บทที่ 769 ทดลองวิชาขั้นต้น
ในสามขั้นแรกของ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ เทียบเท่าได้กับขอบเขตพลังก่อนหน้าแก่นก่อกำเนิด
จ้าวเฟิงในตอนนี้เพิ่งจะฝึกฝนไปถึงขั้นที่สองระดับสุดยอด หากพึ่งเพียงพลังของกายเนื้อและแก่นแท้ร่างกายก็จะสามารถรับมือกับคนในขั้นผู้วิเศษแท้ได้
ถ้าหากว่าเขาทะลวงผ่านขั้นที่สาม กายเนื้อจะสามารถสังหารนายเหนือแท้ได้ และไร้เทียมทานในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดลงไป
แต่ว่าสามขั้นแรกเป็นเพียงแค่พื้นฐานของกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
“แก่นแท้ร่างกายและชีวิตของข้าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นข้าก็จะกลับไปที่ห้วงฝันบรรพกาลเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรส่วนหนึ่งได้”
ในหัวของจ้าวเฟิงมีแผนการในการฝึกตนใหม่คร่าวๆ
แต่ทว่า ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการฝึกฝนร่างกายก็ยังคงอยู่เหนือการคาดการณ์ของจ้าวเฟิง
ฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ในเวลาเดียวกัน ทรัพยากรที่ต้องใช้มากเกินกว่าธรรมดาอย่างยิ่ง
จ้าวเฟิงคิดคำนวณอีกครั้ง
ถ้าหากไม่รีบเข้าไปใน ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ โดยไวแล้วล่ะก็ ยามที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงอาจต้องประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากร
นอกเหนือจากนี้แล้ว
การฟื้นฟูของดวงวิญญาณก็ต้องการสมบัติล้ำค่าศาสตร์วิญญาณที่หายากส่วนหนึ่งด้วย
มีเพียงพลังวิญญาณมาฟื้นฟูจนถึงขอบเขตปราณเทวะ พลังจักรพรรดิของจ้าวเฟิงถึงจะสามารถฟื้นฟูทั้งหมด และกลับคืนสู่สภาวะสุดยอดอีกครั้ง
ตอนนี้จ้าวเฟิงไม่มีทรัพยากรในศาสตร์วิญญาณมากเท่าไหร่นัก
“ทรัพยากร…”
คิ้วจ้าวเฟิงขมวดมุ่น ในใจกำลังคิดวางแผน
มาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดแล้วเขาก็เข้าใจว่าทำไมเด็กน้อยครึ่งเซียนจึงกระหายในทรัพยากรยิ่งนัก
แน่นอนว่า หากเอาแต่ฝึกตนเพียงอย่างเดียวโดยไม่พึ่งพาทรัพยากรใดๆ ภายในสิบปีก็ย่อมกลับสู่สภาวะสุดยอดที่เคยเป็นได้
แต่ว่าจ้าวเฟิงไม่อยากรอนานขนาดนั้น
“ภายในสามปี ข้าจะต้องกลับไปอยู่ในระดับขั้นราชัน”
แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ในใจของเขาก็ค่อยๆ มีวิธีการในการหาทรัพยากร
อย่างแรก ฝึกสัตว์วิเศษ ถ้าหากสามารถฝึกฝนอสูรหายากอย่างวิหคนิลกาฬ เช่นนั้นแล้วทรัพยากรก็ย่อมไหลมาเทมาแน่นอน
อย่างที่สอง ลองเสี่ยงอันตราย เดินทางไปยังพื้นที่ซากปรกหักพังต้องห้ามที่อันตรายส่วนหนึ่ง หรือกระทั่งมิติลี้ลับ แล้วค้นหาสมบัติล้ำค่ามาสักหน่อย
อย่างที่สาม ภารกิจของสำนัก ทำภารกิจของสำนักที่มีระดับความยากสูงให้สำเร็จ ก็จะได้รางวัลมากมาย และคะแนนอุทิศตนที่ได้มายังเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรล้ำค่าส่วนหนึ่งได้ด้วยเช่นกัน
เทียบกันแล้ว อันดับแรกและสามค่อนข้างปลอดภัยอยู่ ผลลัพธ์ที่ได้มามั่นคง
ส่วนอย่างที่สอง ‘การลองเสี่ยงอันตราย’ ก็ย่อมต้องมีอันตรายอยู่บ้าง
