสนีก็ทำได้เพียงแค่ฝืนหลบหลีกจ้าวหยูเฟยเท่านั้น
ด้วยคุณสมบัติ ‘กายจิตวิญญาณ ของเผ่าพันธุ์วิญญาณ การโจมตีของจ้าวเฟิงจึงยากที่จะทลายการป้องกันของจ้าวหยูเฟยได้
ไม่เพียงแต่เขาจะทำไม่ได้ ขนาดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างหนานกงเซิ่งก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน
ดูไปแล้วจ้าวหยูเฟยยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดเสียด้วยซ้ำไป
ร้อยกระบวนท่าผ่านไป
บนหน้าผากของจ้าวเฟิงมีเหงื่อไหลซึมออกมาเป็นทาง หอบหายใจกระชั้น
หน้าของจ้าวหยูเฟยแทบไม่เปลี่ยนสี สายเลือดในตำนานยี่สิบอันดับต้นของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ ทำให้นางอยู่เหนืออัจฉริยะสายเลือดในโลกนี้
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
จ้าวเฟิงมีสีหน้าเรียบเฉย หยุดการต่อสู้ลงกลางคัน
หากประลองกันต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ต่อให้จ้าวหยูเฟยไม่ทุ่มเทพลังทั้งหมด ก็อาจทำให้จ้าวเฟิงสูญเสียพลังไปจนตายได้
“ยอมรับความพ่ายแพ้ ? สายเลือดดวงตาของท่านยังไม่ได้ใช้เลยด้วยซ้ำไป” จ้าวหยูเฟยแค่นเสียงเบาๆ
การเปลี่ยนแปลงของดวงตาเทพเจ้าในครั้งนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าพัฒนาขึ้นไปยังระดับใหม่
แต่ทว่า
การต่อสู้เมื่อครู่จ้าวเฟิงยังไม่ได้ใช้ดวงตาเทพเจ้าด้วยซ้ำไป
“ดวงตาเทพเจ้าของข้าเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทำให้ค่อนไปทางศาสตร์วิญญาณยิ่งขึ้น ทว่าต่อสู้ในระดับชั้นวิญญาณก็จะเสี่ยงเกินไป” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ
ถ้าหากเป็นอาการบาดเจ็บของร่างกาย ต่อให้หนักหนาสาหัสกว่านี้ คนในขั้นจักรพรรดิก็สามารถฟื้นฟูได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้นตวนมู่ชิงเชี่ยวชาญศาสตร์พฤกษา ถนัดในการฟื้นฟูบาดแผล
“ดวงตาเทพเจ้า ? ชื่อเหมาะสมเสียจริง” สีหน้าของตวนมู่ชิงเงียบขรึม
“ไม่!”
จ้าวหยูเฟยกลับไม่ยอมถอยหนี สายตามุ่งมั่น “การประลองครั้งนี้ยังไม่จบ”
นางเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่ง
จ้าวหยูเฟยอยากจะประลองชนะจ้าวเฟิงที่อยู่ใน ‘สภาวะสมบูรณ์’
“ก็ได้ แต่ข้าจะใช้สามกระบวนท่าเท่านั้น” จ้าวเฟิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“ได้”
ครั้งนี้เป็นตวนมู่ชิงที่ตอบคำแทนจ้าวหยูเฟย
วิชาดวงตาดวงวิญาณแข็งแกร่งร้ายกาจ เรียกได้ว่าเป็นของต้องห้าม
จ้าวเฟิงใช้เพียงสามกระบวนท่า เห็นได้ชัดว่าต้องการให้จบลงโดยเร็ว
พรึ่บ!
เส้นผมสีม่วงของจ้าวเฟิงสะบัดพลิ้วแม้ไม่มีสายลมพัด แลดูงดงามราวภาพมายา
ชั้นวิญญาณของจ้าวหยูเฟยเย็นเยียบในทันที
วินาทีต่อมา
ในนัยน์ตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็ปรากฏความขอบเขตสีม่วงเหมือนหมอกควันมืดมิด พลังดวงตาวิญญาณที่น่ากลัวทะลุทะลวงฟ้าและดิน
ในวินาทีนั้น
ไอสวรรค์ในฟ้าดินก็หยุดนิ่งไปช่วงหนึ่ง ระดับชั้นวิญญาณเหมือนโดนกดจนยากจะหายใจ ทำให้บังเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรง
“ช่างเป็นพลังดวงตาวิญญาณที่แข็งแกร่งนัก!”
ไม่เพียงแต่จ้าวหยูเฟย ขนาดเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงที่อยู่ในโลกมิติส่วนตัวของนางยังพูดไม่ออก
ตูม ขวับ!
ในชั้นวิญญาณสั่นไหว จะมองเห็น ‘เงาเนตรมายาสีม่วง’ ที่เลือนราง มาพร้อมกับพลังมหาศาลที่กดดันฟ้าและดิน
‘เงาเนตรมายาสีม่วง’ ต่างจากดวงตาข้ามระยะทาง นี่เป็นสภาวะจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง
อีกทั้งเป็นเจตจำนงดวงตาที่พิเศษยิ่งกว่าเดิม!
“แย่แล้ว!”
จ้าวหยูเฟยโคจรมิติส่วนตัวกับพลังของครึ่งก้าวสู่ราชันเพื่อใช้ต่อต้าน
สภาวะจิตใจของนางถูกแช่แข็งจนไม่อาจเคลื่อนไหว ความคิดถูกสะกดเอาไว้อย่างแน่นหนา
โครม ตูม!
พลังครึ่งก้าวสู่ราชันของนางอ่อนแอลงดุจทารกน้อย ถูกโจมตีจนแตกกระเจิงในพริบตา
ถึงแม้ว่าเบื้องหลังของนางจะมีโลกมิติส่วนตัวค่อยสนับสนุนอยู่ แต่ว่านั่นเป็นเพียงแค่การคานพลังของฟ้าดินเท่านั้น แต่กับพลังดวงแขนวิญญาณเช่นนี้ไม่ได้มีผลอะไรที่เห็นได้ชัดเจนนัก
ในมิตินั้น
จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง เพียงแค่เจตจำนงดวงตานั้นก็สร้างพลังมหาศาลที่มืดฟ้ามัวดิน รวมไปถึงแรงกดดันวิญญาณที่น่ากลัว
“จ้าวเฟิงผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร เขาเป็นแค่ยอดผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งแต่กลับมีเจตจำนงดวงตาได้”
‘เด็กน้อยครึ่งเซียน’ ที่อยู่ภาย ในแหวนเหล็กโบราณเกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรง
เกรงว่าเจตจำนงดวงตาของจ้าวเฟิงน่าจะสามารถกดดันระดับชั้นวิญญาณของราชันได้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงวิชาดวงตาวิญญาณต้องห้ามส่วนหนึ่งเลย
สามารถแน่ใจได้จุดหนึ่งคือ เจตจำนงดวงตาของจ้าวเฟิงสามารถสังหารยอดผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชันหรือครึ่งก้าวสู่ราชันลงไป