Skip to content

King of Gods 754

King Of Gods

บทที่ 754 ผู้ถูกเลือกปรากฏกายอีกครั้ง

“เจ้าหอโครงกระดูก ตอนที่เพิ่งบินถึงทวีปบุปผาคราม ข้ารับรู้ได้รางๆ ว่าขั้วอำนาจของลัทธิมารจันทราชาดเหมือนจะฟื้นคืนมาอีกขั้นหนึ่ง”

แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกายเล็กน้อย

ด้วยประสาทสัมผัสราชันในขอบเขตปราณเทวะของเขา ถึงจะไม่ได้ตั้งใจเรียกประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกมา ก็ยังคงรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยของกลิ่นอายทั้งหมดที่ทวีปบุปผาครามได้

พรึ่บ!

ในมือของเจ้าหอโครงกระดูกปรากฏตราคำสั่งสีแดงโลหิตที่โปร่งแสงแผ่นหนึ่ง ปิดเปลือกตาลงแล้วสัมผัสชั่วขณะหนึ่ง

“เรียนนายท่าน! เพียงแค่ดินแดนตะวันตกก็สัมผัสถึงยอดฝีมือระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาดได้หลายส่วน”

เจ้าหอโครงกระดูกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

ในตอนนี้ เจ้าหอโครงกระดูกนับถือจ้าวเฟิงจากใจจริง ถ้าหากต้องเลือกระหว่างจ้าวเฟิงและลัทธิจันทราชาด เจ้าหอโครงกระดูกย่อมต้องติดตามจ้าวเฟิงอยู่แล้ว

จ้าวเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดปากเอ่ย “ภารกิจเก็บกวาดจัดการลัทธิมารจันทราชาดยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วกัน”

“ขอรับนายท่าน” เจ้าหอโครงกระดูกค้อมกายตอบรับ ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและตื่นเต้น

เห็นได้ชัดเจนว่าจ้าวเฟิงคิดจะผลักดันให้เขาควบคุมลัทธิมารจันทราชาด เปลี่ยนขั้วอำนาจของศัตรูมาเป็นของตนเอง

การรบราฆ่าฟันกับสำนักดังกล่าวทำให้สรรพชีวิตตกที่นั่งลำบาก ไม่สู้รวบลัทธิมารจันทราชาดมาเป็นของตนเสีย

ความจริงแล้ว เป้าหมายหลักๆ ที่จ้าวเฟิงกลับมายังทวีปบุปผาครามคือตามหาปราชญ์ลิ่วอูเพื่อแก้ไขปัญหาของตน

ส่วนเจ้าหอโครงกระดูกจัดการแก้ไขปัญหาของลัทธิมารจันทราชาดไป

อนึ่ง จ้าวเฟิงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ลงมือเพื่อลดการเสื่อมถอยของพลังฝึกตน

หลายวันที่ผ่านมานี้ จ้าวเฟิงทำความเข้าใจในจุดเด่นของ ‘คำสาปมรณะ’ ไประดับหนึ่ง

สิ่งที่ถดถอยลงไปไม่ได้มีเพียงพลังฝึกตนของจ้าวเฟิง แต่แก่นแท้ชีวิต ดวงวิญญาณ หรือแม้กระทั่งอายุขัยก็ล้วนแต่ลดลงไปด้วย

แน่นอนว่าบนร่างของจ้าวเฟิงเองก็มีส่วนต้องห้ามที่คำสาปมรณะยากจะกัดกร่อนได้

อันดับแรกคือดวงตาเทพเจ้า ถึงแม้ว่าพลังดวงตาและพลังวิญญาณกำลังถดถอยลง ทว่าคุณลักษณะของมันแยกมันออกจากคำสาปมรณะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งใจกลางของโลกทะเลวิญญาณ ทะเลสาบพลังดวงตาสีฟ้านั้นเชื่อมไปถึงห้วงฝันบรรพกาล

อันดับที่สองคือพลังอัสนีเทวะ พื้นที่ในทะเลวิญญาณสีม่วงที่ดูดซึมพลังอัสนีเทวะแล้ว คำสาปมรณะจะกัดกร่อนเข้าไปได้ยาก

กล่าวได้ว่านี่คือพื้นที่ต้องห้ามสองแห่งที่สำคัญที่สุดในร่างของจ้าวเฟิง

นอกจากนี้แล้ว ขนาดสายเลือดเผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์ยังไม่อาจจะหลบหลีกได้ เพียงแค่มีแรงในการต่อต้านแข็งแกร่งก็เท่านั้น

“ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ล่ะก็ หลังจากที่กลับมาถึงทวีปบุปผาครามแล้วข้าก็คงหาที่สงบเงียบฝึกฝน ‘วายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ใหม่อีกครั้งได้”

จ้าวเฟิงทอดถอนใจ

พรึ่บ! พรึ่บ!

