บทที่ 692 ความคิดที่บ้าคลั่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนก็ทำการแลกเปลี่ยนในครั้งแรกสำเร็จลุล่วง
สำหรับจ้าวเฟิงแล้วนี่ช่างง่ายดายยิ่งนัก เขาไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนอะไรมากมายก็ได้ ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ และ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ มาครอบครอง
โดยเฉพาะ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ซึ่งเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกฝนร่างกายที่ยอดเยี่ยมที่สุดในขณะที่ครึ่งเซียนยังมีชีวิตอยู่
“นายท่าน ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อนสักหน่อย ศาสตร์อัสนีเป็นพลังดั้งเดิมที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้ ดูดซึมและแบกรับไว้ยากยิ่งนัก ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ นี้ ท่านจะต้องฝึกฝนให้ถึงระดับขั้นที่หก ถึงจะสามารถดูดซึมพลังสายฟ้าได้ผ่าน ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ ได้” เด็กน้อยครึ่งเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ
ระดับที่หก?
ยังไม่ทันรอให้จ้าวเฟิงมีปฏิกิริยาตอบกลับมา เด็กน้อยครึ่งเซียนก็มุดเข้าไปในแหวนเหล็กโบราณและไม่ปรากฏออกมาอีก
มุมใดมุมหนึ่ง ในแหวนเหล็กโบราณ
“เหอะ เหอะ ถ้าหากฝึกฝน ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีสีทอง’ ได้ถึงระดับที่หก ก็แทบจะประมือกับเซียนได้ คนในระดับที่ต่ำกว่าเซียนก็จะไม่มีใครสามารถต้านทานเขาได้”
เด็กน้อยครึ่งเซียนเอ่ยด้วยสีหน้าลำพองใจ
ไม่ว่าจะวิชาหรือมรดกประเภทใด เมื่อมาถึงขั้นจักรพรรดิหรือเซียน นอกเหนือจากอาศัยโอกาสมหาศาล ยังต้องใช้เวลาและกำลังกายใจมากมายนับไม่ถ้วน
วิชาประเภทฝึกฝนร่างกายจะเพิ่มระดับยากกว่าวิชาทั่วไปหลายสิบเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีสีทอง’ นี้ก็ไม่ใช่วิชาที่คนธรรมดาจะฝึกฝนได้
ห้องหัวหน้าเรือ
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ใช้ปราณที่แท้จริงห่อหุ้ม ‘หยดเลือดสีทอง’ เอาไว้
แล้วในทันใดนั้นเอง ‘หยดเลือดสีทอง’ ก็หลอมละลายเข้าไปภายในเลือดเนื้อร่างกายของจ้าวเฟิง
ที่แท้วิชาฝึกกายศักดิ์สิทธิ์ประเภท ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ เป็นมรดกที่สืบทอดทางสายเลือด เนื้อหาของการฝึกฝนจะตีตราประทับลงในเลือดและเนื้อ
ข้อมูลมรดกมหาศาลหลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อของจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว แต่ที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือ มรดกวิชาศักดิ์สิทธิ์นี้จะต้องรับรู้ผ่านเลือดเนื้อร่างกายแล้วบวกกับการฝึกฝนเพิ่ม
พรสวรรค์ดวงวิญญาณช่วยอะไรในการฝึกฝนไม่ได้มากมาย
“กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง แบ่งเป็นเจ็ดระดับขั้น ระดับขั้นสูงสุดก็คือ
‘กายครึ่งเซียน’ จะเก่งกาจไร้เทียมทานเหนือผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเซียนลงไป วิชาศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวต้องใช้พรสวรรค์และการฝึกฝนสายเลือดชั้นยอด ถึงจะสามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างราบรื่น…”
จ้าวเฟิงได้รับข้อมูลคร่าวๆ ทั้งหมด เมื่อดูรายละเอียดเหล่านี้แล้ว สีหน้าของเขาก็ดำคล้ำขึ้นมา
“ติดกับแล้ว!”
