Skip to content

King of Gods 682

King Of Gods

บทที่ 682 แผนการของสำนักหมื่นอัสนี

ในขณะที่เอาส่วนศีรษะอำนาจเทวะออกมานั้น เด็กน้อยครึ่งเซียนและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยต่างพากันตื่นตระหนก

“มรดกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงไม่ธรรมดาเลย ถ้าหากหลอมรวมเข้ากับ ‘พลังอัสนีเทวะ’ อีกล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้อานุภาพเพิ่มขึ้นไปอีกระดับขั้นหนึ่ง” เด็กน้อยครึ่งเซียนนึกกังวล

ด้วยพลังของเขาฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การฝึกตนเข้าใกล้ขอบเขตก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลางไปทุกที

แต่ว่าการเพิ่มขึ้นของพลังจ้าวเฟิงก็ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัว หนทางการฝึกตนยิ่งใกล้ระดับสูงขึ้น จะพัฒนาไปแต่ละครั้งล้วนแต่ไม่ง่ายเลย

การฟื้นฟูพลังของเด็กน้อยครึ่งเซียน ก่อนหน้าระดับราชันเขาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

ทว่ารอเขาฟื้นฟูถึงระดับขั้นราชันเมื่อไหร่ ความเร็วก็จะค่อยๆ ช้าไปเอง

เลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียนถึงจะมีพลังซ่อนไว้เยอะ แต่ก็มีในจำนวนที่จำกัด

ในเวลาเดียวกัน

ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ราชันที่ฝึกศาสตร์อัสนีบางส่วนก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สำนักหมื่นอัสนี’

วิ้ง!

ณ สำนักหมื่นอัสนี ดาบอัสนีสีแดงหม่นที่เสียบผ่านหมู่เมฆเล่มหนึ่งสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น โซ่เส้นหนาขนาดกว้างเท่าถังน้ำที่มัดมันไว้ทั้งสี่ด้านเกิดเสียงโครมคราม จากนั้นจึงมีแสงสีเขียวสว่างหมุนวนไปมา

ดาบอัสนีสีแดงหม่นด้ามนี้ถูกล้อมผนึกด้วยค่ายกลป้ายสุสานจำนวนมากจากทั่วทุกทิศทาง

เวลาดังกล่าว ดาบอัสนีสีแดงหม่นกลับสั่นสะท้านอย่างผิดปกติ เหมือนว่าดีใจแต่ก็หวาดกลัวด้วย

วูบ! วูบ!

ร่างเงาสองร่างปรากฏขึ้นด้านข้างดาบอัสนีในทันที

ในแสงสว่างที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่เห็นจักรพรรดิสองท่านอยู่รางๆ คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหน้าดำและอีกคนหญิงสาวงามเฉิดฉาย

“กลิ่นอายของพลังอัสนีเทวะปรากฏขึ้นอีกแล้ว แถมยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าสองครั้งที่แล้ว…”

สามารถทำให้ ‘ดาบอัสนีแดนภูผา’ ดีใจไม่หยุด

เห็นจะมีก็เพียงแต่พลังอัสนีเทวะเท่านั้น ดาบที่มีความเป็นมาอย่างยาวนานเล่มนี้เคยผ่านพลังอัสนีเทวะมาเช่นกัน ต่อมาผู้ถูกเลือกของทวีปผู้หนึ่งลึกซึ้งในพลังอัสนีเทวะ ผลก็คือฝึกตนจนกลายเป็นเซียนอัสนีอาวุโสที่อยู่เหนือใคร ได้รับตำแหน่งเซียนไป

สองจักรพรรดิพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

แต่ว่าสายตาของพวกเขากลับมองไปทางยอดเขาวิญญาณหลักอันเป็นที่ตั้งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน

พลังอัสนีเทวะเย้ายวนใจอย่างยิ่งสำหรับสำนักหมื่นอัสนีที่มุ่งศึกษาเฉพาะวิชาอัสนี

ในเมื่อประวัติศาสตร์ของศาสตร์อัสนีมีผู้ถูกเลือกในตำนานผู้นั้น ที่จะอาศัยพลังอัสนีเทวะค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนจุดสูงสุดของโลก

 

“หากว่าเดาไม่ผิด พลังอัสนีเทวะนี้น่าจะมาจากส่วนศีรษะของร่างศพอำนาจเทวะซึ่งแข็งแกร่งมากกว่าส่วนอื่นๆ” หญิงสาวโฉมงามเอ่ยเสียงต่ำ

