บทที่ 755 มาเยือนอาณาจักรอีกครา
“นายท่าน?”
เมื่อมองเห็นท่าทางเคารพยำเกรงของเจ้าหอโครงกระดูกแล้ว ราชาปีกค้างคาวและพวกผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนต่างตื่นตกใจอย่างยิ่ง
พวกเขาเพิ่งจะสังเกตได้ว่าบุรุษหนุ่มเรือนผมสีม่วงที่ไม่พูดไม่จาและหน้าตาไร้ความรู้สึก ก็คือ ‘นายท่าน’ ที่เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยถึง
“จ้าว…จ้าวเฟิง!” ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนและพวกชื่อเฉิงเทียนตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
ตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงยืนอยู่ด้านข้างเจ้าหอโครงกระดูก ท่าทางไม่สนอกสนใจ ไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว จึงทำให้โดนมองข้ามไป
จนถึงตอนนี้
การขอความเห็นอย่างเคารพนับถือของเจ้าหอโครงกระดูก ทำให้แววตาของคนอื่นๆ จับจ้องไปยังร่างราชาแห่งผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดของทวีป
“เจ้าหอโครงกระดูก” จ้าวเฟิงเอ่ยเอ่ยอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ภารกิจจัดการเก็บกวาดลัทธิจันทราชาด ข้ามอบหมายให้เจ้าจัดการแล้ว หรือว่าเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญทุกเรื่องเจ้าก็ต้องถามข้าอีก?”
“นั่นสิ นั่นสิ…” เจ้าหอโครงกระดูกอดจะตัวสั่นเพราะหวาดกลัวไม่ได้ ลอบด่าตนเองว่าโง่งมนัก
เมื่อระลึกได้ว่าจ้าวเฟิงเคยเผชิญกับภยันอันตรายมากมายที่ต่างแดน เช่นนั้นทวีปบุปผาครามเล็กๆ และลัทธิมารจันทราชาดย่อมไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้ จ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักกับเรื่องของลัทธิมารจันทราชาด และโยนเรื่องดังกล่าวให้เขาจัดการตรงๆ
ในฐานะที่เป็นทาสรับใช้ เมื่อได้รับการไหว้วานจากผู้เป็นนายแล้ว เรื่องเหล่านี้ย่อมต้องทุ่มเทกายใจเพื่อทำให้สำเร็จ
“เรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ” ใบหน้าของผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนและคนอื่นๆ กระตุกเกร็งอย่างรุนแรง
ราชาปีกค้างคาวและพวกมองสบตากันไปมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ที่แท้แล้วในสายตาของจ้าวเฟิง การสู้รบตบมือของเหล่าผู้สูงศักดิ์ในทวีปเป็นการละเล่นของเด็กเท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำไป
แต่ว่าเหล่าผู้สูงศักดิ์พวกนี้ล้วนไม่สามารถมองระดับของจ้าวเฟิงให้ปรุโปร่งได้ ถึงขั้นว่าจ้าวเฟิงดูๆ ไปแล้ว ‘อ่อนแอ’ อยู่ส่วนหนึ่ง
“หึหึ…ราชาปีกค้างคาว พวกเจ้าสามคนในตอนนี้มีตัวเลือกเพียงสองทาง ศิโรราบต่อข้า หรือว่าตาย”
เจ้าหอโครงกระดูกหัวเราะเสียงเย็น แววตากวาดไปมา
เขาเชื่อฟังจ้าวเฟิงอย่างยิ่งมาโดยตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็กลับไปอยู่ในมาดของเจ้าหอในกาลก่อนได้อีกครั้ง
“เจ้า…กลับกล้าทรยศเจ้าลัทธิ” สตรีใบหน้าขาวกัดฟันเอ่ย
“ตายซะ!”
ในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกเต็มไปด้วยความเลือดเย็นและแดงก่ำ
โครม!
มือกระดูกสีเทาเข้มมาพร้อมกับเงากระดูกขนาดใหญ่ ฟาดลงมาจากบนอากาศ บดขยี้สตรีใบหน้าขาวผู้นั้นจนเละละเอียดเป็นแผ่นเนื้อ
สตรีนางนั้นยังไม่ทันได้ร้องโหยหวนก็โดนตะปบจนสิ้นชีพเสียแล้ว
แซ่ด!
