บทที่ 768 กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์
ในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ศิษย์ผู้สืบทอดส่วนมากล้วนเป็นศิษย์ของเหล่าราชัน สถานะสูงส่งกว่าศิษย์คนสำคัญทั่วไป
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสองคนเบื้องหน้าเขานี้ จ้าวเฟิงย่อม ‘รู้จัก’ อยู่แล้ว
บุรุษหนุ่มในชุดสีดำสนิทผู้หนึ่งในกลุ่มคนนั้นคือศิษย์พี่ก่วงเถียน ซึ่งเป็นผู้นำในการทำภารกิจครั้งก่อน
ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งรูปร่างผอมแห้ง สองบ่าราวคมมีด ดวงตาสองข้างเป็นประกายแวววาว กลิ่นอายที่สาดออกมารุนแรงทรงพลัง
พลังฝึกตนของชายคนดังกล่าวอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
“ศิษย์พี่หวงอวิ๋นหู่ เป็นเจ้าเด็กนี่ที่บังอาจล่วงเกิน เคยพูดจาโอหัง ไม่เคารพราชัน…”
หวังหยวนบุรุษหนุ่มร่างอวบอ้วนเอ่ยอย่างใส่อารมณ์เล็กน้อย
ในยามก่อนจ้าวเฟิงเคยลั่นวาจาไว้ว่า ต่อให้ราชันมาเองก็ไม่ยอกแลกเปลี่ยนวิหคนิลกาฬด้วย คำพูดเช่นนี้ย่อมถูกหวังหยวนเติมไฟว่าขนาดคนในขั้นราชันจ้าวเฟิงยังไม่เห็นหัวด้วยซ้ำ
“หวงอวิ๋นหู่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของ ‘ราชาลู่อวิ๋น’ คนผู้นี้หน้าบางอย่างยิ่ง ทนต่อการประจบสอพลอไม่ได้ที่สุด…”
ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏขึ้นในหัวของเขา
‘จ้าวเฟิง’ คนก่อนนั้น ถึงแม้ว่าจะมาอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นได้เพียงครึ่งปี แต่ว่ากลับมีความเข้าใจในตัวของลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ในระดับหนึ่ง
“เจ้าก็คือจ้าวเฟิงคนนั้นน่ะหรือ? โอหังเสียจริง! ราชันเป็นคนที่เจ้าจะวิจารณ์ได้งั้นรึ ?”
หวงอวิ๋นหู่สีหน้าเย็นชาไม่เป็นมิตร
ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น การประลองฝีมือกันของเหล่าลูกศิษย์เป็นเรื่องที่มักจะพบเห็นได้บ่อยๆ ทางสำนักเองก็ปิดตาข้างหนึ่งกับเรื่องนี้เสมอมา ขอเพียงแค่ไม่ทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิตก็พอแล้ว
ในเมื่อการประลองทดสอบฝีมือเหล่านี้สามารถเพิ่มการแข่งขันระหว่างศิษย์ในสำนัก
“ศิษย์น้องจ้าว! รีบเอ่ยขอโทษศิษย์พี่หวงและศิษย์น้องหวังหยวนเร็ว อารมณ์ของศิษย์พี่หวงเจ้าเองก็รู้อยู่…”
ศิษย์พี่ก่วงผู้นั้นเสแสร้งกุลีกุจอมาตรงกลางระหว่างจ้าวเฟิงและหวงอวิ๋นหู่
เขาทำสีหน้าท่าทาง ‘ห่วงใย’ เกลี้ยกล่อมให้จ้าวเฟิงอย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
“เอาแบบนี้แล้วกัน ผู้เยาว์จ้าวเฟิง ขอเพียงแค่เจ้าว่านอนสอนง่าย ยอมโขกศีรษะยอมรับผิดแล้วล่ะก็ ข้าคนแซ่หวงจะไม่เอาเรื่องที่เจ้าพูดเหลวไหลลามปามเกี่ยวกับราชัน”
หวงอวิ๋นหู่กอดอกพูดจาบีบคั้น
ระหว่างที่เอ่ยเขาวางท่า ‘ลูกศิษย์ของราชัน’ ด้วยท่าทางหยิ่งยโส
จ้าวเฟิงรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่มีไว้ข่มเหงศิษย์คนอื่นๆ เหตุผลไม่น่าเชื่อต่างๆ หากเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์ธรรมดา บางทีอาจจะพอประท้วงได้ แต่ว่าในที่สุดแล้วก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
กับคนที่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าในสำนัก จ้าวเฟิงย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว
“เฮอะ! แค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดชั้นล่างสองคน ไม่กลัวจะทำให้ราชันของพวกเจ้าขายหน้าหรืออย่างไร”