สายอัสนีหลากสีเส้นเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนหมุนวนทั่วร่างของนาง ในทุกๆ เส้นแฝงไปด้วยพลังที่น่ากลัวมากพอจะทำลายเมืองเล็กๆ ได้เลยทีเดียว

“สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายและสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินล้วนแต่ถือครองชิ้นส่วนของศพอำนาจเทวะ แต่สองสำนักนี้กลับไม่ยอมมอบให้ ‘สำนักหมื่นอัสนี’ ของข้าสักนิด”

ผู้เฒ่าหน้าดำกล่าวด้วยเสียงทรมานใจ

สำนักหมื่นอัสนีเป็นสำนักที่เข้าใกล้ระดับสามดาวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ จักรพรรดิของสำนักก็มีหลายท่าน และต่างมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง

“เหอะเหอะ แต่นั่นก็ไม่แน่ ได้ยินมาว่าจักรพรรดิตวนมู่กำลังจะออกจากสำนักแล้วกลับไปดินแดนทวีป ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีวิธีเสียทีเดียว…” สตรีที่กายมีแสงสว่างยิ้มบางๆ

“อ้อ? มีวิธีอะไรกัน?” สายตาผู้เฒ่าหน้าดำเป็นประกาย

ถึงแม้ว่าพลังอัสนีที่แฝงในส่วนศีรษะของศพอำนาจเทวะจะสู้ดาบอัสนีแดนภูผาในกาลก่อนไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของยอดฝีมือในศาสตร์อัสนีก็จะโดดเด่นยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน อย่างน้อยก็สามารถยกระดับอิทธิพลของสำนักหมื่นอัสนีได้อย่างมาก

ยอดเขาหลักจิตวิญญาณ สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน

มือของจ้าวเฟิงวางไว้เหนือศีรษะร่างศพอำนาจเทวะ กลั้นลมหายใจเมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอัสนีที่เก่าแก่ไหลทะลักออกมา

เปรี้ยง!

ร่างของเขาราวกับโดนโจมตีจากลำแสงอัสนีหมื่นจั้ง กลิ่นอายดั้งเดิมบางส่วนของศาสตร์อัสนีไร้เทียมทานก็ทำให้เขาใจเต้นแรงได้แล้ว

“ถึงแม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายเล็กน้อย แต่ก็น่ากลัวเช่นนี้” จ้าวเฟิงตกตะลึง

จะต้องรู้ว่า ร่างศพอำนาจเทวะนี้เป็นของที่อยู่มาอย่างยาวนาน

เหนือกะโหลกศีรษะทิ้งร่องรอยเอาไว้ ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ได้สึกหรอเจือจางหายไป

บาดแผลที่ถูกมหันตภัยอัสนีสร้างไว้จะคงอยู่ตลอดไป

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว บาดแผลที่ไม่มีทางหายตลอดกาล…”

จ้าวเฟิงเพิ่งดูในเบื้องต้นก็เข้าใจถึงลักษณะพิเศษส่วนหนึ่งของพลังอัสนีเทวะแล้ว

ในโลกนี้มีเผ่าพันธุ์สายเลือดมากมาย เมื่อกายเนื้อแข็งแกร่งมาก พลังการฟื้นฟูก็ย่อมแปลกประหลาดตามไปด้วย

แต่ว่าพวกเขายังไม่ได้ผ่านด่านอำนาจเทวะ

พื้นที่ชางไห่หมื่นปีมานี้ ในประวัติศาสตร์ที่พอจะย้อนหลังไปดูได้ ยังไม่เคยได้ยินมาว่ามีใครสามารถขึ้นเป็นเซียน

อำนาจเทวะน่ากลัวมากเกินไป สร้างไว้ซึ่งบาดแผลที่มิอาจสึกหรอ แทบเรียกได้ว่าคงอยู่ตลอดไป

“ถ้าหากสามารถนำเสวียนอ้าวของอำนาจเทวะทั้งหมดหลอมรวมเข้าไปมรดกวายุอัสนี เช่นนั้นพลังศาสตร์อัสนีของข้าอย่างน้อยๆ ก็น่าจะแกร่งขึ้นได้มากกว่าสิบเท่า” จ้าวเฟิงในจิตใจสั่นไหว

ไม่แปลกใจเลยที่เด็กน้อยคุนอวิ๋นในแหวนเหล็กโบราณกังวลอย่างมาก

 