ยอดฝีมือทั้งสองฝั่งสูดลมหายใจเย็นเขาปอด ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว
“แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
“เจ้าหอโครงกระดูกผู้นี้อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอดเป็นอย่างน้อย ในทวีปบุปผาครามแห่งนี้นอกจากเจ้าลัทธิจันทราชาดแล้วเกรงว่าจะไม่มีใครสามารถรับมือเขาได้…”
ราชาปีกค้างคาวและผู้สูงศักดิ์ชุดสีดำอีกคนหนึ่งมีสีหน้าตื่นตระหนก
พลังของเจ้าหอโครงกระดูกวิปริตเพียงนี้ เช่นนั้นแล้วจ้าวเฟิงผู้เป็นนายจะอยู่ในระดับขั้นใดกัน?
หลังจากพิจารณาแล้ว คนในระดับสูงสองคนของลัทธิจันทราชาดตัดสินใจยอมแพ้ชั่วคราว
นอกเหนือจากนี้ ยอดฝีมือชั้นดีส่วนมากของลัทธิมารล้วนแต่เลือกยอมแพ้
แต่ว่าอาณาเขตรอบนอกก็มียอดฝีมือลัทธิมารส่วนหนึ่งลองหลบหนีไป
โครม! โครม!
คนของลัทธิมารจันทราชาดเหล่านั้นเพิ่งจะหนีไปได้ครึ่งลี้เท่านั้น ก็ถูกพลังไร้รูปร่างจากด้านบนอากาศทำลายจนดวงวิญญาณจนสูญสลาย
“พลังปราณเทวะ!”
“อย่างน้อยต้องเป็นพลังครึ่งก้าวสู่ราชัน เคยปรากฏให้เห็นบนร่างของเจ้าลัทธิเท่านั้น” ราชาปีกค้างคาวและคนอื่น ใบหน้าซีดเผือด
แต่เดิมพวกเขาแอบมีเจตนาไม่ดี ทว่าเมื่อเห็นพลังฝึกตนที่แท้จริงของเจ้าหอโครงกระดูก จึงอดรู้สึกโล่งอกไม่ได้
ผ่านไปไม่นานนัก เจ้าหอโครงกระดูกก็จัดกำลังพลพวกหัวกะทิของลัทธิจันทราชาดเหล่านี้รวมไปถึงผู้สูงศักดิ์อีกสองคนใหม่
ในทวีปบุปผาคราม ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็คือยอดฝีมือในระดับสูงสุด จำนวนมีน้อยนิดอย่างยิ่งยวด
ยอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า
ส่วนยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงใช้มือนับจำนวนก็ยังได้
นี่คือขีดจำกัดทางสภาพแวดล้อมของตัวทวีปบุปผาครามเอง ถึงจะเป็นสำนักสองดาวในละแวกนี้ ยอดผู้สูงศักดิ์ก็มีจำนวนน้อยนิดอย่างยิ่ง
พลังฝึกตนของเจ้าหอโครงกระดูกก็พอจะฝืนเพิ่มระดับไปถึงขั้น ‘ครึ่งก้าวสู่ราชัน’ ได้
“จ้าวเฟิง”
ชื่อเฉิงเทียนพาอวิ๋นเทียนบิดาของเขามาทักทายเพื่อแสดงความขอบคุณ
ถ้าหากไม่มีจ้าวเฟิงแล้วล่ะก็ เกรงว่าบ้านสกุลชื่อน่าจะสูญสิ้นไปแล้ว
ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนและยอดฝีมือของสหพันธ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สับสนวุ่นวายใจ แล้วยังรู้สึกกังวล
จุดมุ่งหมายของจ้าวเฟิงก็คือกำราบลัทธิมารจันทราชาด
ถ้าหากว่าเขาทำสำเร็จจริง จะกลายเป็นเจ้าลัทธิจันทราชาดคนที่สองซึ่งนำมหันตภัยมาสู่ดินแดนหรือไม่
“จ้าวเฟิง ในตอนนี้ทั้งทวีปกำลังรุมล้อมสังหารลัทธิมารจันทราชาด เจ้าไม่กังวลหรือว่าจะเกิดผลเสียในภายหลัง? เหตุใดจึงไม่ร่วมมือกับสหพันธ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทำลายลัทธิมารจันทราชาดจนสิ้นซาก”
ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนเอ่ยเสนอแนะ
“เรื่องของลัทธิจันทราชาดข้ายกหน้าที่ให้ข้ารับใช้แล้ว นอกจากนี้ข้าก็ไม่ใส่ใจอะไร” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ
ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนถอนหายใจยาว
หลังจากงานชุมนุมเซียนมังกร เมื่อเขาพบจ้าวเฟิงอีกครั้งก็ไม่อาจจะมองทะลุขีดจำกัดของอีกฝ่ายได้แล้ว
ถัดจากนั้น