จ้าวเฟิงมีสีหน้าดูแคลน
ทันทีที่เอ่ยจบ คนทั้งกลุ่มก็เงียบลงไปในฉับพลัน ลูกศิษย์คนสำคัญหลายคนพากันปาดเหงื่อแทนจ้าวเฟิงกันเป็นแถว
พวกของหวงอวิ๋นหู่ทั้งสองเป็นเพียงหางแถวของลูกศิษย์ผู้สืบทอด แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น คนทั้งสองก็ยังเป็นคนอันดับต้นๆ ในลูกศิษย์คนสำคัญ
“เจ้าเด็กคนนี้…กล้าไม่เคารพลูกศิษย์ผู้สืบทอดเชียวหรือ”
ขนาดศิษย์พี่ก่วงยังรู้สึกเสียหน้า
หวงอวิ๋นหู่ผู้นั้นโกรธเกรี้ยวอย่างมากในทันใด ตนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่ง กลับโดนศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาภายในสำนักได้เพียงครึ่งปีเหยียดหยาม
ทันใดนั้น เขาจึงโคจรครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริง จนร่างกายเปล่งแสงวาววับสีน้ำตาลแดงออกมาเป็นชั้นๆ พื้นที่นั้นหนักอึ้งลงอย่างประหลาด
“คุกเข่าลง!”
พลังครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของหวงอวิ๋นหู่ ย่อมสามารถจัดการคนในขั้นผู้วิเศษแท้ได้อย่างง่ายดาย
เขาเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่งว่าจะสามารถกำราบเจ้าเด็กผู้นี้ได้ในทันทีที่ลงมือ
แต่ทว่า เด็กหนุ่มรูปงามที่ปรากฎในครรลองสายตายิ้มเยาะ สะบัดมือเบาๆ ก็ปรากฎวิหคทมิฬตัวยักษ์ที่น่ากลัวขึ้นเบื้องหลัง สยายปีกกึ่งโปร่งแสงของมันออก แล้วเพลิงสีดำมืดกลุ่มนั้นก็ตรงดิ่งมาที่หวงอวิ๋นหู่
พลังที่กล้าแกร่งของวิหคนิลกาฬ ทำให้พวกของหวงอวิ๋นหู่ใบหน้าซีดเผือด ใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“จ้าวเฟิง! การประลองฝีมือระหว่างลูกศิษย์ด้วยกัน เจ้ายังจะกล้าอาศัยพลังจากสัตว์วิเศษอีก”
ศิษย์พี่ก่วงตะคอกออกมาอย่างอดไม่ได้
วูบ ผัวะ ผัวะ!
หวงอวิ๋นหู่โดนเพลิงวายุสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งโจมตีเข้าใส่จนกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ร่างกายกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้งราวเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง ก่อนจะตกลงบนพื้น
ส่วนระลอกพลังที่หลงเหลือหลายเส้นสายก็ทำให้ลูกศิษย์คนสำคัญอีกส่วนหนึ่งบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย
จะต้องรู้ว่า วิหคนิลกาฬเป็นสัตว์ในแขนงวิญญาณมรณะที่หายาก วายุสีดำนั้นแฝงไปด้วยการโจมตีทางดวงวิญญาณ สามารถสังหารทุกสรรพชีวิตได้
เห็นเพียงหน้าผากหวงอวิ๋นหู่ที่นอนอยู่บนพื้นมีเหงื่อไหลซึมออกมา
“นี่ก็คือพลังที่ว่าของลูกศิษย์ผู้สืบทอดงั้นรึ?”
สีหน้าจ้าวเฟิงดูแคลน
“จ้าวเฟิง! นี่เจ้าพึ่งพาพลังของสัตว์วิเศษ ถ้ามีความสามารถก็มาต่อสู้กันอย่างจริงจังสิ”
หวงอวิ๋นหู่พยายามชันกายขึ้นมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ศิษย์พี่ก่วงเอ่ยอย่างเคร่งเครียดทั้งที่ใจหวาดกลัว “จ้าวเฟิง! สัตว์วิเศษของเจ้าทำร้ายลูกศิษย์ผู้สืบทอด ไม่กลัวจะโดนราชันจัดการงั้นรึ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าของจ้าวเฟิงก็ค้างแข็ง
เมื่อถึงตอนนั้น พวกศิษย์พี่ก่วงคงจะอ้างเรื่องดังกล่าวเพื่อจัดการสัตว์วิเศษของจ้าวเฟิง
ถ้าหากว่าเป็นศิษย์ทำร้ายศิษย์ด้วยกันเอง นั่นก็เป็นเพียงแค่การต่อสู้ของผู้เยาว์เท่านั้น
แต่ถ้าหากว่าเป็นสัตว์วิเศษทำร้ายคน เรื่องก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
“เช่นนั้นหรือ ?”