ในหัวของเขาปรากฎ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ที่แก้ไขและผสมผสานเรียบร้อยแล้วที่เมืองเก่าของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์

มรดกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงมาถึงจุดสุดยอดในภาครวมเบื้องต้นแล้ว

อันที่จริงแล้ว เมื่อฝึกฝน ‘มรดกวายุอัสนี’ ไปจนถึงระดับจักรพรรดิปราณเทวะก็จะเป็นขีดจำกัดแล้ว หรือบางทีอาจพอฝืนทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเทวาเร้นลับได้ แต่ว่าต่อจากนั้นจะไม่สามารถฝึกให้ลึกซึ้งไปอีกขั้น

แต่ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ผ่านการผสานรวมจากวิชาศักดิ์สิทธิ์โบราณของหลายสำนัก ล้วนสามารถฝึกฝนไปถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้

วิชาที่สามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตเซียนสวรรค์หาได้ยากเย็นอย่างยิ่งในโลกนี้

ทว่าวิชาทั้งสองชุดนี้ต้องฝึกพร้อมกัน ต้องใช้ ‘วายุอัสนีห้าสาย’ มาช่วยเสริมสร้างให้กลายเป็นกายศักดิ์สิทธิ์อัสนี

แต่ปัญหาก็คือ

หลังจากที่ฝึกฝนมาจนถึงระดับขั้นในวันนี้ มรดกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงเดินไปในวิถีที่แตกต่างจากวายุอัสนีห้าสายโดยสิ้นเชิง

หากคิดจะฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ จ้าวเฟิงจำเป็นต้อง ‘ฝึกฝนใหม่’

ตามแผนการเดิม หลังจากที่กำจัดอันตรายจากความตายได้แล้ว จ้าวเฟิงจะทำการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง เพราะอย่างไรวายุอัสนีก็ถึงขีดสุดยอดในเบื้องต้นแล้ว ส่วนวิชาอีกทั้งสองอย่างมีพลังแฝงที่ลึกล้ำกว่า

อย่างมากที่สุดจ้าวเฟิงต้องใช้เวลาถึงสิบปีเพื่อฟื้นฟูพลัง

แต่ไม่ว่าคิดคำนวณอย่างไร จ้าวเฟิงก็ไม่คาดคิดว่าจักรพรรดิแห่งความตายจะยังมี ‘คำสาปมรณะ’ นี้หลงเหลืออยู่

คำสาปมรณะ ขอเพียงแค่ผู้ที่ร่ายมนตร์นี้ตายลงก็จะเปิดผนึกออก ไม่สามารถหลีกหนีได้

ปัญหาที่จ้าวเฟิงเป็นกังวลในตอนนี้ก็คือ ต่อให้ตนเองจะฝึกตนใหม่อีกครั้ง คำสาปมรณะ นั่นก็ยังคงตามติดไปด้วยอยู่ดี

“นายท่าน ตามข่าวคราวที่ข้ารับรู้ได้ เหมือนว่าระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาดจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ” เสียงของของเจ้าหอโครงกระดูกดังขัดภวังค์ความคิดของจ้าวเฟิง

“ออกเดินทาง”

จ้าวเฟิงไม่ลังเล ถึงอย่างไรทิศทางนี้ก็มุ่งหน้าไปยังดินแดนเหนือพอดี

เจ้าหอโครงกระดูกอยู่เบื้องหน้าคอยนำทาง และตรงดิ่งไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทราย

หลายชั่วยามต่อมา

จ้าวเฟิงและพวกเดินทางมาจนถึงบนอากาศเหนืออาณาเขตที่เกิดเหตุ

ระหว่างเทือกเขาหินทรายเบื้องล่างคือการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรง

“เหอะเหอะ ผู้สมรู้ร่วมคิดและสายลับของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้า ในที่สุดก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของลัทธิมารจันทราชาดอย่างพวกข้า”