จ้าวเฟิงกัดฟันน้อยๆ สีหน้ามืดทะมึน
กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง วิชาศักดิ์สิทธิ์ฝึกฝนร่างกายนี้นับได้ว่าควรค่ากับราคาอย่างแท้จริง
แต่เงื่อนไขในการฝึกฝนวิชานี้เข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ความก้าวหน้าในการฝึกฝนจึงเชื่องช้าเกินจะเปรียบ
ขั้นแรก มันต้องการพรสวรรค์สายเลือดในการฝึกฝนร่างกายชั้นยอด จึงจะสามารถฝึกอย่าง ‘ราบรื่น’ แต่จ้าวเฟิงไม่ได้มีพรสวรรค์หรือสายเลือดในด้านการฝึกตนเลย พรสวรรค์ที่เขามีเป็นแขนงวิญญาณต่างหาก
“นี่มันกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว”
ความคิดแรกของจ้าวเฟิงคืออยากจะกระชากตัวครึ่งเซียนคุนอวิ๋นออกมาเหยียบย่ำเสีย
แต่เมื่อคิดดูอีกที หากทำเช่นนี้เขาก็กลายเป็นคนที่คำพูดเชื่อถือไม่ได้แล้ว
ก็ด้วยเพราะ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ที่เด็กน้อยครึ่งเซียนให้มาไม่ใช่ของปลอมแต่อย่างใด
ในด้านเงื่อนไขของวิชา วิชาฝึกกายศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ได้บอกว่าคนธรรมดาไม่อาจฝึกได้ เพียงแต่ว่าการฝึกฝนไม่อาจจะ ‘ราบรื่น’ และย่อมต้องมีอุปสรรคใหญ่โตมากมาย
ทว่าสำหรับการ ‘แลกเปลี่ยน’ แล้ว เด็กน้อยครึ่งเซียนไม่ได้หลอกลวงแต่อย่างใด
“ด้วยพรสวรรค์การฝึกฝนร่างกายของข้า ถึงจะใช้เวลาพันปีก็ไม่อาจบำเพ็ญกายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทองไปถึงระดับขั้นที่หกได้” จ้าวเฟิงตกอยู่ในห้วงภวังค์ครู่หนึ่ง แล้วส่ายศีรษะ
ไม่ต้องพูดถึงกายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง ต่อให้เป็นวิชาในการฝึกฝนร่างกายวิชาอื่นที่ง่ายดายกว่า ความก้าวหน้าในการฝึกฝนก็ยังคงเชื่องช้าอย่างมาก
พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงอยู่ในแขนงดวงวิญญาณ วิชาจำพวก ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ เขาจะก้าวหน้ารวดเร็วมาก
ดังนั้นเรื่องกายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง จ้าวเฟิงจึงทำได้เพียงยอมแพ้ไปก่อนชั่วคราว
เขาคิดคำนึงว่าจะต้องเริ่มศึกษา ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ อย่างลึกซึ้ง
จ้าวเฟิงสามารถฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ ได้ ในด้านระดับขั้นดวงวิญญาณ ขอบเขตพลัง และการรับรู้ของเขาก็มีมากเพียงพอแล้ว
นี่จึงพอจะทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าในใจของเด็กน้อยครึ่งเซียนวางแผนมาเป็นอย่างดี
ถ้าหากว่าวิชาทั้งสองประเภทนี้ จ้าวเฟิงล้วนแต่ไม่สามารถฝึกฝนได้ จะเป็นการหาเรื่องยุ่งยากให้เขาเสียมากกว่าครึ่ง
เด็กน้อยครึ่งเซียนฉลาดหลักแหลมอย่างมาก ถึงวิชาแรกจะฝึกได้ แต่อีกวิชาหนึ่งนั้นต้องข้ามไปเพราะระดับความยากและความก้าวหน้าในการฝึกฝน
แต่ว่าจ้าวเฟิงกลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน ด้วยถ้าหากเขาแสดงออกว่าตนเองวุ่นวายใจ ก็จะทำให้เด็กน้อยครึ่งเซียนนั่นหัวเราะเยาะเขาเสียเปล่าๆ
“ในเมื่อฝึกฝนร่างกายไม่ได้ ก็ลองดูว่าพอจะเปลี่ยนแนวทางได้หรือไม่…”
จ้าวเฟิงจึงลองพินิจพิเคราะห์ดู
‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ที่เขาฝึกฝนว่องไวปราดเปรียว ห้วงคิดสามารถแบ่งออกเป็นหลายร้อยกลุ่ม และความสามารถในการคิดก็ดีเยี่ยมอย่างยิ่ง
อันดับแรก จากลักษณะการฝึกของ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ จ้าวเฟิงจึงตัดวิธีนี้ออกไปก่อนแล้วเป็นอันดับแรก