จ้าวเฟิงทำความเข้าใจสถานการณ์ของทวีปบุปผาครามจากปากของผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนและพวกชื่อเฉิงเทียน
ทวีปในวันนี้ ขั้วอำนาจของลัทธิมารจันทราชาดเยอะแยะมากมายราวดาวตก ขยายกำลังออกไปทั่วบริเวณ
ถึงแม้ว่าสหพันธ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสิบยอดสำนักจะยังค่อนข้างได้เปรียบ แต่ก็สูญเสียความสามารถในควบคุมสถานการณ์ ไปหมดแล้ว
“เหตุใดอำนาจของลัทธิมารจึงกลับมารุ่งเรืองรวดเร็วเพียงนี้?” จ้าวเฟิงจับข้อสังเกตสำคัญได้
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ลัทธิมารถูกทำลายลงเหลือเพียงคนส่วนหนึ่งเท่านั้น
“นี่ไม่ใช่เพราะการสนับสนุนของ ‘ตำหนักมารจันทราชาด’ แห่งนั้นหรอกหรือ หนำซ้ำตัวเจ้าลัทธิจันทราชาดเองก็ต้องควบคุมช่องโหว่การเข้าออกมรดกจันทราชาด และในทุกๆ ปียังต้องส่งคนส่วนหนึ่งเข้าไปทดสอบ…”
ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนเอ่ยแล้วทอดถอนใจอย่างขมขื่น
ตำหนักมารจันทราชาด?
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วน้อยๆ สำนักสองดาวแห่งนี้เขาเองก็เคยรับมือมาแล้วยามอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิง
หลังจากนั้น จักรพรรดิตวนมู่ชิงลงมือตักเตือนระดับสูงของสำนักทั้งสาม ทำให้ฝ่ายหลังถอดใจต่อซากปรักหักพังสือเฉิง
“ดูท่าทางข้าจะต้องไปตำหนักมารจันทราชาดสักครั้งเสียแล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
เมื่อเอ่ยจบ ดวงตาของผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนเบิกกว้าง
ฟังแล้วจ้าวเฟิงและตำหนักมารจันทราชาดเคยพบเจอกันมาก่อน เหมือนว่าจะเตรียมตัวไปสำนักดังกล่าวเพื่อคิดบัญชีอีกด้วย
ตำหนักมารจันทราชาด! นั่นเป็นถึงสำนักสองดาว!
สำนักสองดาว สำหรับสิบยอดสำนักของทวีปบุปผาครามย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีทางปรากฏขึ้นได้
แน่นอนว่าถ้าหากผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนล่วงรู้ว่าจ้าวเฟิงเคยกวาดล้างสนามรบสำนักสองดาวแห่งหนึ่งมาก่อน ก็คงจะไม่กังวลใจถึงขนาดนี้
‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ที่เคยโดนจ้าวเฟิงไล่ล่าสังหารสามารถทำลายสำนักสองดาวธรรมดาส่วนหนึ่งได้อย่างสบายๆ
ถัดจากนั้น
จ้าวเฟิงและชื่อเฉิงเทียนพูดคุยกันสักครู่ ชื่อเฉิงเทียนแสดงความซาบซึ้งใจและเคารพต่อจ้าวเฟิงจากใจจริง
จ้าวเฟิงสอบถามผู้ถูกเลือกจำนวนหลายคนเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวคราวของ ‘หยูเทียนฮ่าว’
เมื่อนับๆ ดูแล้ว นัดสิบปีของหยูเทียนฮ่าว ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดปีผ่านไปแล้ว
ตั้งแต่งานชุมนุมเซียนมังกรมาจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปแปดปีกว่า และอยู่ห่างจากหลิวฉินซินเป็นปีที่แปดแล้วเช่นกัน
“หยูเทียนฮ่าวเหมือนว่าจะไม่เคยกลับมา” ชื่อเฉิงเทียนเอ่ยพลางส่ายศีรษะ
“หยูเทียนฮ่าว?” กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนรับรู้ข่าวคราวมาบ้างส่วนหนึ่ง
“สถานการณ์เป็นเช่นนี้ บ้านสกุลหยูมีที่มาจาก ’ดินแดนทวีป’ ในตำนาน ในระยะเวลาที่ยาวนานได้แบ่งตระกูลออกเป็นหลายสาย กระจัดกระจายสู่ดินแดนต่างๆ ของทะเลแห่งความว่างเปล่า…”
ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนสาธยาย
ดินแดนทวีป?