คนระดับสูงสามคนของลัทธิมารจันทราชาดลอยตัวอยู่กลางอากาศ

ผู้ที่อยู่ตรงกลางเป็นผู้เฒ่าปากแหลมเบื้องหลังมีปีกค้างคาว ท่าทีกระยิ่มกระหย่องและเจ้าเล่ห์

ผู้สูงศักดิ์ชุดดำและสตรีหน้าขาวที่ขนาบซ้ายขวาปะทะกับยอดฝีมือของฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงบนท้องฟ้า

ในรัศมีร้อยลี้มียอดฝีมือของลัทธิมารจันทราชาดจำนวนหลายร้อยคนล้อมเอาไว้

“เป็นหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎของลัทธิมารจันทราชาด ราชาปีกค้างคาว” เจ้าหอโครงกระดูกหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

ชายหญิงคู่ที่ลงมือ ผู้สูงศักด์ชุดสีดำคือหนึ่งในเจ้าหอของลัทธิมารจันทราชาดในยามก่อน

ส่วนสตรีอีกนางหนึ่งไม่รู้จัก บางทีอาจจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่

ส่วนยอดฝีมือกระบี่ชุดดำด้านล่างเป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ซึ่งกำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก

ยอดกระบี่ในชุดคลุมสีเข้มร่างกายสูงใหญ่ การโจมตีในศาสตร์กระบี่เป็นดั่งอัสนีบาตในฟ้าดินที่ลึกล้ำ และกำลังรบของมันก็เข้าใกล้ช่วงสุดยอดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ

แต่จะทำอย่างไรได้ ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ด้านล่างมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

“ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยน”

จ้าวเฟิงมองเพียงปราดเดียวก็สามารถมองฐานะของผู้สูงศักดิ์คนนี้ออก

เขามีความประทับใจอย่างลึกซึ้งต่อ ‘ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยน’ ผู้นี้

ที่อาณาจักรนภา ผู้สูงศักดิ์คนแรกที่จ้าวเฟิงพบก็คือผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนผู้นี้

ในขณะนั้น เป็นผู้สูงศักดิ์ในศาสตร์กระบี่ท่านนี้ที่เอาเศษตำราเจ็ดดาบไป

ต่อมา หนึ่งในเก้ายอดผู้สูงศักดิ์ในงานชุมนุมเซียนมังกรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์บนแท่นสูง ก็มีคนผู้นี้อยู่ในนั้นด้วย

“ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยน เป็นข้าชื่ออวิ๋นเทียนที่ทำร้ายท่าน ต่อให้ต้องสู้จนตาย ข้าคนแซ่ชื่อ ก็ต้องปกป้องท่าน เปิดทางให้ท่านรอดชีวิต”

ทั่วร่างของชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำมีผิวเป็นศิลา

คนผู้นี้ฝึกตนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่ว่าสายเลือดกับร่างกายแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พลังป้องกันก็สามารถต้านทนการโจมตีของผู้สูงศักดิ์ธรรมดาได้

จ้าวเฟิงรู้สึกอยู่ตลอดว่าชายวัยกลางคนร่างกำยำผู้นี้ดูไปแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง

“ท่านพ่อ หากจะตายก็ตายพร้อมกัน!”

ในฝูงชนด้านหลัง บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ดุจทองแดงจู่โจมยอดฝีมือลัทธิมารที่ล้อมโจมตีตนเองอยู่จนกระอักเลือดไปตามๆ กัน

“ไม่เสียทีที่เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของงานชุมนุมเซียนมังกรในกาลก่อน!”

“ทุกคนระวังแรงดึงดูดของเขา!”

ยอดฝีมือลัทธิมารในขั้นนายเหนือแท้หลายคนกำลังรุมโจมตีบุรุษร่างกำยำผู้นั้น

ชื่อเฉิงเทียน!

ดวงตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปที่ร่างของบุรุษหนุ่มผิวศิลาคนนั้น

ชื่ออวิ๋นเทียน? ชื่อเฉิงเทียน?

จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนร่างยักษ์ผู้นั้นคือบิดาของชื่อเฉิงเทียน

พลังฝึกตนของชื่อเฉิงเทียนในวันนี้อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด กำลังรบเทียบเท่ากับครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

“ไม่มีประโยชน์ หนึ่งในสามผู้สูงศักดิ์ที่มาเยือนคือ ‘ราชาปีกค้างคาว’ ผู้เป็นหนึ่งในสี่ผู้กฎของลัทธิมาร”

ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนยิ้มขมขื่นออกมา

ราชาปีกค้างคาวผู้นั้นไม่เพียงแต่มีพลังฝึกตนสูงส่งถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด มรดกสายเลือดของเขายังพิเศษเป็นอย่างยิ่ง และมีชื่อเสียงด้านความเร็ว

คนที่อยู่ในที่แห่งนั้นไม่มีใครเอาชนะราชาปีกค้างคาวได้

ในเวลานี้ ราชาปีกค้างคาวทำเพียงมองลงมาจากเบื้องบนเท่านั้น แต่ไม่ได้ลงมือใดๆ

เพียงแค่ยอดฝีมือลัทธิมารที่ผู้สูงศักดิ์อีกสองคนนำมา ก็โจมตีผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนและคนสกุลชื่อจนไม่มีโอกาสจะโต้กลับได้

“หืม? เป็นระดับสูงของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ท่านใดกัน?”

ราชาปีกค้างคาวผู้นั้นสัมผัสได้ในฉับพลัน สายตาจึงมองไปยังท้องฟ้าสูงขึ้นไป

พรึ่บ พรึ่บ!

บนชั้นเมฆปรากฏเงาร่างสองร่าง แบ่งเป็นมนุษย์โครงกระดูกสีขาวเงินตัวผอมสูง กับบุรุษหนุ่มผมสีม่วงที่ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

“เจ้าหอโบราณ!”

“เอ๊ะ! เจ้าหอโบราณ เจ้าหายตัวไปเมื่อหลายปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือ?”

ราชาปีกค้างคาวและผู้สูงศักดิ์ในชุดสีดำมองตัวตนของเจ้าหอโครงกระดูกออก

ถึงแม้ว่าเจ้าหอโครงกระดูกจะเปลี่ยนแปลงสภาพไป แต่ว่ายังมีคนระดับสูงของลัทธิในกาลก่อนเหมือนกันมองออกอยู่ดี

“เจ้าหอจันทราชาด! มีผู้สูงศักดิ์มาเพิ่มมาอีกหนึ่งคน!”

ด้านล่าง ในใจของเหล่ายอดฝีมือบ้านตระกูลชื่อและผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนส่งเสียงดัง ‘ตุบ ตุบ’

“จ้าว…จ้าวเฟิง!”

ชื่อเฉิงเทียนที่กำลังสู้ยิบตา เมื่อเหลือบไปเห็นจ้าวเฟิงเข้าก็เกือบแข้งขาอ่อน

ดูจากสถานการณ์แล้ว จ้าวเฟิงและคนระดับสูงของลัทธิมารยืนเคียงข้างกัน ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกันมากด้วย

“จ้าวเฟิง…ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเข้าร่วมลัทธิมารจันทราชาดแล้ว” ชื่อเฉิงเทียนตะเบ็งเสียง

“จ้าวเฟิง…” ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนพูดไม่ออกเล็กน้อย เขาย่อมต้องจดจำดาวที่ส่องประกายในสหพันธ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นได้

ในความทรงจำ จ้าวเฟิงยังคงเป็นรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขามาก่อนเลย

ราชาของผู้ถูกเลือกในวันก่อน เหตุใดจึงเข้าร่วมลัทธิมารจันทราชาดได้?

“จ้าวเฟิง? ราชาของผู้ถูกเลือกของงานชุมนุมเซียนมังกรในครั้งก่อน”

“เหอะเหอะ เจ้าหอโครงกระดูก เจ้ากลับสามารถชักจูงราชาของผู้ถูกเลือกที่มีพลังแฝงอย่างไรขีดจำกัดผู้นี้ได้”

คนจำนวนมากของลัทธิมารจันทราชาดหน้าเปลี่ยนสีไป

ในเวลาดังกล่าว

การต่อสู้ในที่แห่งนั้นก็หยุดชะงักลงไปชั่วขณะหนึ่ง

ลัทธิมารจันทราชาดมีคนในระดับผู้สูงศักดิ์อีกคนหนึ่งมา ทำให้สถานการณ์สูญเสียความมั่นคงไป บรรดาคนบ้านสกุลชื่อและผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนล้วนสิ้นหวัง