ถึงแม้มรดกวายุอัสนีจะเป็นมรดกในระดับสูงสุด แต่เมื่อเทียบกับมรดกสือเฉิงหรือมรดกหายากบางส่วนก็ยังแตกต่างไม่น้อย

กระทั่งมรดกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงถูกควบคุมโดยกายจิตวิญญาณอัสนีของเหล่ยเจิ้น

ทว่าแค่เพียงผสานพลังอัสนีเทวะเข้าไป ทั้งหมดก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว

ภายในห้อง

จ้าวเฟิงปิดตาลง ค่อยๆ สงบจิตใจเพื่อทำความเข้าใจพลังอัสนีในกะโหลกศีรษะ

ขั้นตอนนี้ทำให้พลังอัสนีภายในร่างกายเขาส่งเสียงโครมคราม สั่นสะเทือนไม่หยุด

อยากจะซึมซับเอาพลังอัสนีที่อยู่ในนั้นก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป

พลังอัสนีนั้นอยู่ในระดับขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง เกี่ยวข้องกับกฎของฟ้าดินและแหล่งกำเนิดดั้งเดิม อยู่เกินกว่ามรดกวายุอัสนีที่จ้าวเฟิงเข้าใจ

ความเข้าใจขั้นต้น จ้าวเฟิงไม่มีปัญหาในการรับมือ

สองวันก่อนหน้านี้

จ้าวเฟิงไม่ได้อะไรกลับมา กลับต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลของศีรษะอำนาจเทวะเสียด้วยซ้ำไป

“นายท่าน หากต้องการลึกซึ้งในพลังอัสนี นอกจากจะต้องมีพื้นฐานกายจิตวิญญาณอัสนีโดยเฉพาะหรือมีความลึกซึ้งในฟ้าดินของระดับราชันขึ้นไป ยังต้องเชี่ยวชาญศาสตร์อัสนีชั้นยอดด้วย….”

เด็กน้อยครึ่งเซียนเอ่ยเตือนขึ้น

ความหมายที่บอกเป็นนัยของเขาคือ ไม่ว่าจะคุณสมบัติใดๆ ของจ้าวเฟิงก็ล้วนแต่ไม่สอดคล้อง

“ข้ามีแผนของข้า” จ้าวเฟิงแค่นเสียงเย็นชา

ร่างศพอำนาจเทวะนี้แท้จริงเป็นกายเนื้อของครึ่งเซียนที่มีชีวิตอยู่ในอดีต เด็กน้อยคุนอวิ๋นย่อมมีปฏิกิริยาเชื่อมกับมันแน่นอน

ในเวลานี้

ยอดเขาหลักวิญญาณหลักมีแต่ความโกลาหลวุ่นวาย เมื่ออานุภาพจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่กดดันไปทั่วอย่างมืดฟ้ามัวดิน

“ผู้เยาว์จ้าวเฟิง ยังไม่รีบออกมาอีก”

เสียงดังองอาจทะลวงผ่านอากาศกดดันลงมา

หืม?

จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี รีบเก็บศีรษะพลังอัสนีแล้วลุกขึ้น

เห็นเพียงอากาศสูงในละแวกใกล้เคียงปรากฏจักรพรรดิสามท่านล่องลอยอยู่ ร่างกายสาดซัดกลิ่นอายของศาสตร์อัสนีที่น่ากลัว

ปราณที่แท้จริงของวายุอัสนีในร่างจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน รู้สึกกดดันไม่หยุด

พลังอัสนีสามกลุ่มนั้นระดับขั้นสูงส่งอย่างยิ่ง เกรงว่าจะเทียบเท่าได้กับจักรพรรดิวายุอัสนีในอดีต

“จักรพรรดิอัสนีทมิฬ!”

ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ห้วงคิดเซียนของราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่งกวาดผ่านแล้วต้องตื่นตกใจ

ผู้มาเยือนคือจักรพรรดิแห่งศาสตร์อัสนีสามคน

ซ้ายขวาทั้งสองด้านแบ่งเป็นคือหญิงสาวกายสุกสกาวและผู้เฒ่าหน้าดำ

คนตรงกลางเป็นชายหนุ่มในชุดเกราะสีดำ รอบกายปรากฏคลื่นลำแสงอัสนีสีดำที่บิดเบี้ยวไปมา มองจากไกลๆ เป็นประหนึ่งจักรพรรดิที่แสนมืดมิด