เขารู้ว่าย่อมต้องมีหนทางที่สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝน ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ หรือไม่ก็ทำให้ตนเองแบกรับอัสนีเทวะได้ก่อนที่จะอยู่ในระดับหก
ยกตัวอย่างเช่น การผสานกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลซึ่งเป็นกลิ่นอายดั้งเดิมเข้าไป
จ้าวเฟิงวิเคราะห์ได้ว่า เมื่อบวกกับปัจจัยพวกนี้ ตนเองอาจไม่จำเป็นต้องฝึก ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ถึงขั้นที่หก เพียงแค่ระดับขั้นที่สี่หรือห้าก็มีความหวังที่จะแบกรับพลังอัสนีเทวะและเสริมสร้างร่างกายด้วยวิชานี้ได้
“น่าเสียดายเหลือเกิน ถ้าหากว่าข้าฝึกตนตั้งแต่เริ่มแรก แล้วใช้กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลร่วมกันกับกายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง ดูดซึมพลังอัสนีเทวะก่อน คงจะใช้สิ่งนี้ฝึกฝนกายศักดิ์สิทธิ์ได้…”
จ้าวเฟิงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทันทีที่ทำสิ่งเหล่านี้จนสำเร็จ เขาก็จะบำเพ็ญได้ ‘กายศักดิ์สิทธิ์อัสนีเทวะ’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เพียงแต่ว่าจ้าวเฟิงไม่มีเวลาฝึกตั้งแต่แรกเริ่มแบบนั้น
ยามนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับการตามล่าของจักรพรรดิแห่งความตาย จึงจะต้องเพิ่มพลังให้ได้ในเวลาอันสั้น
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง
“อืม มีวิธีแล้ว…”
จ้าวเฟิงพบแสงสว่างจากในเคล็ดวิชาผลาญอัสนี
ภายใน ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ มีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับ ‘พลังอัสนีเทวะ’
พลังอัสนีเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อกายเนื้อ ทว่ายิ่งส่งผลต่อดวงวิญญาณของผู้ฝึกตนอีกด้วย
ผู้ฝึกตนส่วนหนึ่ง จิตใจกับชั้นดวงวิญญาณไม่แข็งแกร่งมากพอ กายเนื้อแกร่งกล้าอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำได้
ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นในยามก่อนอาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ เพราะหากเอ่ยถึงด้านร่างกาย ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นก็แข็งแกร่งเข้าใกล้คำว่าไร้เทียมทาน
“ชั้นวิญญาณ…นี่ไม่ใช่พรสวรรค์ของข้าหรอกหรือ?”
ความคิดของจ้าวเฟิงปรุโปร่งในทันใด
แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีพรสวรรค์สายเลือดชั้นยอดในด้านการฝึกฝนร่างกาย แต่ว่าพรสวรรค์ดวงวิญญาณของเขาเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
อย่างน้อยๆ ในตอนนี้ จ้าวเฟิงก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีพรสวรรค์ดวงวิญญาณของใครเหนือกว่าตน
“ในเมื่อกายเนื้อไม่สามารถรับพลังอัสนีได้ แล้วถ้าเป็น…ดวงวิญญาณเล่า?”
จ้าวเฟิงบังเกิดความคิดที่บ้าคลั่งขึ้น โดยให้ดวงวิญญาณแบกรับและดูดซึมพลังอัสนีเทวะ วิธีการนี้เกรงว่าแม้แต่ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นก็ยังไม่กล้าคิด
เพราะว่าดวงวิญญาณเป็นพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่ง อันตรายอย่างยิ่ง แล้วในเวลาเดียวกันยังไม่นิยมฝึกกันมากด้วย
“พลังอัสนีเทวะไม่ใช่เพียงการโจมตีกายเนื้อหรือดวงวิญญาณเท่านั้น ในเมื่อกายเนื้อที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษจะสามารถดูดซึมได้ เช่นนั้นดวงวิญญาณทำไมจะทำไม่ได้?”