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังคิดพิจารณาอยู่นั้นเอง
“จ้าวเฟิง!” เสียงดังโฮกฮากราวสายอัสนีบาตดังมาจากด้านนอกเรือนพักอาศัย น้ำเสียงนั้นดังผ่านค่ายกลป้องกันเข้ามา
“หืม?” จ้าวเฟิงเดินออกจากห้องพัก แล้วจึงพบว่าด้านนอกเรือนมีผู้คุมกฎชุดคลุมสีม่วงที่ฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงลอยอยู่
“ใต้เท้าผู้คุมกฎ มีอะไรชี้แนะข้างั้นรึ ?” ใบหน้าของจ้าวเฟิงฉายแววประหลาด
ตามสถานการณ์ปกติทั่วไป ถ้าหากว่าไม่ได้ทำผิดกฎของสำนัก ผู้คุมกฎจะไม่เดินทางมาหาด้วยตนเองเช่นนี้
หางตาของเขาเหลือบไปเห็นว่าศิษย์คนสำคัญส่วนหนึ่งที่อยู่แถวเรือนมีสีหน้าสะใจ
ในกลุ่มคนดังกล่าวประกอบไปด้วยหวงอวิ๋นหู่หวังหยวน และศิษย์พี่ก่วงเถียนนำอยู่ด้านหน้า
“จ้าวเฟิง เจ้าไม่ได้ทำภารกิจสำนักมาสามเดือนแล้ว ตัวข้าจึงมาเตือนเจ้า และจะหยุดแจกทรัพยากรสำหรับลูกศิษย์คนสำคัญให้เจ้าไปตลอดสามเดือนข้างหน้า”
ผู้คุมกฎชุดม่วงปรายตามองจ้าวเฟิงอย่างเย็นชา
การตัดทรัพยากรที่จะต้องให้เป็นเวลาสามเดือนในครั้งเดียว สำหรับศิษย์ธรรมดาแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของเหล่าศิษย์ในสำนัก เมื่อโดนตัดทรัพยากรไปจะทำให้ตามไม่ทันคนอื่น
“ถ้าหากภายในครึ่งปีเจ้ายังไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ เจ้าจะต้องโดนทำโทษและรายงานจากสำนัก”
เมื่อผู้คุมกฎชุดม่วงเอ่ยจบก็โบยบินจากไป
จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง ชะงักไปสักครู่
สามเดือนนี้เขาทุ่มเทจิตใจฝึก ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ จนลืมเรื่องนี้ไปสนิท
“ทำภารกิจในรอบหนึ่งปีของสำนักให้เสร็จทั้งหมดก่อน จะได้ทรัพยากรส่วนหนึ่งด้วย” จ้าวเฟิงตัดสินใจได้
เป็นถึงศิษย์คนสำคัญ ทรัพยากรในระยะเวลาสามเดือนถูกตัดในทันทีทันใด ทำให้เขารู้สึกปวดใจอยู่เหมือนกัน
ถึงขาแมลงวันจะลีบเล็กอย่างไรก็เป็นเนื้ออยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจ้าวเฟิงผู้กำลังจะฝึกบำเพ็ญตนใหม่อีกครั้ง
วูบ!
เขาสสลายค่ายกลออก แล้วจึงออกจากการบำเพ็ญ เตรียมตัวไปทำภารกิจอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็จะไปตามล่าสัตว์วิเศษในป่าด้วย
“จ้าวเฟิง! ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว!” ชายหนุ่มผอมแห้งท่าทางปราดเปรียวผู้หนึ่ง เพียงขยับกายเล็กน้อยก็เข้าขวางทางจ้าวเฟิง
ผู้มาเยือนก็คือหวงอวิ๋นหู่ที่อดทนรอถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ เพื่อวันนี้
ในตอนนี้เขาได้ยืมสัตว์วิเศษมาจาก ‘ราชาลู่อวิ๋น’ จึงสามารถรับมือกับวิหคนิลกาฬของจ้าวเฟิงได้
“เจ้าจะแพ้ในเงื้อมมือข้าอีกอยู่ดี” จ้าวเฟิงเหลือบมอง สีหน้าหยามเหยียด
เมื่อเอ่ยจบ ทั้งที่ดังกล่าวก็ตกอยู่ในความตกตะลึง
หวงอวิ๋นหู่เกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมา เขากลับโดนเจ้าเด็กขั้นผู้วิเศษแท้ผู้นี้ ‘ดูแคลน’ เสียแล้ว
“จ้าวเฟิง! ครั้งก่อนเจ้าชนะได้เพราะสัตว์วิเศษ ยังจะกล้าพูดอีก”
“เจ้าเด็กนี่…หน้าไม่อายเสียจริง!”