จ้าวเฟิงเลียริมฝีปากน้อยๆ เดินตรงไปยังเบื้องหน้าของหวงอวิ๋นหู่ ยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนขาขวาของเขา
“อ๊าก…”
หวงอวิ๋นหู่ร้องโหยหวน เพียงได้ยินเสียงดัง ‘แครก’ ขาข้างขวาของเขาก็หัก
ยากจะเชื่อได้ว่าจ้าวเฟิงที่อยู่ในขอบเขตผู้วิเศษแท้จะมีพลังแก่นแท้ร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้
เหล่าลูกศิษย์คนสำคัญแถวนั้นใจสั่นอย่างหวาดกลัว
“หวงอวิ๋นหู่ท้าประลองข้าด้วยตนเอง โดนข้าหักขาไปข้างหนึ่ง พวกเจ้ามีใครไม่เห็นด้วย?”
แววตาของจ้าวเฟิงกวาดไปทั่วที่ดังกล่าว เหล่าลูกศิษย์พวกนั้นพากันหลบสายตาของจ้าวเฟิง ใบหน้ามีความหวาดกลัว ตัวสั่นสะท้าน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”
จ้าวเฟิงแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วจึงนั่งวิหคนิลกาฬบินแหวกอากาศไป
เหล่าลูกศิษย์คนสำคัญพวกนั้นสีหน้าคล้ำเครียด ไม่ยินยอมอย่างมาก
“ไร้ยางอายเสียจริง! จ้าวเฟิงผู้นี้พึ่งพาสัตว์วิเศษให้จัดการแทน”
คนเหล่านี้โมโหเกรี้ยวกราด แต่กลับไม่รู้จะทำอย่างไร
“ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะมี ‘วิหคนิลกาฬ’ ตัวนั้น ข้าย่อมเอาชนะจ้าวเฟิงได้”
ลูกศิษย์คนสำคัญขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความโกรธแค้น
แล้วในวันนั้นเอง
ข่าวคราวว่าจ้าวเฟิงใช้สัตว์วิเศษทำร้ายศิษย์ผู้สืบทอดก็กระจายไปทั่วกลุ่มลูกศิษย์ของสำนัก
เย็นวันนั้น
หวงอวิ๋นหู่ที่บาดเจ็บไม่น้อยก็เดินทางมาฟ้องอาจารย์ตนถึงคฤหาสน์ของผู้อาวุโสราชัน
“…จ้าวเฟิงผู้นั้นทำร้ายศิษย์เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่เขาไม่เคารพราชัน สบประมาทท่านอาจารย์ นั่นเป็นเรื่องที่อภัยไม่ได้!”
หวงอวิ๋นหู่ร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหล
เขาผู้เป็นลูกศิษย์ของราชัน มีสถานะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด
แต่โดนเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเข้าร่วมสำนักหยามเกียรติเช่นนี้ ในใจย่อมเต็มไปด้วยความแค้นและอาฆาต ยากที่จะหายได้
“ฮึ! กลัวจะขายหน้าไม่พอรึไง!”