จ้าวเฟิงรู้สึกถึงความเป็นไปได้
แต่ทว่า
ต่อให้เป็นใน ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ ก็ยังไม่มีการเอ่ยถึงแนวคิดที่ใช้ดวงวิญญาณดูดซึมพลังอัสนีเทวะ
เมื่อเป็นเช่นนี้
จ้าวเฟิงจึงจะต้องคิดหาวิธีการต่างๆ โดยลอกเลียนและศึกษาวิธีการดูดซึมของกายเนื้อ เพื่อนำไปใช้กับชั้นวิญญาณ
อีกทั้งความสามารถในการลอกเลียนนี้ ดวงตาเทพเจ้ายังถนัดเป็นอย่างยิ่ง
โลกทะเลวิญญาณ
ห้วงคิดของจ้าวเฟิงแบ่งเป็นหลายกลุ่มเพื่อศึกษา ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ แล้วยังวิเคราะห์ทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวด้วย
หลังจากใช้เวลาวิเคราะห์อยู่หลายวันก็ได้ข้อสรุป
“ความคิดนี้…เป็นไปได้อย่างมาก!” จ้าวเฟิงตื่นเต้น ยิ่งรู้สึกลิงโลดขึ้นมา
เมื่อลองคิดดู ถ้าหากว่าซึมซับพลังอัสนีเทวะเข้าสู่ในดวงวิญญาณ แล้วใช้วิธีการปลดปล่อยสายเลือดดวงตา ส่งพลังอัสนีเทวะออกไปโจมตีดวงวิญญาณของอีกฝ่ายโดยตรง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ต่อให้เป็นดวงวิญญาณของจักรพรรดิ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถแบกรับการโจมตีของพลังอัสนีเช่นนี้ได้”
เมื่อจ้าวเฟิงคิดมาถึงตรงนี้ก็เกือบจะเงยหน้าหัวเราะอย่างสะใจ
ความคิดเช่นนี้บ้าคลั่งและมุทะลุ แต่ว่าผลของความสำเร็จจะสะเทือนคนทั้งโลก
อีกทั้งในทันทีที่ทะเลวิญญาณของจ้าวเฟิงสามารถแบกรับดูดซึมพลังอัสนีเทวะได้ ในภายภาคหน้ายังใช้มันฝึกฝนกายเนื้อได้อีกด้วย
เมื่อถึงเวลานั้น จ้าวเฟิงยังพอมีความหวังที่จะใช้พลังอัสนีนี้ฝึกฝนร่างกาย ศึกษา ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ เพื่อให้ได้กายศักดิ์สิทธิ์อัสนีเทวะมาสำเร็จ
“สมบูรณ์แบบ! สมบูรณ์แบบเสียจริง!”
จ้าวเฟิงรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง แน่นอนว่าความลับเรื่องแนวคิดนี้ย่อมไม่อาจให้เด็กน้อยครึ่งเซียนรู้
ในทางกลับกัน จ้าวเฟิงยังสามารถแสร้งทำท่าทาง ‘โกรธจัด’ ได้อีกด้วย
ณ มุมใดมุมหนึ่งในแหวนเหล็กโบราณ
“เหอะ เหอะ จ้าวเฟิงผู้นี้ ในขณะนี้เหมือนนั่งอยู่บนภูเขาสมบัติแต่ไม่สามารถเปิดใช้ได้ ทำได้เพียงแค่นั่งดู”
เด็กน้อยครึ่งเซียนท่าทางยินดีปรีดาอย่างยิ่ง เขาเอาเลือดเนื้อจากห้วงฝันชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปาก
เลือดเนื้อจากห้วงฝันบรรพกาลช่วยให้การฟื้นคืนสายเลือดครึ่งเซียนรวดเร็วยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันก็ยังพัฒนาสภาวะวิญญาณอย่างมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการฟื้นฟู ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’
เพราะว่าเขาถือกำเนิดใหม่จากหยดเลือด ขอเพียงแค่มีทรัพยากรจำนวนมหาศาล ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ก็สามารถฟื้นฟูได้โดยไม่จำเป็นต้อง ‘ฝึกฝน’
แล้วเพราะเหตุนี้นี่เอง เด็กน้อยครึ่งเซียนจึงต้องการเลือดเนื้อในห้วงฝันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เหอะเหอะ รอให้ย่อยเลือดเนื้อพวกนี้เสร็จเสียก่อน กำลังรบของกายเนื้อข้าก็จะเทียบเท่าได้กับราชัน เมื่อหลอมรวมเข้ากับพลังขั้นราชัน คนในขั้นจักรพรรดิลงไปก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ได้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิธรรมดาก็อาจจะพอต่อสู้กันสักรอบได้”
เด็กน้อยครึ่งเซียนเบิกบานใจยิ่ง เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ในอีกมุมหนึ่งมีแววตานึกสนุกปนเยาะเย้ยฉายออกมาจาก ‘ดวงตาแมว’ คู่หนึ่ง
เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไป
‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ของจ้าวเฟิงก็สำแดงเดชออกมาครบถ้วน โดยเริ่มแจกแจงวิเคราะห์ ‘เคล็ดวิชาผลาญอัสนี’ แล้วจึงคิดหาวิธีการที่เหมาะจะใช้กับโครงสร้างของชั้นวิญญาณ
ในวันนี้ จ้าวเฟิงเปิดตาออก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น
“เจ้าหอโครงกระดูก นำเรือดำดิ่งลงไปในส่วนลึกของมหาสมุทร แล้วปกคลุมด้วยค่ายกลร้อยศพต้องสาป” จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง
“ขอรับ!”