อนึ่ง ราชาของผู้ถูกเลือกในวันก่อนเข้าร่วมกับลัทธิมารจันทราชาด สิ่งนี้กระทบกระเทือนใจผู้คนอย่างหนัก

“ราชาปีกค้างคาว”

เจ้าหอโครงกระดูกมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงต่ำว่า “ครั้งนี้ข้าได้รับคำสั่งจาก ‘นายท่าน’ ให้จัดการลัทธิจันทราชาด”

เมื่อเอ่ยจบ เขาค้อมกายลงน้อยๆ ประสานมือมองบุรุษหนุ่มผมสีม่วงที่อยู่ข้างกาย

“อะไรกัน! นายท่าน?”

“จัดการลัทธิจันทราชาด? เจ้าหอโบราณ เจ้ากินยาผิดไปหรือเปล่า!”

ราชาปีกค้างคาวและคนอื่นๆ มีสีหน้าตื่นตกใจ พร้อมทั้งด่าว่าอย่างโกรธแค้น

พวกผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนและชื่อเฉิงเทียนตะลึงงัน ตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปชั่วขณะ

นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน?

หรือว่าลัทธิมารจันทราชาดจะเกิดปัญหาภายในขึ้น?

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมยินดีที่เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เพราะยังมีช่วงให้หยุดหายใจสักพัก

“เหอะ!” เจ้าหอโครงกระดูกแค่นเสียงหยัน กระดูกและเส้นเอ็นทั่วร่างระเบิดพลังวิชากระดูกที่กดดันสรรพชีวิตนับหมื่นออกมา

แซ่ด แซ่ด!~

ราชาปีกค้างคาวและคนระดับสูงสามคนของลัทธิมารรู้สึกได้เพียงแต่ว่าเลือดเนื้อกระดูกทั่วร่าง เหมือนแบกรับก้อนหินขนาดยักษ์หนักพันหมื่นจิน ร่างกายแทบจะระเบิดออก

อั๊ก!

ราชาปีกค้างคาวที่โดนโจมตีเป็นคนแรก กระอักเลือดออกมา

ตุ้บ! ตุ้บ!

ผู้สูงศักดิ์อีกสองคนมีเสียงกระดูกปริร้าวดังออกมาจากร่างกาย แล้วร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างจัง

“เจ้าหอโบราณ เจ้า…”

สีหน้าของราชาปีกค้างคาวแดงเถือก หายใจลำบาก มองไปที่เจ้าหอโครงกระดูกอย่างหวาดกลัว

ทั้งฝ่ายตนเองและฝ่ายศัตรูล้วนตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงเข็มตกกระทบพื้น

เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในฉับพลันเช่นนี้ ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ทันใดนั้น พลังที่ไม่อาจบรรยายได้ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณในทันทีโดยมีเจ้าหอโครงกระดูกเป็นจุดศูนย์กลาง

ทั้งสองฝ่ายต่างโดนอานุภาพในฟ้าดินดังกล่าวกดทับเอาไว้

เหล่าคนที่อยู่ใต้ผู้สูงศักดิ์ลงไป แม้แต่จะหายใจเข้าออกก็ยังทำไม่ได้

“ขะ…ขั้นยอดผู้สูงศักดิ์!”

ราชาปีกค้างคาวมีสีหน้าตื่นตะลึงเมื่อโดนพลังในฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่กดลงไปบนพื้น

“ยอดผู้สูงศักดิ์ ทั่วทั้งทวีปบุปผาครามยังมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ”

ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนสูดหายใจลึกเข้าปอด

อีกทั้งความรู้สึกบางอย่างบอกกับเขาว่า เจ้าหอโครงกระดูกไม่ได้เป็นยอดผู้สูงศักดิ์ธรรมดาๆ เท่านั้น

ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนเองก็เคยเห็นขั้นยอดผู้สูงศักดิ์มาบ้าง แต่ว่าพลังความสามารถล้วนสู้เจ้าหอโครงกระดูกไม่ได้

“นายท่าน คนเหล่านั้นจะให้จัดการอย่างไร”

เจ้าหอโครงกระดูกใช้พลังที่โดดเด่นเหนือใครกดดันทั่วทั้งสถานการณ์แล้ว จึงค่อยมองจ้าวเฟิงที่อยู่ข้างกายอย่างเคารพนับถือ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version