‘ราชาลู่อวิ๋น’ ที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีขาวเอ่ยเสียงเย็นด้วยความรู้สึกไม่ได้ดังใจ
ราชาลู่อวิ๋นก็คือหนึ่งในสิบเจ็ดราชันของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเว้าวอนของลูกศิษย์ คิ้วของราชาลู่อวิ๋นขมวดมุ่น เขารู้ว่าเรื่องดังกล่าวได้ทิ้งบาดแผลแก่ศิษย์ของตน
แต่ว่าเขาผู้เป็นราชันก็ไม่อาจจะลดตัวลงไปออกหน้าแทนศิษย์ของตนได้
“เอาอย่างนี้แล้วกัน อาจารย์จะให้เจ้ายืม ‘วิหคอัสนีสองหัว’ ตัวหนึ่ง เจ้านกตัวนี้มีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ สามารถช่วยเหลือเจ้ารับมือกับ ‘วิหคนิลกาฬ’ ตัวนั้นได้”
ราชาลู่อวิ๋นโบกมือเพียงครั้งหนึ่ง ใจกลางฝ่ามือก็ปรากฏป้ายตราคำสั่งพิเศษแผ่นหนึ่งขึ้น
เขาโคจรพลังราชัน ทิ้งรอยประทับไว้บนตราคำสั่ง
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก”
หวงอวิ๋นหู่มีสีหน้ายินดี ‘วิหคอัสนีสองหัว’ ตัวนี้ของท่านอาจารย์ ถึงแม้จะไม่ใช่พาหนะหลัก แต่ว่าก็ข่มขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ทั่วไปได้
“เจ้าต้องใช้พละกำลังของตนเองเอาชนะเจ้าเด็กคนนั้น แต่ว่าห้ามทำร้ายให้ถึงแก่ชีวิต” ราชาลู่อวิ๋น เอ่ยกำชับ
เขาให้ยืมพาหนะของตนเอง เดิมก็สื่อว่าปกป้องเป็นนัยๆ ถ้าหากว่าหวงอวิ๋นหู่เกิดพลาดพลั้งลงมือสังหารจ้าวเฟิง ก็จะทำให้เกิดคำครหาได้
ผู้อาวุโสคุกฎของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอยู่ใน ‘ระดับจักรพรรดิ’ ของขอบเขตปราณเทวะ รักษากฎอย่างซื่อตรงยุติธรรม ไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้อง
“ศิษย์เข้าใจแล้ว ข้าจะเอาชนะเขา แต่ว่าจะไว้ชีวิตเขา” หวงอวิ๋นหู่ยินดีปรีดา
เขากินโอสถวิญญาณที่อาจารย์มอบให้ ด้วยพลังมหาศาลจากราชัน ขาที่หักของเขาก็สมานฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ในวันที่สอง
อาการบาดเจ็บของหวงอวิ๋นหู่ดีขึ้นมากแล้ว ก็อดรนทนไม่ไหวที่จะไปหาจ้าวเฟิง
แต่ทว่าที่พักของจ้าวเฟิงตั้งค่ายกลปกป้องเอาไว้ แล้วยังประทับตราสัญลักษณ์ของการเข้าฌานไว้ด้วย
“เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ ที่แท้ก็เป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง…”
หวงอวิ๋นหู่ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างหงุดหงิด
“จ้าวเฟิงผู้นั้นช่างหน้าไม่อายเสียจริง ถึงกับเข้าฌานฝึกตนล่วงหน้า”
ศิษย์ส่วนหนึ่งที่รอดูอะไรสนุกๆ รู้สึกเหนื่อยหน่าย
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีกฎ นอกเสียจากสถาการณ์ที่พิเศษ ศิษย์คนสำคัญที่กำลังเข้าฌานอยู่จะถูกรบกวนไม่ได้
“ศิษย์พี่หวงอย่ากังวลไป” ศิษย์พี่ก่วงเดินออกจากฝูงชนพลางยิ้มน้อยๆ
“ศิษย์น้องก่วง เจ้ามีความคิดเห็นอะไร?” หวงอวิ๋นหู่เหลือบตามอง
ก่วงเถียนเองก็เป็นศิษย์ของราชัน แต่เป็นเพียงแค่ศิษย์ในนามเท่านั้น ทั้งยังได้รับสถานะของลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาครองอย่างยากลำบาก
“เฮอะเฮอะ ตามกฎของสำนัก ในทุกเดือนศิษย์คนสำคัญจะได้รับภารกิจของสำนักอย่างหนึ่ง จะยืดเวลาเกินกำหนดไปได้ไม่เกินสามเดือน แต่ว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ทำภารกิจตามเงื่อนไขของสำนักมาสองเดือนแล้ว”
ก่วงเถียนเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เหล่าลูกศิษย์ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างกระจ่างแจ้งในทันใด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ถ้าหากเกินเวลาสามเดือน เขาก็จะได้รับคำเตือนจากสำนัก เมื่อเกินเวลาครึ่งปีจะโดนทำโทษ” ลูกศิษย์พวกนี้เข้าใจในกฎเกณฑ์ของสำนักอย่างยิ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…เด็กน้อยจ้าวเฟิง! ให้เวลาเจ้าหดหัวในกระดองเดือนหนึ่ง”