จ้าวเฟิงอดจะประหลาดใจไม่ได้ส่วนหนึ่ง
หลังจากการต่อสู้เมื่อเจ็ดปีก่อน หยูเทียนฮ่าวก็เดินทางออกจากทวีปบุปผาคราม ว่ากันว่าไปยังสาขาย่อยของสกุลหยูที่อยู่ใกล้เคียง
สาขาย่อยของสกุลหยูที่ว่ามีอำนาจใกล้ถึงระดับสองดาว
“ข้าเคยได้ยินหยูซิงเฉินเคยเอ่ยมาก่อน พรสวรรค์สายเลือดของหยูเทียนฮ่าวโดดเด่นไร้เทียมทาน อาจจะโดนส่งไปที่สกุลหยูบนดินแดนทวีป” ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนเอ่ย
จ้าวเฟิงพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว
บ้านสกุลหยูน่าจะเหมือนกับสกุลตวนมู่ เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลในราชวงศ์ของทวีป
ตวนมู่ชิงพาจ้าวหยูเฟยมุ่งหน้าไปที่ดินแดนทวีปก็เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับสกุลตวนมู่
“ดินแดนทวีป? ดูๆ ไปแล้วการต่อสู้ของข้ากับหยูเทียนฮ่าว บางทีอาจจะต้องเลื่อนไปก่อน” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
การนัดแนะในตอนแรกคือ ‘สิบปีต่อมา’ จะสู้กันอีกครั้ง
สิบปีต่อมา บางทีอาจจะเป็นสิบปี สิบห้าปี หรือกระทั่งยี่สิบปี
จ้าวเฟิงเคยรับปากจ้าวหยูเฟยและตวนมู่ชิงว่าหลังจากที่คลี่คลายเรื่องของหลิวฉินซินแล้วจะไปที่ดินแดนทวีป
จ้าวเฟิงจึงไม่ได้รั้งอยู่ที่ดินแดนตะวันตกนานนัก
“เจ้าหอโครงกระดูก เรื่องของลัทธิจันทราชาดยกให้เจ้าจัดการแล้วกัน”
ก่อนที่จ้าวเฟิงจะจากไป เขามอบประคำหมื่นวิญญาณให้กับเจ้าหอโครงกระดูก
ในประคำหมื่นวิญญาณมีร้อยศพต้องสาป รวมไปถึงหุ่นเชิดศพในขั้นผู้สูงศักดิ์หลายร่างเป็นต้น
“ขอให้นายท่านวางใจเถอะ ลัทธิจันทราชาดไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล”
หลังจากที่เจ้าหอโครงกระดูกรับประคำหมื่นวิญญาณไปแล้ว สีหน้าก็กระตือรือร้นขึ้น
เมื่อได้ครอบครองค่ายกลร้อยศพ ต่อให้เป็นราชันมาเยือนก็สามารถทำให้ศัตรูสูญสลายไปจนหมดได้
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
เจ้าหอโครงกระดูกโบกมือคราหนึ่ง ปรากฏหุ่นเชิดศพต้องสาปสิบร่างด้านหน้า กลิ่นอายของทุกร่างเทียบเท่าได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด
หนำซ้ำหุ่นเชิดศพเหล่านี้ยังมีพลังคำสาปอาฆาต สามารถคุกคามยอดผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้
เมื่อราชาปีกค้างคาวและพวกผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนเห็นหุ่นเชิดศพในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดช่วงสุดยอดทั้งสิบร่าง ก็อดจะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
มีส่วนแฝงของพลังเช่นนี้ ราชาปีกค้างคาวและคนอื่นๆ ต่างไม่กล้าสงสัยพลานุภาพในการควบคุมดินแดนของจ้าหอโครงกระดูกอีก
แซ่ด เปรี๊ยะ!