ศิษย์คนสำคัญส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงล้วนแต่รู้สึกละอายแทนจ้าวเฟิง และพากันขบขัน
ลูกศิษย์คนสำคัญเหล่านี้ต่างรู้ว่าในครั้งนี้หวงอวิ๋นหู่มีไม้ตายอยู่
“จ้าวเฟิง! เจ้าอย่ารับคำท้านะ!”
เสียงอ่อนหวานของสตรีที่มีร่องรอยความห่วงใยดังขึ้น “ครั้งนี้หวงอวิ๋นหู่ยืมวิหคอัสนีสองหัวจาก ‘ราชาลู่อวิ๋น’ ผู้เป็นอาจารย์ของเขามา วิหคตัวนั้นมีพลังฝึกตนขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง…”
ศิษย์พี่วั่น?
จ้าวเฟิงหันมอง แล้วพบว่าศิษย์พี่วั่นหรงเร่งรุดมาแต่ไกล ท่าทีอ่อนหวานสูงส่งของนางตกเป็นจุดสนใจของศิษย์ชายแถวนั้น
“ศิษย์พี่วั่นไม่จำเป็นต้องกังวล เขาเคยแพ้ในเงื้อมมือข้ามาก่อน ไม่ควรค่าจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ”
จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ
เขามีความรู้สึกดีๆ กับศิษย์พี่วั่นผู้นี้อยู่บ้าง ด้วยเพราะยามที่เขาถือกำเนิดใหม่ก็ได้สตรีคนดังกล่าวช่วยรักษาบาดแผลให้
“เจ้าเด็กนี่ อย่าโอหังให้มันมากนัก!”
หวงอวิ๋นหู่ตกอยู่ในกองเพลิงแห่งความโกรธแค้น ถูกเด็กหนุ่มในขั้นผู้วิเศษแท้ดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะให้เขาทนได้อย่างไรกัน
เมื่อเอ่ยจบ ในมือของเขาก็ปรากฏตราคำสั่งพิเศษแผ่นหนึ่ง พื้นผิวของมันมีพลังของราชันเส้นหนึ่งโคจรไปมา
วินาทีต่อมา
เปรี๊ยะ แซ่ด แซ่ด~
วิหคอัสนีสองหัวโผล่ออกมาจากเมฆแสงอัสนีวูบวาบ ขนาดของมันใหญ่กว่าวิหคนิลกาฬของจ้าวเฟิงอยู่เล็กน้อย
“พลังของราชัน?”
จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ เขามองออกได้ไม่ยากว่าเป็นเพราะพลังราชัน หวงอวิ๋นหู่ถึงควบคุมและสั่งวิหคอัสนีสองหัวตัวนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
มิฉะนั้น ต่อให้หวงอวิ๋นหู่มีพลังฝึกตนในครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่อยู่ต่อหน้าวิหคอัสนีสองหัวในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ก็เป็นเพียงของเคี้ยวเล่นของมันเท่านั้น
วูบ!
จ้าวเฟิงไม่ลังเล สะบัดมือครั้งหนึ่ง แล้ววิหคยักษ์ดุจเงาสีดำก็รับร่างของเขาทะยานขึ้นฟ้าไป
สวบ! สวบ!
หวงอวิ๋นหู่และจ้าวเฟิงเดินทางไปยังผืนฟ้าเหนือดินแดนที่ไร้ผู้คน
การปะทะกันครั้งใหญ่ของวิหคในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ดึงดูดความสนใจของสมาชิกในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจำนวนไม่น้อย
สวบ สวบ โครม!