“จักรพรรดิอัสนีทมิฬผู้นี้มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก เมื่อเทียบกับอาจารย์แล้วแข็งแกร่งพอๆ กันเลย…”

จ้าวเฟิงตกใจอย่างยิ่ง

บนยอดเขาจิตวิญญาณหลัก จักรพรรดิและราชันผู้เป็นเจ้าของห้วงคิดเซียนเหล่านั้นล้วนแต่วิตกกังวล

“จักรพรรดิอัสนีทมิฬเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของศาสตร์อัสนีแห่งชางไห่ เป็นจักรพรรดิที่มีกำลังรบไร้เทียมทาน”

“เป็นเพราะมีบุคคลดังกล่าวอยู่ สำนักหมื่นอัสนีจึงเป็นรองแค่เพียงสองสำนักระดับสามดาวทั้งสอง แล้วสบประมาทดูแคลนสำนักระดับสองดาวอื่นๆ”

อย่างน้อยๆ ห้วงคิดเซียนสิบกว่ากลุ่มก็หมุนวนอยู่ในที่แห่งนี้ จ้าวเฟิงจึงไม่ได้ทำอะไรผลีผลามออกไป

คนในขั้นจักรพรรดิไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถรับมือได้

“จักรพรรดิอัสนีทมิฬ เจ้ามาถึงสำนักของข้าด้วยตนเอง มีอะไรจะชี้แนะงั้นรึ?”

เสียงของบุรุษที่คุ้นเคยดังขึ้นในความว่างเปล่า

ขวับ!

จักรพรรดิตวนมู่ผู้มีเรือนผมขาวดั่งหิมะ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ จ้องมองสามจักรพรรดิสำนักหมื่นอัสนีอยู่ไกลๆ

เพียงแค่ช่วงประเดี๋ยวเดียว

สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินก็ปรากฏร่างของสองจักรพรรดิ คือจักรพรรดิกู่หลัวและจักรพรรดิหมีคง

เช่นนี้แล้ว

ตวนมู่ชิงและจักรพรรดิอีกสองคนจึงแทบไม่ด้อยไปกว่าสามคนนั้นเลย

อีกทั้งจักรพรรดิและราชันคนอื่นๆ ในสำนัก บางส่วนก็กำลังปิดด่านฝึกตน บางส่วนก็ใช้ห้วงความคิดชมดูแต่ไม่ปรากฏตัว

“ให้จ้าวเฟิงนั่นออกมา”

จักรพรรดิอัสนีทมิฬยืนหยิ่งทระนงอยู่บนอากาศ พลังจักรพรรดิบนร่างเขามืดมิดบ้าคลั่งอย่างที่สุด ทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินคงจะมีเพียงตวนมู่ชิงและจักรพรรดิไม่กี่คนที่พอจะรับมือได้

ขวับ ขวับ!

ในเวลาเดียวกันนี้เอง

ห้วงคิดเซียนนับสิบจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายที่อยู่ฟากหนึ่งกวาดผ่านมา ซึ่งล้วนแต่เป็นของราชันและจักรพรรดิ

จักรพรรดิตวนมู่สีหน้าเรียบเฉย

เขาตระหนักได้รางๆ ว่าเพราะเหตุใดสำนักหมื่นอัสนีถึงกล้ายกพวกมาก่อเรื่องถึงที่สำนัก

ที่แท้แล้วเบื้องหลังยังมีการสนับสนุนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย

อีกทั้งจักรพรรดิตวนมู่ยังเป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะที่กำลังจะออกจากสำนักด้วย

นี่ต้องเป็นอุบายที่คิดไว้ล่วงหน้าเป็นแน่!

“จักรพรรดิอัสนีทมิฬ ถ้าเจ้าไม่พูดเหตุผลมา เกรงว่าพวกข้าจะให้เจ้าเจอกับ

จ้าวเฟิงไม่ได้”

จักรพรรดิกู่หลัวเอ่ยแล้วยิ้มเล็กน้อย

บรรยากาศในที่แห่งนั้นค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นมา

“ได้! เช่นนั้นตัวข้าก็จะบอกเหตุผลที่ชัดเจนให้พวกเจ้าได้ฟัง” จักรพรรดิอัสนีทมิฬหัวเราะเสียงดัง