เห็นเพียงลำแสงวายุอัสนีสายหนึ่งกลางอากาศ สว่างวาบแล้วหายไป
จ้าวเฟิงจากไปเพียงลำพัง ตรงดิ่งไปที่ดินแดนเหนือ
สำหรับเรื่องการจัดระบบลัทธิมารจันทราชาดใหม่ จ้าวเฟิงยกให้เจ้าหอโครงกระดูกจัดการแล้ว
ใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วยามเท่านั้น จ้าวเฟิงก็โบยบินจากดินแดนตะวันตกมาจนถึงดินแดนเหนือ นี่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปราณที่แท้จริงที่แข็งแกร่งขึ้นด้วย
ดินแดนเหนือ อาณาจักรนภา
ลำแสงวายุอัสนีสายหนึ่งลอยผ่านไป
ห้วงคิดเซียนของจ้าวเฟิงกวาดผ่านเมืองหลวงของอาณาจักรนภา แล้วยังกวาดผ่านสาขาหลักของลัทธิโลหะเลือด
ภายในสาขาหลักของลัทธิโลหะเลือดยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น และยังมีคนแปลกหน้าด้วยบางส่วน
ขณะนั้นจ้าวเฟิงค้นพบขั้วอำนาจส่วนหนึ่งของลัทธิมารจันทราชาด โดยปกติแล้วเขาคร้านจะใส่ใจ
เป้าหมายของเขาก็คือ ‘หอคอยลิ่วอู’ ที่อยู่ภายในอาณาจักร
แต่ทว่าขณะที่บินไปถึงภายในเขตของอาณาจักร เขาก็หยุดลงเมื่อมาถึงละแวกใกล้เคียงของแม่น้ำพันธารา
แม่น้ำพันธาราเคยเป็นที่ที่จ้าวเฟิงรับตำแหน่ง ‘หัวหน้าสาขา’
ภายในหุบเหวลึกมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งรวมตัวกัน ถึงแม้ว่าจะจงใจเก็บกักเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจจะหลบหลีกประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงได้
“ในระยะนี้ ขั้วอำนาจลัทธิมารจันทราชาดยังแผ่ขยายอำนาจไปถึงละแวกใกล้เคียงของแม่น้ำพันธารา ว่ากันว่ามีบุคคลระดับสูงมาเยือน เหมือนกำลังเตรียมการทำอะไรอยู่…”
“พวกเราได้ยินข่าวคราวฐานที่ตั้งของขั้วอำนาจลัทธิมารแล้ว ต้องพยายามลงมือให้พวกมันตั้งตัวไม่ทัน”
ภายในหุบเขามียอดฝีมือในระดับสุดยอดของอาณาจักรนภาส่วนหนึ่งรวมตัวกันอยู่
พลังฝึกตนต่ำที่สุดก็ยังอยู่ในขั้นมนุษย์เหนือแท้ระดับที่หนึ่งในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
“เอ๋?” ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงพบจ้าวลัทธิหงคิ้วเข้มผมแดง แล้วยังมีชายผมแดงเถี่ยหมัว
กลิ่นอายของคนทั้งสองแข็งแกร่งที่สุดในสถานที่ดังกล่าว
“ฉินหวางเฟย…เจ้าเมืองหงหู…เทียนหยุนจื่อ…เจียงซานเฟิง…” จ้าวเฟิงเห็นใบหน้าคนที่คุ้นเคยจำนวนมาก
ในกลุ่มนี้ ยอดฝีมือของลัทธิโลหะเลือดได้ยึดครองพื้นที่ครึ่งหนึ่ง
จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัว เจ้าสำนักและรองสำนัก ออกคำสั่งแก่ขั้วอำนาจทั้งแปดของอาณาจักร
ประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงกวาดมองจุดยุทธศาสตร์ของลัทธิมารจันทราชาดเป็นระยะพันลี้ หน้าจึงเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อยและโผล่เข้าไปภายในหุบเขาลึกลับ ค่ายกลรอบๆ หุบเขากำลังจะลงมือโจมตีเขา
แล้วในเวลานี้เอง แผนการลับที่นำโดยลัทธิโลหะเลือดก็หยุดลงชั่วคราว
ภายในห้องหินที่ถูกขุดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
“ฐานที่ตั้งนี้เหมือนว่าจะไม่ธรรมดา จะให้ดีพวกเราควร…”
ภายใต้แสงเทียน จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวกำลังวางแผนร่วมกันอย่างเคร่งเครียด
ยามนั้นเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
“ผู้ใดกัน!”
จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เกือบจะผลุงตัวขึ้นมา