วิหคอัสนีสองหัวและวิหคนิลกาฬสู้รบกันกลางอากาศ
ส่วนหวงอวิ๋นหู่และจ้าวเฟิงรีบทิ้งระยะห่าง
หากจะพูดเรื่องระดับขั้นแล้ว คนทั้งสองและวิหคสองตัวมีระยะห่างกันอย่างยิ่ง
อย่างเช่นจ้าวเฟิง หากตัดข้อได้เปรียบอย่างพลังดวงวิญญาณและสายเลือดดวงตา โดยนับแต่เรื่องพลังของร่างกาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ของวิหคสองตัว เกรงว่าเขาจะหลบไม่ทันเช่นกัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คราวนี้เจ้าน่าจะหนีพ้นได้ยากแล้ว”
หวงอวิ๋นหู่หัวเราะเสียงดัง จากนั้นกลายเป็นลำแสงวาววับสีน้ำตาลพุ่งทะลวงไปที่จ้าวเฟิงอย่างรุนแรง
“ไม่เสียทีที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด!”
อานุภาพที่แข็งแกร่งของครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทำให้ศิษย์คนสำคัญที่คอยดูการประลองอยู่ใกล้เคียงมีสีหน้าหวาดกลัว
บนหน้าของหวังหยวนและและศิษย์พี่ก่วงประดับด้วยรอยยิ้มสดใส
ขั้นผู้วิเศษแท้และครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ความแตกต่างของคนทั้งสองนับได้ว่าไม่น้อยเลย
ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงอยู่ในขั้นนายเหนือแท้น่าจะพอรับมือได้บ้าง
แต่เมื่อขั้นผู้วิเศษแท้ต้องมาเผชิญหน้ากับครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ถ้าหากไม่มีอะไรที่เกินความคาดหมายไปก็จะต้องโดนสังหารอย่างรวดเร็ว
ฟุ่บ——
หวงอวิ๋นหู่พลันปลดปล่อยพลังมหาศาลที่หนักหน่วงตรงดิ่งมาหน้าจ้าวเฟิง
หากเป็นขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปอาจไม่มีแม้แต่แรงจะต้านทาน
“หวงอวิ๋นหู่…ยั้งมือก่อน!”
ศิษย์พี่วั่นหรงที่อยู่ไม่ไกลนักทนไม่ไหว
ทว่าจ้าวเฟิงที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศกลับมีสีหน้าสบายไร้กังวล
แซ่ด พรึ่บ!
หลังของจ้าวเฟิงมีปีกวายุอัสนีกระจ่างวาววับงอกออกมา โบกสะบัดราวกับมีชีวิต
บริเวณที่เขาเคยอยู่มีเส้นโค้งของวายุอัสนีวาบผ่าน
โครม!
หวงอวิ๋นหู่โดนกระแทกอย่างรุนแรง ร่างกายโซเซจนเกือบจะเสียการทรงตัว
“อะไรกัน!”
หวงอวิ๋นหู่รู้สึกเพียงตาพร่าเลือน ก่อนจะโดนกระแทกจากเงาร่างหนึ่ง
วินาทีต่อมา เขารู้สึกว่าเบื้องหลังของเขามีเสียงร้องหวีดหวิวโครมครามจากลมและสายอัสนี
ไอเย็นยะเยียบแผ่กระจายไปทั่วแผ่นหลัง แล้วเงาของคนผู้มีปีกวายุอัสนีก็ปรากฎขึ้นด้านหลังเขา
“มีดวายุอัสนี!”
มือขวาของจ้าวเฟิงกลายเป็นลักษณะคล้ายใบมีด ฝ่ามือเปล่งแสงสีทอง บริเวณภายนอกราวกับมีดวายุอัสนีที่แหลมคม
ฉัวะ!
คมมีดวายุอัสนีที่ถูกกระตุ้นจากพลังมหาศาลของร่างกาย ฟันฉับลงไปยังชั้นพลังครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริงที่หวงอวิ๋นหู่สร้างขึ้น
“อ๊าก…”
หวงอวิ๋นหู่ร้องตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวด ด้านหลังมีเลือดสาดกระจาย ร่างกายโดน ‘มีดวายุอัสนี’ ฟาดฟันจนกระเด็นออกไปปะทะหอคอยรกร้างห่างไปหลายสิบจั้ง
คมมีดรุนแรงนั้นสร้างความบาดเจ็บให้กับเขาไม่น้อย
ฟากผู้ชมการประลองล้วนแต่วิจารณ์กันขรม
“รวดเร็วเหลือเกิน!”