บนยอดเขาจิตวิญญาณหลักเงียบสงัด

“ในอดีต ขณะที่จักรพรรดิวายุอัสนีผู้นั้นยังไม่บรรลุเป็นจักรพรรดิ ได้ใช้ฐานะของแขกผู้มาเยือนเข้ามาภายในสำนัก ช่วงเวลานั้นยามที่เขาฝึกตนอยู่ใน ‘สำนักหมื่นอัสนี’ ก็ได้ขโมยบันทึกลับของศาสตร์อัสนีไปมากมาย จึงทำให้เขามีชื่อเสียงในภายหลัง ต่อมาสำนักได้ส่งยอดฝีมือตามไล่ล่า แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเจ้าหัวขโมยนั่นรวดเร็วอย่างยิ่ง เป็นถึงจักรพรรดิผู้มีความเร็วเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด”

จักรพรรดิอัสนีทมิฬเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย

แววตาของเขากวาดผ่านกลุ่มคนที่อยู่ในที่ดังกล่าว

“เรื่องนี้พวกข้าเคยได้ยินมาบ้าง” จักรพรรดิหมีคงเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่

จักรพรรดิอาวุโสบางส่วนผงกศีรษะ

สิ่งที่จักรพรรดิอัสนีทมิฬพูดมาก็ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่อย่างใด

“จริงอยู่ที่จักรพรรดิวายุอัสนีนิสัยแย่นัก แล้วในยามก่อนก็อาศัยความเร็วที่อยู่เหนือคนทั้งปวงไปขโมยสมบัติล้ำค่าของสำนักอื่นๆ”

“ต่อมาได้ยินว่าก่อเรื่องกับ ‘เซียนจื่อเย่’ หลบหนีไปมาอยู่หลายคราก็ถูกสังหารสิ้น”

เสียงพูดคุยมาจากจักรพรรดิบางส่วน

ในขณะนี้

ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ มียอดฝีมือชั้นสูงจำนวนมาก จักรพรรดิที่เก่าแก่บางส่วน และห้วงคิดเซียนมารวมตัวกันอยู่ในที่ดังกล่าว

“เรื่องในคราก่อนทุกท่านล้วนสามารถยืนยันได้ เช่นนั้นก็ดี!” จักรพรรดิวายุทมิฬผงกศีรษะ

“แต่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิงได้อย่างไร?”

หนึ่งในห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิท่านหนึ่งหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

“เกี่ยวข้องแน่นอน!”

จักรพรรดิอัสนีทมิฬเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “ผู้เยาว์คนนี้คือผู้รับมรดกของเจ้าหัวขโมยนั่น ตามกฎการสืบทอดมรดกแล้ว เจ้าเด็กนี้เป็นคนนอกสำนัก ศึกษาวิชาอัสนีที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดของสำนักหมื่นอัสนีของข้า..จะต้องตายสถานเดียว!”

ตายสถานเดียว!

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมาก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในที่ดังกล่าว

“ขอถามสักหน่อย ทุกท่านในที่แห่งนี้ หากว่าเคล็ดวิชาของสำนักท่านถูกคนนอกขโมยเรียนไปหมดสิ้นจะทำเช่นไร?” จักรพรรดิอัสนีทมิฬย้อนถาม

“จะต้องโทษตายสถานเดียว! หรือมิฉะนั้นก็ต้องทำลายพลังฝึกบำเพ็ญตน แล้วลบความทรงจำเสีย”

มีห้วงคิดเซียนไม่น้อยที่คล้อยตาม

ตามความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นวิธีการของสำนักจำนวนมากที่จะควบคุมเคล็ดวิชาของสำนักตนอย่างเข้มงวด

คนทั่วไปในสำนัก น้อยนักที่จะกล้าเอาหลักเคล็ดวิชาลับของสำนักไปเผยแผ่สู่โลกภายนอก

สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินก็มีบทลงโทษที่รุนแรงกับการกระทำดังกล่าวเช่นกัน

“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”

จ้าวเฟิงตะลึงงัน

ตวนมู่ชิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

“จักรพรรดิวายุอัสนีผู้นั้นในยามก่อนมีนิสัยขี้ขโมยจริงๆ พฤติกรรมก็เลวทราม”

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยย้อนถึงความหลัง

จ้าวเฟิงใจเต้นรัว

เป็นเรื่องจริงเสียด้วย!

เช่นนั้นตามกฎสำนักแล้ว สำนักหมื่นอัสนีมีเหตุผลที่จะ ‘ริบคืน’ วิชาที่ถูกส่งต่อไปภายนอกสำนักได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version