หวงอวิ๋นหู่หัวเราะเสียงดัง
เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ทางสำนักจะส่งคนมาตักเตือนจ้าวเฟิง ซึ่งก็เท่ากับว่าจ้าวเฟิงมีเวลาเข้าฌานอย่างมากอีกหนึ่งเดือนก็จะถูกขัดกลางคัน
“ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ! อีกครึ่งปี ‘มิติเทพลวงตา’ ก็จะเปิดออก”
“หากว่าสามารถเข้าไปภายใน ‘มิติเทพลวงตา’ แล้วได้รับสมบัติล้ำค่าจากยุคโบราณและบรรพกาล ย่อมส่งผลผลักดันอย่างมหาศาลในการฝึกตน”
กลุ่มศิษย์คนสำคัญสลายตัวไป
คนพวกนี้ตกลงกันว่าในอีกหนึ่งเดือนต่อมาค่อยมาหาเรื่องจ้าวเฟิงใหม่
ภายในห้องของเขตที่อยู่อาศัย
เวลานี้ จ้าวเฟิงกำลังแช่อยู่ภายในน้ำโอสถ บนผิวกายปรากฏลวดลายของวายุอัสนีเป็นเส้นสาย
“กายสายฟ้าปฐพีทองแบ่งเป็นทั้งหมดแปดระดับขั้น ในขั้นที่เจ็ดจะสามารถสร้างกายสายฟ้า บวกกับพลังของหมื่นอัสนีห้าสายและแรงต้านทานของอัสนีเทวะ แต่ละขั้นในเจ็ดขั้นต้นเป็นขอบเขตพลังขนาดใหญ่”
จ้าวเฟิงกำลังฝึกฝนกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ในขั้นแรก
กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทองแบบฉบับเดิมนั้นมีเงื่อนไขในการฝึกฝนสูงส่งอย่างยิ่ง
แต่ทว่ากายสายฟ้าปฐพีทองที่แก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์แล้ว สามารถยืมหมื่นอัสนีมาใช้ในการฝึกร่างกาย ถ้าหากว่าฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ หรือไม่ก็ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ก็จะสามารถทำเงื่อนไขให้ต่ำลง และสอดคล้องกับการฝึก
ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงได้ฝึก ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ มาจนถึงขั้นที่สามแล้ว
จนถึงตอนนี้สามารถใช้พลังวายุอัสนีฝึกฝนร่างกาย ทรัพยากรที่ใช้ฝึกก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พัฒนาการของวิชาฝึกร่างกายจะช้ากว่าวิชาปกติมาก
แต่ทว่า ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงดื่มน้ำอมฤตลงไป จึงทำให้ร่างกายเหมือนถือกำเนิดใหม่ แก่นแท้ร่างกายและชีวิตเปลี่ยนไปมากเช่นกัน
จากการฝึกร่างกายด้วยวิชาวายุอัสนีในขอบเขตพลังขั้นที่สาม แล้วยังบวกกับความช่วยเหลือของทรัพยากรที่ใช้ฝึกร่าง จึงทำให้ผลลัพธ์โดดเด่นอย่างยิ่ง
สามวันต่อมา
‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ของจ้าวเฟิงฝึกฝนจนถึงระดับสุดยอดขั้นหนึ่ง
ครึ่งเดือนต่อมา
สามารถฝึกฝนกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์จนถึงขั้นที่สอง
ในเวลาดังกล่าวบริเวณผิวหนังของจ้าวเฟิงก็ปรากฏลวดลายสีทองอ่อน ราวกับสีฟ้าอ่อนในพลังที่แท้จริงวายุอัสนีของเขา
แรงกดดันที่ไร้รูปร่างในร่างกายสาดซัดออกมาจากร่างของจ้าวเฟิง
ผัวะ!
เก้าอี้ตัวหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงกลายเป็นผุยผงในทันทีด้วยพลังกายที่ไร้รูปร่าง
เวลาเกือบจะถึงหนึ่งเดือนแล้ว
กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงมาถึงขั้นที่สองระดับสุดยอด ทั่วทั้งร่างกาย กระดูก และเส้นเอ็นของเขา ล้วนแต่แฝงไปด้วยพลังรุนแรงที่บดขยี้สิ่งต่างๆ
พลังกายเป็นด้านหนึ่ง
กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ยังดูดซึมพลังอัสนีมาให้การป้องกันของจ้าวเฟิงด้วย ซึ่งมีผลลัพธ์ในการป้องกันการโจมตีระดับหนึ่ง