“ปีกวายุอัสนีนั่นคล้ายคลึงกับวิชาใน ‘เคล็ดวายุอัสนี’ ของสำนัก!”
มีเพียงคนจำนวนไม่มากนักที่มองเหตุการณ์ต่างๆ ในวินาทีที่ประลองกันออก
อย่างแรกคือหวงอวิ๋นหู่ดูแคลนศัตรูมากเกินไป
ต่อมาคือความเร็วที่น่าตกใจของจ้าวเฟิง และเคล็ดลับในการโบยบินราวกับ ‘ปรมาจารย์’ ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็ไปปรากฏกายยังเบื้องหลังของศัตรู จากนั้นโจมตีเข้าเต็มแรง
แต่ที่คาดคิดไม่ถึงก็คือ
อานุภาพที่จ้าวเฟิงโจมตีไปและแก่นแท้ร่างกายที่น่าตื่นตะลึง ได้โจมตีหวงอวิ๋นหู่รวดเร็วจนอีกฝ่ายรับมือไม่ทัน
คมมีดดังกล่าวผสานความสามารถของเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์สองชุดอย่างวายุอัสนีห้าสายและกายสายฟ้าปฐพีทองเข้าด้วยกัน
“ชะล่าใจเกินไป…”
หวงอวิ๋นหู่กัดฟันแน่น น้ำเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะฝืนชันกายลุกขึ้น
เด็กหนุ่มที่มีปีกคู่งอกเบื้องหลังลอยตัวกลางอากาศ สง่างามโดดเด่นเหมือนเทพเจ้าแห่งการต่อสู้
“จ้าวเฟิง…นี่คือพลังที่เจ้ามีงั้นรึ?”
นัยน์ตางามของวั่นหรงเป็นประกาย แฝงแววสงสัยและตกใจอย่างลึกล้ำ
นางเองก็พอจะรู้จักเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักได้ไม่นานอย่างจ้าวเฟิงอยู่บ้าง เพียงเวลาแค่สามเดือน จ้าวเฟิงมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“หมัดระเบิดวายุอัสนี!”
หมัดของจ้าวเฟิงขยายออก ลักษณะราวกับทอง มันปลดปล่อยระเบิดวายุอัสนีที่สว่างเจิดจ้าออกมา
“ฟ้าดินไร้ขีดจำกัด!”
ทั้งตัวของหวงอวิ๋นหู่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงแวววาวสีน้ำตาลแดง เหมือนเป็นภูเขาไฟที่กำลังปะทุพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไป
โครม ตูม——
เงาสองร่างปะทะกันกลางอากาศ เกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นขึ้น
แซ่ด พรึ่บ!
เงาปีกอัสนีในนั้นถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว
อั่ก!
เงาลำแสงสีน้ำตาลแดงอีกร่างมีคราบเลือดบริเวณมุมปาก กระเด็นถอยร่นไปพร้อมระลอกพลังที่แกร่งกล้า
“หวงอวิ๋นหู่ เจ้าพ่ายแพ้อีกแล้ว”
ปีกวายุอัสนีที่หลังของจ้าวเฟิงถูกเก็บไปอย่างรวดเร็ว
การปะทะเมื่อครู่ เขาใช้พลังการป้องกันร่างกายที่แข็งแกร่งและความเร็วในการโต้ตอบ จึงทำให้ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นหวงอวิ๋นหู่ที่บาดเจ็บหนัก สีหน้าซีดเผือด สูญเสียกำลังรบไปมากกว่าครึ่ง
“ผิดที่ข้าดูแคลนศัตรูไปในตอนเริ่มต้น จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่เช่นนั้นกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ จะต้องรออีกสักพักเป็นอย่างน้อย”
บนใบหน้าของหวงอวิ๋นหู่เต็มไปด้วยความอับอายเกินจะทน มือสองข้างสั่นระริก
โดยเฉพาะคำว่า ‘เจ้าแพ้อีกแล้ว’ ที่ออกมาจากปากของจ้าวเฟิงยิ่งทำให้เขาแทบจะบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
ส่วนกลุ่มคนผู้ชมการประลองพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นการพลิกผันกลับมาชนะในครานี้
แต่พวกเขาไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่า นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น