เจ้าหอโครงกระดูกสั่งให้เรือหุ่นเชิดศพทั้งลำดำดิ่งลงไปในมหาสมุทร
มหาสมุทรความว่างเปล่าเป็นปราการสกัดกั้นประสาทสัมผัสทางธรรมชาติ
การกระทำทั้งหมดนี้ดึงดูดความสนใจของเด็กน้อยครึ่งเซียน
“จ้าวเฟิงผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?” เด็กน้อยครึ่งเซียนลอบสังเกตอย่างลับๆ
เขาเดาว่า จ้าวเฟิงคงจะยืมปราการธรรมชาติที่ปิดกั้นประสาทสัมผัสนี้ มาใช้ปิดผนึกปฏิกิริยาจากพลังมรณะ แล้วจึงแสดงเคล็ดวิชาลับดวงวิญญาณ
แล้วเรือหุ่นเชิดศพก็จมดิ่งลงสู่ส่วนลึกของมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว
พู่!
กลุ่มควันเพลิงหุ่นเชิดศพที่แน่นขนัดครอบคลุมมืดฟ้ามัวดินเป็นรัศมีสิบลี้ แล้วค่อยๆ หดตัวเข้ามา
พลังอาฆาตของหุ่นเชิดศพที่น่ากลัวกระจายตัวออกไปในบริเวณมหาสมุทรเป็นรัศมีพันลี้
สิ่งมีชีวิตมากมายพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจากดวงวิญญาณ
“ยามนี้พลังของค่ายกลร้อยศพต้องสาปสามารถคุกคามคนในขั้นราชันได้ ส่วนผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชันลงไปจะไม่อาจหนีรอด กล้าดาหน้าเข้ามาเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้น”
เจ้าหอโครงกระดูกมั่นใจอย่างยิ่งยวด
จ้าวเฟิงกางค่ายกลดังกล่าว เป้าหมายคือการใช้พลังอาฆาตของหุ่นเชิดศพเปิดกั้นปฏิกิริยาของพลังมรณะไปอีกขั้นหนึ่ง
วูบ พรึ่บ!
เรือนผมสีม่วงของเขาสะบัดพลิ้ว ในดวงตาซ้ายปรากฏภาพมายาลึกล้ำราวหมอกควันสีม่วงเข้ม
ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงโบกมือข้างหนึ่ง ศีรษะดำไหม้ชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ในเวลาสั้นๆ กลิ่นอายต้องห้ามที่บรรดาเทพเซียนภูติผียังกลัวเกรงก็เล็ดลอดออกมา คำสาปร้อยศพที่อยู่ทั่วบริเวณแข็งทื่อและสั่นสะท้าน
พลังอาฆาตของหุ่นเชิดศพซึ่งปกคลุมทั่วบริเวณเกือบจะแตกกระจายไป
“เก็บ!” ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจับจ้องไปที่กะโหลกเทวะ แล้วเพ่งมองอย่างตั้งใจ
พรึ่บ!
ส่วนศีรษะอำนาจเทวะหายวับไป ในวินาทีต่อมา ภายในมิติดวงตาซ้ายที่ลึกล้ำก็ปรากฏกะโหลกศีรษะสีดำเมี่ยม
ในศูนย์กลางของมิติมืดมิดก็คือโลกทะเลวิญญาณของจ้าวเฟิง
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หลังจากที่เข้าไปภายในมิติดวงตาซ้ายแล้ว ส่วนกะโหลกอำนาจเทวะเหมือนถูกกดดันไว้ กลิ่นอายที่น่าพรั่นพรึงจางหายถึงขีดสุด จนแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้อีก